บทที่ 117**: ตามล่าอสูรกาย**

*ผู้แปล**: ขอแก้ไข อาวุธวิเศษ > สมบัติวิเศษ***

“อะไรกัน?” ฮัวอวิ๋นตกใจอย่างรุนแรงพร้อมถามกลับ “นี่ศิษย์พี่หญิงก็ปกป้องมันด้วยอย่างนั้นหรือ?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เทพธิดาเหมยฮวากรอกตาไปมาพร้อมกับตะโกนออกมาอย่างอดกลั้น “เจ้าคนงี่เง่า! เจ้าไม่สามารถแยกแยะได้งั้นหรือว่าอะไรดีหรือไม่ดี? เราเป็นเพื่อนร่วมสำนักกันมาหลายทศวรรษ และข้าไม่เคยพบกับอ้วนน้อยมาก่อน มีความจำเป็นอันใดที่ข้าจะต้องปกป้องเขา?”

“แล้วอะไรคือสิ่งที่ศิษย์พี่หญิงต้องการจะทำ?” นักบวชฮัวอวิ๋นถามออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง

“เป็นความลับของสวรรค์ ไม่สามารถเปิดเผยได้!” เทพธิดาเหมยฮวาส่ายหัวพร้อมกล่าวอย่างนิ่งสงบ “วันเวลาที่เงียบสงบของสำนักเสวียนเทียนกำลังจะหมดลงแล้ว อีกสิบปีข้างหน้า จะเกิดภัยพิบัติใหญ่หลวงกับเรา! ศิษย์พี่ของเจ้าไม่ต้องการที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องใดทั้งสิ้น ดังนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะเข้าสู่การฝึกฝนแบบปิด แม้ว่าฉุ่ยจิ้งจะเดินออกไปจากภูเขาเหมย ข้าก็จะไม่ให้นางกลับเข้ามาอีกเด็ดขาด ข้าจะเดือดร้อนหลังจากที่นางเข้าสู่การเป็นศิษย์ในด้วยการดูแลของเจ้าในอนาคต ถ้าหากนางทำผิด โปรดอย่าละเว้นนางเพียงแค่นางเป็นศิษย์ของข้า!”

“ศิษย์พี่หญิง… ท่าน…?” เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น นักบวชฮัวอวิ๋นกระวนกระวายใจทันทีและต้องการที่จะตั้งคำถามต่อไป

อย่างไรก็ตาม เทพธิดาเหมยฮวายกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบเบา ๆ เพื่อแสดงให้เหล่าคนรับใช้รู้ว่า ‘ส่งแขกออกไป ข้าจะดื่มชา!’ ชัดเจนว่านางไม่อยากเปิดเผยข้อมูลมากไปกว่านี้ สวรรค์ เขาทำได้เพียงแค่ทำความเคารพและออกไปเท่านั้น

เมื่อเห็นแสงลับไปจากขอบฟ้าแล้ว เทพธิดาเหมยฮวาบ่นกับตนเองอย่างไม่อาจรั้ง “ข้าหวังว่าการพบกันครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย!”

หลังจากที่นางสนทนาเสร็จสิ้น นางโบกสะบัดมือของตนเองเกิดคลื่นรุนแรงขึ้นมา นางสร้างโครงสร้างขึ้นมาหลายชั้นบนภูเขาเหมย จากนั้นเทพธิดาเหมยฮวาได้เริ่มสร้างข้อจำกัดต่าง ๆ ในการเปิดมัน ซึ่งผู้อื่นจะไม่สามารถเข้ามาได้อย่างอิสระ

ภายในชั่วพริบตาวันเวลาผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว ในขณะนี้เจ้าอ้วนกำลังสร้างลมทองแดงเพื่อปกคลุมระฆังของเขาเอาไว้ เนื่องจากลมทองแดงเป็นวัสดุคุณภาพสูงและเขาไม่ได้มีมันมากนัก จึงเป็นเรื่องยากมากที่จะติดมันบนระฆังยักษ์ใบนี้ แต่หลังจากที่เขาพยายามมาหนึ่งเดือนเต็ม เจ้าอ้วนสามารถปกคลุมระฆังได้ห้าสิบฟุต และชั้นของทองแดงหนาสามถึงสี่ฟุต

ความแข็งแกร่งของมันน้อยลงเมื่อเทียบกับเหล็กดำ แต่เนื่องจากลมทองแดงเป็นวัสดุคุณภาพสูงและเจ้าอ้วนมีฝีมือที่ดีขึ้น เปลือกด้านนอกของลมทองแดงสามารถป้องกันได้มากกว่าเหล็กดำถึงหนึ่งในห้า แม้แต่ผู้ฝึกฝนระดับปฐมภูมิก็จะไม่สามารถทำลายมันได้โดยง่าย

เจ้าอ้วนรู้สึกเบื่ออย่างช่วยไม่ได้เพราะเขาทำงานอย่างหนักตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เมื่อเขาใช้ลมทองแดงทั้งหมดที่มีไปแล้ว เจ้าอ้วนต้องออกมาจากการฝึกฝนแบบปิดอย่างช่วยไม่ได้ เขาต้องการหาสถานที่ที่มีทิวทัศน์ที่งดงามและทำให้เขาเพลิดเพลินกับการย่างมัจฉาไร้เนตรพร้อมกับเห็ดจิตวิญญาณเพื่อให้รางวัลกับตนเอง

แต่ก่อนที่เขาจะมีเวลาทำอย่างอื่น มีแสงสีม่วงผ่านมาและหงหยิงปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของเขาพร้อมกับพยัคฆ์ปีกแหลมพร้อมกล่าวทักทายอย่างตื่นเต้น “พี่ชายอ้วน สุดท้ายท่านก็ออกมาจนได้ รีบตามข้ามาเร็ว พวกเขากำลังจะมาแล้ว!” เมื่อนางกล่าวจบ นางดึงเจ้าอ้วนทันทีโดยไม่รอการตอบรับใดจากเขาเลย

ที่จริงแล้วเจ้าอ้วนสามารถนำพยัคฆ์ปีกแหลมของเขาออกมาด้วยตนเองก็ได้ เขาจึงทำอะไรไม่ถูกในตอนนี้

ในขณะที่กำลังบิน เจ้าอ้วนถามออกมาอย่างสงสัย “ศิษย์น้อง เรากำลังไปที่ไหนกันหรือ?”

“เรากำลังจะไปล่าอสูรกาย!” หงหยิงตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น “ข้าจะต้องได้รับผลตอบแทนอย่างมหาศาลแน่นอน!”

“ล่าอสูรกาย?” มันเป็นสิ่งที่เจ้าอ้วนไม่เคยนึกถึง แต่หลังจากที่หงหยิงอธิบายให้ฟังเขาก็เข้าใจทุกอย่าง

ในขณะที่การค้นหาผลไม้วิญญาณใกล้เข้ามาทุกที เหล่าอาวุโสในสำนักเกรงว่าเหล่าศิษย์ในจะไม่มีประสบการณ์ต่อสู้ที่มากพอและจะตกอยู่ในอันตรายเมื่อต้องพบเจอผู้ฝึกตนคนอื่น ดังนั้นพวกเขาจึงอนุญาตให้มีการล่าอสูรกายในบริเวณที่ใกล้กับสำนักเสวียนเทียน

ต้องเข้าใจก่อนว่าศิษย์ในคือเหล่าคนที่ได้รับการคุ้มครองอย่างดีเยี่ยมและจะไม่มีภารกิจเช่นศิษย์นอก ทรัพยากรที่จำเป็นทั้งหมดของพวกเขาได้รับจากสำนัก ดังนั้นประสบการณ์ด้านการต่อสู้ของศิษย์ในจะมีน้อยมาก นอกเหนือจากการฝึกซ้อมกับเพื่อนร่วมสำนัก นอกนั้นพวกเขาแทบจะไม่เคยพบเจอเหตุการณ์นองเลือดใดเลย

อย่างไรก็ตาม การค้นหาผลไม้วิญญาณนี้เกี่ยวข้องกับสำนักอื่น มันเป็นหนทางแห่งปีศาจ พวกเขาสามารถฆ่าได้โดยไม่ต้องคิดไตร่ตรองอันใด เหล่าศิษย์ในของสำนักเสวียนเทียนนั้นเปรียบได้กับดอกไม้ในเรือนกระจก ถ้าพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับปีศาจ โอกาสที่จะพ่ายแพ้มีสูงมาก ดังนั้นจึงมีการอนุญาตให้พวกเขาออกไปล่าอสูรกาย ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาจะได้ประสบการณ์ต่อสู้ของจริงและคุ้นเคยกับสัมผัสแห่งความตาย

แน่นอนว่าสำนักไม่ได้โยนพวกเขาออกไปนอกเทือกเขาที่เต็มไปด้วยอันตราย พวกเขาเลือกอสูรกายระดับสี่และอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัย ซึ่งผู้ควบคุมสามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง นอกเหนือจากนี้ ยังมีเหล่าผู้ฝึกตนระดับสูงคอยเป็นพี่เลี้ยงให้กับพวกเขาอีกด้วย

ก่อนที่จะพูดคุยกันเสร็จสิ้น เจ้าอ้วนและหงหยิงก็มาถึงยังจุดที่กำหนดไว้

ทั้งคู่ลงมาจากพยัคฆ์ปีกแหลมซึ่งเป็นที่สะดุดตาอย่างมาก เมื่อพวกเขาปรากฏตัวเคียงข้างกัน สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่พวกเขาทันที แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะเป็นศิษย์ในของสำนักแต่ก็ไม่อาจปิดบังสายตาแห่งความริษยาได้

เจ้าอ้วนรู้ว่าเขาถูกมองว่าเป็นคนนอกและไม่ต้องการที่จะสร้างความเดือดร้อนให้ตนเอง ดังนั้นเขาจึงเก็บพยัคฆ์ปีกแหลมของเขาและเก็บตัวอยู่เงียบแถวนั้น

สำหรับหงหยิง นางเดินเข้าไปในศาลาและถูกล้อมรอบไปด้วยผู้คนราวกับว่านางเป็นดวงดาวที่เฉิดฉาย แม้ว่านางจะไม่ชอบเหล่าคนประจบพวกนี้ แต่เนื่องจากพวกเขาทั้งหมดอยู่ในสำนักเดียวกันกับนาง นางจึงไม่อาจเย็นชาใส่พวกเขาได้

เจ้าอ้วนรู้สึกว่าช่วยไม่ได้ เขาเก็บตัวอยู่ในมุมหนึ่งและเฝ้ามองทุกอย่างที่เกิดขึ้นในศาลาอย่างเงียบงัน

มีทั้งหมดสิบคนที่เข้าร่วมการค้นหาผลไม้วิญญาณ แต่ว่าฉุ่ยจิ้งไม่ได้อยู่ที่นี่ เจ้าอ้วนรู้จักอยู่สองกลุ่ม กลุ่มแรกคือเหล่าศิษย์ในที่ล้อมรอบหงหยิงและกลุ่มของคนโง่เขลาทั้งสองคนคือเสี่ยวไป่หลงกับดาบเทวะไร้ผู้ต้าน สำหรับกลุ่มอื่นก็คือเจ้าอ้วนเพียงผู้เดียว เห็นได้ชัดว่าเขาถูกเมินทันทีหลังจากที่เขาเอาชนะมู่ซื่อหรงได้และทำลายจุดอ่อนของนาง

แต่เจ้าอ้วนก็ไม่ได้แยแสต่อเรื่องนี้และจดจ่ออยู่กับผู้ที่นำการล่าในครั้งนี้อย่างเต็มที่ ทุกอย่างถูกเน้นย้ำอย่างสมบูรณ์ในการล่าครั้งนี้ มีผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิสองคน ทั้งคู่สวมชุดสีเขียวและพาดดาบไว้ที่ด้านหลัง เมื่อมองไปที่พวกเขาให้ดีก็ทราบว่าไม่ได้ดูอาวุโสมากนักและยังเป็นเพียงศิษย์ในเท่านั้น พวกเขาอาจจะครอบครองอุปกรณ์วิเศษอยู่ก็ได้ ด้วยการคุ้มกันของทั้งสองคน แน่นอนว่าทุกอย่างจะปลอดภัยแม้จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิรู้สึกว่าถึงเวลาที่สมควรแล้วพวกเขาทั้งสองลุกขึ้นพร้อมกับพูดว่า “ศิษย์น้องทั้งหลาย ในเมื่อทุกคนอยู่ที่นี่ก็พร้อมจะเริ่มกันแล้ว พร้อมจะไปกันหรือยัง?”

“ทุกคนอยู่ที่นี่งั้นหรือ?” เสี่ยวไป่หลงกล่าวออกมา “แต่ว่าศิษย์น้องฉุ่ยจิ้งไม่ได้อยู่ที่นี่!”

“ใช่ ถ้าศิษย์น้องฉุ่ยจิ้งไม่มา พวกเราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!” ดาบเทวะไร้ผู้ต้านตะโกนออกมา

อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์น้องฉุ่ยจิ้งอยู่ในการฝึกฝนแบบปิดและไม่เข้าร่วมในการล่าอสูรกายครั้งนี้ ดังนั้นเราจึงถือว่าครบแล้ว!”

“เป็นเช่นนี้นี่เอง!” เมื่อได้ยินว่าฉุ่ยจิ้งไม่มา เสี่ยวไป่หลงและดาบเทวะไร้ผู้ต้านรู้สึกเศร้านิดหน่อย แต่พวกเขาก็กล่าวออกมาอย่างเข้าใจ “ถ้าอย่างนั้น เราไปกันเถอะ!”

“ตกลง! ทุกคนตามข้ามา!” เมื่อกล่าวจบประโยค เขาทั้งสองบินออกไปด้วยดาบทางทิศบูรพา

เมื่อศิษย์ทั้งเก้าเห็นเช่นนั้น พวกเขาตามไปด้วยดาบบินทันที ในขณะที่พวกเขาเริ่มบิน ความแตกต่างถูกแสดงออกมาทันที ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิบินไปแบบสบาย ๆ ราวกับว่าพวกเขากำลังพักผ่อนกับทิวทัศน์ที่สวยงาม

ทั้งเสี่ยวไป่หลงและดาบเทวะไร้ผู้ต้านนั้นมีสมบัติวิเศษ เสี่ยวไป่หลงใช้ดาบมังกรหยกซึ่งแสดงท่าทีราวกับขี่มังกรแท้จริงอยู่

ดาบเทวะไร้ผู้ต้านนั้นใช้ดาบไร้ผู้ต้าน ซึ่งมันมีปลอกดาบและเขาพาดมันไว้ด้านหลัง ดาบนี้ไม่มีพลังปราณไหลออกมาเพื่อเปล่งแสงสีแต่อย่างใด ทำให้ภาพของมันดูแปลกตาไป

สมบัติวิเศษของพวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับต่ำและมันมีความเร็วสูง สามารถแข่งขันกับผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิได้ สำหรับเจ้าอ้วนและหงหยิง พวกเขาทั้งสองคนใช้พยัคฆ์ปีกแหลม และไม่ได้ช้ากว่าทั้งสี่คนด้านหน้า สำหรับศิษย์คนอื่น พวกเขาใช้ดาบบินระดับอุปกรณ์วิเศษ แม้ว่าพวกเขาจะคิดว่าระดับของมันสูงแล้ว แต่มันไม่พอที่จะเปรียบเทียบกับเหล่าผู้นำกลุ่ม พวกเขาจึงต้องอยู่ด้านหลังอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าหากไม่ใช่ว่าด้านหน้าชะลอตัวเล็กน้อย พวกเขาคงจะต้องกินฝุ่นกันอย่างแน่นอน

ระหว่างการเดินทาง ผู้ฝึกตนระดับจินตันไม่ลืมที่จะอธิบายถึงจุดหมายปลายทางและข้อควรระวังต่าง ๆ ด้วยการส่งผ่านกระแสจิต แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะบินอยู่บนฟ้า ทุกคนก็สามารถได้ยินทุกคำอย่างชัดเจน

สถานที่พวกเขาไปอยู่ห่างจากสำนักเสวียนเทียนสองหมื่นลี้ ภูเขาลูกนี้ชื่อว่าภูเขาเชียนสุ่ย ซึ่งเป็นป่าที่งดงามและเต็มไปด้วยหยกเขียวทั่วทั้งป่า มีทะเลสาปที่สวยงามสมชื่อของมัน

ภูมิศาสตร์เช่นนี้สำคัญมากเพราะมันใกล้เคียงกับภูเขาที่จะต้องไปค้นหาผลไม้วิญญาณ แม้แต่สัตว์ร้ายก็ไม่ต่างกันมากนัก จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสมแก่การฝึก

ตามหลักแล้วผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิจะอยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งเดือน ในช่วงนี้พวกเขาจะต้องต่อสู้กับเหล่าอสูรกายระดับเดียวกันกับพวกเขาอย่างน้อยหนึ่งครั้งและต้องชนะ หากไม่สามารถทำได้ พวกเขาจะถูกลงโทษเมื่อกลับมา แน่นอนว่าถ้าหากชนะก็จะได้รับรางวัลด้วย

ระยะทางทั้งหมดสองหมื่นลี้เป็นการเดินทางที่ใช้เวลาสองถึงสามวันสำหรับผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนทั่วไป แต่สำหรับศิษย์ในที่เป็นถึงกลุ่มคนชั้นนำ ใช้เวลาเพียงวันเดียวเท่านั้น พวกเขามาถึงที่แห่งนี้ในเวลาค่ำพอดี

แน่นอน หลังจากผ่านการเดินทางดังกล่าวมาแล้ว เพราะเป็นระยะทางที่ค่อนข้างไกลสำหรับผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียน หลายคนเหนื่อยล้าจากการสูญเสียปราณจิตวิญญาณที่ใช้ไปในการเดินทาง ถึงขั้นเหนื่อยมากกันเลยทีเดียว แต่แม้เสี่ยวไป่หลงและดาบเทวะไร้ผู้ต้านก็หมดแรงเช่นกัน มีเพียงหงหยิงและเจ้าอ้วนเท่านั้นที่รู้สึกร่าเริงอยู่ พวกเขาให้พยัคฆ์ปีกแหลมบินและพวกเขาเพียงนั่งอยู่บนหลังมันทั้งวันเท่านั้น แต่หินจิตวิญญาณทั้งหมดที่ถูกใช้ไปก็สามารถสร้างความเจ็บปวดใจให้แก่พวกเขาได้เช่นกัน

แต่เจ้าอ้วนอยู่ในฐานะที่ร่ำรวย และหงหยิงเป็นบุตรสาวคนเดียวของจ้าวสำนักแน่นอนว่าฐานะของนางไม่ธรรมดา จำนวนหินจิตวิญญาณที่สูญเสียไปทั้งหมด เหล่าคนอื่นจึงไม่กล้าแม้แต่จะเหน็บแนม

ข้างกันนั้น ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิทั้งสองยังคงดูดีอยู่ ด้วยความสามารถของพวกเขา ระยะทางเพียงสองหมื่นลี้ไม่เป็นปัญหา เขาทั้งสองจัดระเบียบสำหรับค่ำคืนนี้อย่างรอบคอบพร้อมกับทำหน้าที่เวรยามตลอดคืน

หลังจากผ่านคืนที่เงียบสงบไปแล้ว ทุกคนที่เข้าสู่สมาธิได้ลืมตาและลุกขึ้น พวกเขาทั้งหมดฟื้นฟูพลังตนเองเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับถูมือตนเองไปมาเพราะจดจ่ออยู่กับการล่าอสูรกายที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น

ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิรู้ดีว่าเหล่าหนุ่มสาวพวกนี้อยู่ภายใต้การดูแลของเหล่าอาวุโสในสำนักและไม่มีประสบการณ์ต่อสู้กับอสูรกาย ดังนั้นพวกเขาจึงตื่นเต้นมากที่จะได้จู่โจม เมื่อเห็นสีหน้าตื่นเต้นของศิษย์เหล่านี้ ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิเข้าใจทันที พวกเขาไม่พูดมากและเดินนำทางไปยังภูเขาทันทีหลังจากที่พระอาทิตย์ขึ้น ในขณะที่เดินอยู่พวกเขาอธิบายให้ฟังถึงเหล่าอสูรกายที่อยู่ที่นี่ สิ่งที่ควรทำและสิ่งที่ควรระวังทั้งหมด

เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาทำเช่นนี้ พวกเขาอธิบายอย่างละเอียดและน่าสนใจ หลังจากที่ทุกคนได้ยินแล้ว พวกเขาไม่รู้สึกเบื่อหน่ายแต่อย่างใดแต่กลับสนุกสนานมากขึ้น

หลังจากที่เดินมาสองสามชั่วโมง ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิได้หยุดเท้าลง หนึ่งในนั้นหันกลับมาพูดด้วยรอยยิ้ม “ด้านหน้ามีหนึ่งตัวที่เหมาะแก่การลงมือ ใครจะเป็นคนแรก?”

“ให้ข้าลอง ข้าจะลองเอง!” ทุกคนตะโกนออกมาพร้อมกัน

เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ฝึกตนอีกคนรีบกล่าว “งั้นด้วยวิธีการนี้ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะต่อสู้กับอสูรกายตนนี้อย่างเท่าเทียมกัน! ใครสามารถตรวจสอบพบว่ามันคือตัวอะไร จะได้สู้กับมัน!”

ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เสี่ยวไป่หลงหัวเราะออกมาเยือกเย็นพร้อมกล่าวว่า “ไม่เห็นว่ามันจะยากเย็นตรงไหน เพียงแค่อสูรกายระดับสี่ แมงมุมพิษสายรุ้งเท่านั้นเอง ถูกไหม?”

“หือ?” เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น พวกเขาทั้งหมดตกใจทันที บางสิ่งบางอย่างที่พวกเขาไม่ทันรู้สึก กลับถูกคว้าไว้แล้วโดยตัวบัดซบผู้นี้ ความจริงคือมันไร้มารยาทจนเกินไป เมื่อเห็นการแสดงออกของทุกคน เสี่ยวไป่หลงรู้สึกเย่อหยิ่งเช่นเดิมอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิจึงรีบกล่าวออกมาอย่างเข้าใจสถานการณ์ “อา ข้าเข้าใจ เจ้าคือเสี่ยวไป่หลงที่ครอบครองจิตวิญญาณแห่งมังกรหยก สิ่งนั้นมีสัมผัสวิญญาณที่แข็งแกร่งมาก ดังนั้นสัมผัสวิญญาณของเจ้าจึงเหนือกว่าคนอื่นในที่นี้ นั่นเป็นเหตุผลที่เจ้ารู้สึกถึงมันได้!”

“ฮ่า เป็นเช่นนี้นี่เอง!” ทุกคนเข้าใจในทันที แต่ก็ยังจ้องมองไปที่เสี่ยวไป่หลงอย่างรังเกียจเช่นเดิม

เมื่อเคล็ดลับเล็กน้อยของเขาถูกเปิดเผย เสี่ยวไป่หลงรู้สึกโกรธขึ้นมาภายในใจ เขาอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิไม่เปิดโอกาสให้เขาพูดแต่อย่างใด “ตามที่สัญญาไว้ก่อนหน้านี้ ถ้าหากใครเป็นผู้ที่ค้นพบมัน จะได้ต่อสู้กับมัน” เมื่อเสี่ยวไป่หลงได้ยินเช่นนั้น เขาลืมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นทันที พร้อมกล่าวอย่างร่าเริง “ไม่มีปัญญา ให้ข้าสู้กับมัน!”

เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น เสี่ยวไป่หลงกลายเป็นลำแสงพุ่งออกไปด้านหน้าโดยทันที