Dual Cultivation บทที่ 613 สวนธรรมชาติศักดิ์สิทธิ์

เวลา2 สัปดาห์ ได้ผ่านพ้นไปนับตั้งแต่ที่ได้ร่วมฝึกกับพี่น้องตระกูลฟางและเปิดเผยแผนขั้นตอนต่อไปของเขาให้กับถังหลิงซี

ไม่ได้มีอะไรที่น่าสนใจเกิดขึ้นในช่วงนี้ และซูหยางก็จะใช้เวลาในแต่ละวันหากไม่เป็นการฝึกร่วมกับบรรดาศิษย์ก็จะเป็นการให้คําแนะนําศิษย์คนอื่น

“ได้เวลาที่ข้าจะต้องไปตรวจสอบศิษย์นักปรุงยาที่น่ารักของข้าเหล่านั้นแล้ว” ซูหยางกล่าวกับถังหลิงซีก่อนที่จะออกไปจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย

“ถ้าข้าจํามิผิด สวนธรรมชาติศักดิ์สิทธิ์ควรจะอยู่แถวๆนี้…” ซูหยางบินไปรอบๆพื้นที่นั้นบนยานบินจนกระทั่งเขาสามารถเห็นสํานักนั้นได้

ในเวลาหลังจากนั้น เขาก็ไปถึงสวนธรรมชาติศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในไม่กี่สํานักในทวีปตะวันออกที่เชี่ยวชาญในด้านการรักษาและการปรุงยา

ยามเมื่อเข้าไปถึงสํานักแล้ว เขาก็สามารถได้กลิ่นยาที่รุนแรงในอากาศที่ทําให้จิตใจเขาผ่อนคลายในทันที มันรุนแรงเสียจนกระทั่งหากมีใครสักคนที่ไม่รู้เรื่องสํานักนี้ได้เดินมาถึงสถานที่นี้พวกเขาก็จะรู้ได้อย่างง่ายดายว่าสํานักนี้เป็นสํานักประเภทไหน

“ที่น่าสงสัยที่อยู่ตรงนั้น หยุดอยู่แค่นั้นเลย” ยามที่อยู่ตรงหน้าประตูตะโกนเข้าใส่ซูหยางซึ่งตอนนี้อยู่ในสภาพปลอมแปลงโฉม หลังจากที่พวกเขาได้เห็นเขาตรงเข้ามาหา

“เปิดเผยตัวตนของเจ้า และเจ้ามาทําอะไรที่สวนธรรมชาติศักดิ์สิทธิ์ของเรา” พวกเขาพูดต่อหลังจากที่เห็นซูหยางหยุดที่จะเข้ามาหาพวกเขาแล้ว

“ข้ามาที่นี่เพื่อพบกับผู้นําสํานักและศิษย์ของเขา โหลวอี้เซียว ให้พวกเขาออกมาที่นี่” ซูหยางกล่าวกับพวกเขา

“หะ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ไม่ว่าจะเจ้าสํานักหรือว่าคุณหนูก็ตาม ใช่ว่าคนอย่างเจ้าจะสามารถพบได้เพียงเพราะเจ้าต้องการ”

“นอกจากว่าเจ้ามีการนัดหมายกับพวกเขา ไม่เช่นนั้นก็ไสหัวไป” ยามกล่าวกับเขา

“….”

ซูหยางถอนหายใจก่อนที่จะพูดว่า “ข้าบอกพวกเขาแล้วว่าข้าจักมาในช่วงเวลานี้ พวกเขามิได้บอกเรื่องนี้กับเจ้ารึ ข้ามิได้มีเวลาที่จะมาเล่นเกมกับเจ้า ถ้าเจ้ามิบอกพวกเขาให้ออกมาข้าจักเข้าไปข้างในด้วยตนเอง”

“บังอาจ เจ้าคิดว่าเจ้าอยู่ที่ไหน ที่นี่คือสวนธรรมชาติศักดิ์สิทธิ์ ที่ยาชั้นนําส่วนใหญ่ในทวีปตะวันออกล้วนมีต้นกําเนิดมาจากที่นี่ เรายังมีตระกูลชีสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง นอกจากว่าเจ้าไม่เห็นคุณค่าของชีวิตของเจ้าแล้ว ทางที่ดีเจ้าก็ควรจะไสหัวไปจากที่แห่งนี้ซะ”

“ถ้าเจ้ายังก่อกวนพวกเราอีกต่อไป สิ้นชีวิตก็ยังถือว่ากังวลน้อยไป”

ยามยังคงยืนกรานที่ฉันไล่เขาไป

“ฟังให้ดีนะ ข้าคือ ”

“ตัวตนของเจ้ามิได้มีความสําคัญอีกต่อไป ที่นี่ไม่ยินดีต้อนรับเจ้า”

“นี่เป็นคําเตือนสุดท้ายของพวกเราสําหรับเจ้า ไสหัวไป”

หลังจากที่ถูกยามพูดขัดก่อนที่เขาจะทันได้แนะนําตัวเอง ซูหยางก็ถอนหายใจออกมาด้วยเสียงอันดัง “ถ้าเจ้ายังไม่แม้กระทั่งจะรับฟังคําพูดของข้า ข้าก็จะมีเสียลมปากกับที่นี่อีกต่อไป”

เขาได้ยอมแพ้ในการพยายามที่จะเกลี้ยกล่อมพวกเขาและตรงเข้าไปที่สํานักอีกครั้ง

“เจ้ากล้ารึ”

บรรดายามต่างพากันซื้อาวุธของพวกเขาตรงไปที่เขาในทันที ซึ่งพลังในเขตสัมมาวิญญาณก็ได้ทะลักออกมาจากร่างของพวกเขา

แต่ทว่า…

เพี้ยะ เพี้ยะ

ซูหยางใช้ก้าวเก้าดาราไปอยู่ตรงหน้าของพวกยามในทันทีก่อนที่จะส่งพวกเขาบินไปด้วยการตบหน้า

“เรายังโชคดีที่ศิษย์ของข้าอาศัยอยู่ที่นี่ มิเช่นนั้นข้าก็จะฆ่าเจ้าโดยมิลังเล” ซูหยางกล่าวกับพวกเขาขณะที่เข้าไปในสํานัก

หลังจากที่ซูหยางเข้าไปในสํานักแล้ว หนึ่งในบรรดายามที่อยู่ข้างนอกก็ได้นําเอาเม็ดยาสีแดงออกมาจากกระเป๋าและจุดด้วยไฟก่อนที่จะโยนมันขึ้นไปบนอากาศ

บูม

เม็ดยาระเบิดออกเป็นหมอกสีแดงยามเมื่อมันขึ้นไปถึงจุดสูงสุดเตือนเหล่าบรรดาศิษย์และผู้อาวุโสภายในสํานักทันที

“คําเตือนร้ายแรงจากยามข้างนอก พวกเราถูกโจมตี”

“เชี่ย ร้อยวันพันปี ทําไมต้องเกิดขึ้นตอนที่เจ้าสํานักบิดประตูฝึกฝีมือด้วย”

อาวุโสสํานักเกือบทุกคนที่อยู่ในสํานักพากันวิ่งออกมายังด้านหน้าของสํานักที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของทางเข้า ในขณะที่บรรดาศิษย์พากันมารวมตัวกันที่ส่วนกลางของสํานักราวกับว่าพวกเขาได้ฝึกรับมือกับสถานการณ์เช่นนั้นมานับร้อยนับพันครั้งแล้ว

“เฮ้อ… ทําไมพวกเขาต้องทําให้เรื่องนี้ซับซ้อนยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม” ซูหยางแอบถอนหายใจหลังจากที่ถูกผู้อาวุโสสํานักรุมล้อม

“เจ้าเป็นใครกัน และทําไมเจ้าจึงต้องโจมตีสถานที่แห่งนี้”

แม้ว่าผู้อาวุโสสํานักจะประหลาดใจที่เห็นว่ามีเพียงคนเดียวที่โจมตีพวกเขาทั้งสํานัก แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะประมาทซูหยางที่ปลดปล่อยกลิ่นอายที่น่ากลัวจนทําให้พวกเขารู้สึกไร้เรี่ยวแรง

“ข้ามีนามสกุลว่าเซียว และข้ามาที่นี่เพื่อรับตัวโหลวอี้เซียว ศิษย์ของข้า” ซูหยางกล่าวกับพวกเขา

“เอ๋ อาจารย์ของโหลวอี้เซียว แต่ว่าอาจารย์ของเธอก็คือ…”

อาวุโสสํานักต่างรู้ถึงสถานการณ์อย่างรวดเร็ว แต่พวกเขาเองก็ยังสงสัยอยู่

“พวกเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าเป็นตัวจริงและไม่ใช่ผู้แอบอ้างที่พยายามจะมาลักพาตัวโหลวอี้เซียว ไม่ว่าอย่างไรโชคก็ได้ฝ่าเข้ามาในที่แห่งนี้” หนึ่งในผู้อาวุโสสํานักกล่าวกับเขา

“เจ้าจะรู้ความจริงก็ยามเมื่อเจ้านําเอาเจ้าสํานักหรือเอาโหลวอี้เซียวมาที่นี่ด้วยตัวเอง” ซูหยางกล่าว

“นั่นดูท่าจะเป็นไปได้ยากในเมื่อโหลวอี้เซียวมิได้ปรากฏกายมาเป็นเวลานับเดือนแล้วและก็มีเพียงเจ้าสํานักเท่านั้นที่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน อย่างไรก็ตามเจ้าสํานักก็อาจที่จะพบตัวได้ในยามนี้เมื่อเขาปิดประตูฝึกฝีมืออยู่…” ผู้อาวุโสสํานักอธิบายสถานการณ์ให้กับเขา

“นั่นค่อนข้างจะเป็นปัญหาจริงๆ” ซูหยางพยักหน้า

ไม่กี่อึดใจให้หลังเขาก็พูดต่อไปว่า “ถ้าเช่นนั้นจงนําเอาเตาปรุงยามาให้ข้า ข้าจักใช้ความสามารถในการปรุงยาของข้าเพื่อพิสูจน์ตัวตนของข้า”

“เจ้าต้องการที่จะใช้การปรุงยาเพื่อพิสูจน์ตัวตนของเจ้างั้นรี” อาวุโสสํานักการพากันสบสายตากันอย่างสับสน ในเมื่อพวกเขาไม่เคยประสบกับสถานการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน

อย่างไรก็ตามถ้าผู้แอบอ้างคนนี้กลายเป็นตัวจริงขึ้นมาจริงๆ พวกเขาก็จะสามารถได้รับประสบการณ์ด้วยตัวเองถึงความสามารถด้านการปรุงยาที่เหนือโลก ที่กล่าวกันว่าสร้างความตระหนก ให้แม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญด้านการปรุงยาระดับสูงในโลกนี้รวมไปถึงเจ้าสํานักของพวกเขาด้วย

“ตกลง พวกเราจะยอมให้เจ้าปรุงเม็ดยาเพื่อพิสูจน์ตัวตนของเจ้า”

ท่ามกลางของความเงียบงัน ชายชราผู้หนึ่งก็ก้าวออกมาข้างหน้าและพูดด้วยเสียงอันดัง

“หัวหน้าผู้อาวุโส” ผู้อาวุโสสํานักต่างพากันประหลาดใจที่เห็นคนผู้นี้ ผู้ที่เป็นรองเพียงแค่เจ้าสํานัก ที่ได้ตกลงกับคําแนะนําของซูหยาง