บทที่ 119**:**ปีศาจเฒ่าเฟิ่งหมิง

ผู้ฝึกตนรายนี้บาดเจ็บสาหัสคล้ายกับว่าเขาสูญเสียจิตวิญญาณและพลังชีวิตของตนเองไปแทบจะหมดสิ้นแล้ว แต่คนผู้นี้ยังสามารถใช้ดาบบินได้อยู่ เป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าเขาแข็งแกร่งเพียงใด

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน สิ่งที่ทำเขาบาดเจ็บนั้นเป็นภัยคุกคามอย่างรุนแรง เนื่องจากอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ไม่ขึ้นกับสำนักใด แน่นอนว่าเขาจะใช้การบาดเจ็บเช่นนี้ล่อลวงผู้อื่นให้เข้ามาติดกับ แล้วใครกันเล่าจะไม่ถูกล่อลวงโดยสมบัติมากมายเช่นนี้?

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ดวงตาของผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิเบิกโพลงขึ้นอย่างรวดเร็ว คนที่ยืนอยู่ทางซ้ายยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ “พี่ชาย ดูเหมือนว่าท่านจะได้รับบาดเจ็บนะ!”

“ท่านต้องการให้พวกเราช่วยท่านหรือไม่?” ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิอีกคนถามต่อทันที

“ช่วยข้า?” เขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ช่วยปลดอุปกรณ์ของข้าทั้งหมดน่ะหรือ?”

“ฮ่าฮ่า พี่ชายช่างมีสติปัญญาที่เฉียบแหลม!” ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิด้านซ้ายหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น “พี่ชายบาดเจ็บหนักมากในสถานการณ์ตอนนี้ คงจะทรมานนักถ้าหากยังมีชีวิตอยู่ เหตุใดจึงไม่ให้เรายื่นมือเข้าช่วยเล่า?”

“หน้าที่หลักของเราคือการช่วยเหลือเหล่าผู้ฝึกตนด้วยกันอยู่แล้ว! พี่ชายไม่ต้องแสดงความขอบคุณแก่เราแต่อย่างใด!” ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิอีกคนกล่าวออกมาอย่างขำขัน “เราต้องการสมบัติทั้งหมดที่อยู่ในการครอบครองของท่านเท่านั้น!”

“ฮ่าฮ่า!” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะออกมาอย่างอหังการ ราวกับว่าได้ยินเรื่องที่ตลกขบขันที่สุดในโลกอย่างไรอย่างนั้น

“พี่ชาย มีอะไรน่าขำงั้นหรือ?” ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิทางซ้ายถาม

“แน่นอนว่ามันตลกยิ่งนัก!” เขาหัวเราะอย่างเยือกเย็นพร้อมกล่าวว่า “กำลังคิดว่าข้าที่สังกัดตระกูลตู๋เจียผู้ซึ่งโดนผู้ฝึกตนมากมายเข้าปล้น และวันนี้ข้ากลับจะถูกปล้นโดยเหล่าเด็กน้อยพวกนี้ เจ้าไม่คิดว่ามันตลกงั้นหรือ?” เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น เขาโบกมือขวาที่เหลือและปรากฏดาบทองยาวประมาณหนึ่งขึ้นตรงหน้าของเขา ใบมีดของมันมีนกอมตะพันอยู่รอบ ๆ ในขณะที่มันปรากฏตัวออกมา มันส่งเสียงร้องดังสนั่นหวั่นไหว เสียงก้องกังวานราวกับเสียงจากสรวงสวรรค์

ผู้ฝึกตนทั้งหมดถอยหลังกลับไปสองถึงสามก้าว เมื่อนกอมตะเปล่งเสียงออกมาดังกังวานตรงหน้า แน่นอนว่าอุปกรณ์ชนิดนี้คือสมบัติวิญญาณ! เมื่อเห็นรูปร่างที่มีเอกลักษณ์ของใบมีดและเขากล่าวว่ามาจากตระกูลตู่เจีย ใบหน้าของผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิและเหล่าวัยรุ่นต่างตกใจและตะโกนออกมาพร้อมกัน “กระบี่เฟิ่งหมิง! ท่านคือปีศาจเฒ่าเฟิ่งหมิง ตู๋เชียนเฉิง!”

“เหอะเหอะ ข้าเอง!” ตู๋เชียนเฉิงกล่าวออกมาอย่างสดใส “ศิษย์น้อง พวกเจ้ากล้าหมายศีรษะข้าจริงงั้นหรือ? ฮ่าฮ่า ข้าชื่นชมพวกเจ้าจากใจจริง!”

หลังจากที่ทั้งหมดได้ยินคำยืนยันจากปากของเขาแล้ว ทุกคนแทบจะเป็นลม!

ตู๋เชียนเฉิงเป็นผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินที่มีชื่อเสียงอย่างมากในโลกแห่งการฝึกตน ว่ากันว่าเขาเป็นผู้ฝึกตนอิสระและถูกรังแกจากเหล่าสำนักมากมายจนนับไม่ถ้วนบนเส้นทางแห่งการฝึกฝนของเขา เป็นความแค้นที่มีต่อกันมาอย่างยาวนาน น่าสงสารที่ตอนนี้ความสามารถของเขาไม่เพียงพอที่จะต่อสู้กับคนเหล่านั้นได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังยืนหยัดได้อยู่

แต่วันที่โชคดีของตู๋เชียนเฉิงก็มาถึง เมื่อมีโอกาสได้พบกับผู้ฝึกตนโบราณที่ไร้สำนักและละทิ้งสมบัติทั้งหมดของเขาพร้อมด้วยเคล็ดวิชาการฝึกฝน ไม่เพียงแต่จะทำให้เขาเข้าสู่ระดับหยวนหยิน แต่เขายังได้รับสมบัติวิญญาณ กระบี่เฟิ่งหมิง!

สมบัติวิญญาณชิ้นนี้เป็นสิ่งวิเศษ มันไม่เหมือนกันกับสมบัติวิเศษอื่น เพราะมันก่อตัวขึ้นมาจากเคล็ดวิชาต้องห้าม และความพิเศษของมันเป็นเฉพาะตัวนั่นคือความเร็วของมัน! ซึ่งเร็วมาก! เมื่อกระบี่เฟิ่งหมิงเคลื่อนไหว นกอมตะจะกรีดร้องออกมา ว่ากันว่าเมื่อเสียงของมันยามกระทบเข้ากับหูของฝ่ายตรงข้าม มันก็จะเป็นช่วงเวลาที่ศีรษะของฝ่ายตรงข้ามโรยราสู่พื้น ดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘ยามได้ยินเสียงนกอมตะกรีดร้อง เมื่อนั้นศีรษะจักร่วงหล่น’

นอกเหนือจากนั้น กระบี่เฟิ่งหมิงไม่ใช่มีแต่เพียงความเร็วเท่านั้น มันเป็นอุปกรณ์ที่ผู้ฝึกตนสามารถขี่ได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ความเร็วของผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินพื้นฐานคือหลักพันลี้ต่อชั่วโมง แทบจะไม่มีผู้ใดที่มีความเร็วถึงหนึ่งหมื่นลี้ต่อชั่วโมง แต่ความเร็วของดาบเฟิ่งหมิงนั้นเร็วถึงหนึ่งหมื่นแปดพันลี้ต่อชั่วโมง! กล่าวก็คือ สามารถบินได้ห้าพันสี่ร้อยลี้ในเวลาสิบนาที!

หลังจากที่เขาครอบครองดาบเฟิ่งหมิง ทำให้ความสามารถของเขาน่ากลัวจนเกินไป ตู๋เชียนเฉิงกลายเป็นผู้ฝึกตนที่มีความเร็วที่สุดในโลก!

แน่นอนว่าตู๋เชียนเฉิงนั้นได้ทำการแก้แค้นเหล่าสำนักทั้งหลายที่เคยรังแกเขาไว้ในอดีต มีสำนักเล็กน้อยถูกทำลายโดยเขามากมาย

เนื่องจากในอดีตเขาประสบกับความอยุติธรรมมากเกินไป จนเกิดเป็นปีศาจขึ้นภายในใจเขา อีกทั้งวิธีการฆ่าของเขานั้นโหดร้ายมาก เขาสนุกกับการสับคนให้เป็นลูกเต๋าและเล่นสนุกกับเหล่าหญิงสาวผู้ฝึกตนจนตายตกไป ภายในใจของเขาไม่เคยรู้สึกเสียใจหรือเวทนาใด ไม่ว่าจะเป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่มาจากไหน ไม่ว่าจะเป็นสำนักที่ชอบธรรมหรือชั่วร้าย เขาจะไม่มีทางละเว้นถ้าหากพบเห็นเข้า ในระยะเวลาสั้น ๆ เขาทำให้เกิดการนองเลือดมากมายในโลกแห่งผู้ฝึกตน

ทั้งสำนักชอบธรรมและเหล่าปีศาจต่างมุ่งหวังที่จะจับตัวเขามาตลอด แต่ก็ไม่มีประโยชน์! ด้วยกระบี่เฟิ่งหมิงในมือของเขา มีไม่กี่คนที่อยู่ในระดับหยวนหยินและสามารถต่อสู้กับเขาได้ ถึงแม้ว่าทุกคนจะเข้าโจมตีพร้อมกัน แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้ เพราะว่าเขาสามารถใช้กระบี่เฟิ่งหมิงหลบหลีกการโจมตีของทุกคนได้อย่างง่ายดาย

เหล่าผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินจำนวนสิบสองคนต่อสู้กับเขาตลอดมาสิบปีและพยายามหาจุดอ่อนของเขา แต่แล้วพวกเขาทั้งหมดก็ถูกการซุ่มโจมตีจนตายตกไปจนหมดสิ้น ทุกอย่างไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง เหล่าผู้ฝึกตนระดับจินตันก็ไม่สามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินได้ อีกทั้งเขายังครอบครองสมบัติวิญญาณอีกด้วย ตู๋เชียนเฉิงฆ่าแม้กระทั่งเหล่าผู้ฝึกตนระดับจินตันในยามที่ไม่เหลือผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินแล้วซึ่งเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมอย่างถึงที่สุด!

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินไม่สามารถร่วมมือกันได้ ความล้มเหลวนับไม่ถ้วนทำให้พวกเขาตำหนิกันเอง ดังนั้นพวกเขาทำได้แค่ยอมแพ้และกลับไปปกป้องสำนักของตนเอง แม้ว่าจะมีกระบี่เฟิ่งหมิง แต่ตู๋เชียนเฉิงก็ไม่เคยประมาทสักครั้ง ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ออกจากสำนัก พวกเขาก็ยังสามารถปกป้องตนเองได้

การถอนตัวของผู้ฝึกตนเหล่านี้ทำให้ตู๋เชียนเฉิงยิ่งโดดเด่นมากขึ้น ในร้อยปีที่ผ่านมาเขาใช้วิธีสังหารผู้ฝึกตนมากมายนับไม่ถ้วนอย่างโหดร้าย เรียกได้ว่าเขาสังหารผู้ฝึกตนระดับจินตันไปนับร้อยคนให้ตายตกไปด้วยมือของเขา!

หลังจากที่สังหารพวกเขาแล้ว แน่นอนว่าผู้ฝึกตนระดับจินตันนั้นร่ำรวยอย่างมากและมีอาวุธวิญญาณมากมาย

ความมั่งคั่งของเหยื่อทั้งหมดทำให้ฐานะของตู๋เชียนเฉิงมั่งคั่งอย่างรวดเร็ว นั่นยิ่งทำให้ระดับของการฝึกฝนของเขาพัฒนาขึ้นไปอีก ความโหดร้ายของเขาได้เสริมความแข็งแกร่งของตนเองอย่างมหาศาล และมันยิ่งทำให้เขาได้ใจ ด้วยเหตุนี้มันจึงก่อตัวเป็นวัฏจักรแห่งความชั่วร้ายไม่มีที่สิ้นสุด!

แต่เมื่อตู๋เชียนเฉิงมาถึงจุดสูงสุด เขาทำผิดพลาดที่เป็นคนที่เย่อหยิ่งอย่างถึงที่สุด ข้อผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือความโลภของเขา เขาได้ยินมาว่าเทพธิดาเหมยฮวามีสมบัติวิญญาณสองชิ้นซึ่งไม่ต้องระบุผู้ใช้ซึ่งเป็นเจ้าของ ในขณะที่เขาได้ยินเช่นนั้น เขามีความต้องการที่จะขโมยสมบัติวิญญาณทั้งสองชิ้น แต่จากที่เขารู้คือเทพธิดาเหมยฮวาไม่ได้อยู่ในบริเวณสำนัก และไม่ได้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของจ้าวสำนัก ซึ่งมันง่ายต่อการแทรกซึมเข้าไป แม้ว่าเขาจะล้มเหลว เขาก็สามารถหลบหนีได้ด้วยกระบี่เฟิ่งหมิงของเขา

แต่เขารู้มาว่าเทพธิดาเหมยฮวานั้นมีเคล็ดวิชาเทพธิดาพยากร ในช่วงที่เขากำลังวางแผนจะขโมยของ นางรู้สึกได้ทันที นางได้ทำนายทุกสิ่งและรู้ว่าเขากำลังจะไป แม้แต่วิธีการที่เขาจะทำ และเส้นทางที่เขาจะไป ทุกอย่างถูกล่วงรู้ก่อนโดยเทพธิดาเหมยฮวา

ในตอนท้าย ตู๋เชียนเฉิงตกอยู่ในปัญหาใหญ่! เขาคิดว่าเขาสามารถลักลอบเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้ แต่เขากลับตกอยู่ในกับดักของอีกฝ่าย เขาติดอยู่ในกับดักของเทพธิดาเหมยฮวาเกือบเดือน สิ่งที่รอตู๋เชียนเฉิงอยู่ไม่ใช่เพียงเคล็ดวิชาเทพธิดาพยากรเท่านั้น ที่แห่งนั้นมีนักบวชฮัวอวิ๋น จ้าวสำนักและภรรยาของเขา พร้อมด้วยเทพธิดาเหมยฮวากำลังรอพบเขาอยู่ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าเขาจะมีกระบี่เฟิ่งหมิงสองถึงสามเล่ม ก็ไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ปล้นคนมามากในเวลาหลายปี เขาสะสมความมั่งคั่งมามากมาย เป็นเรื่องปกติที่ผู้ฝึกตนสามารถสร้างอาวุธวิญญาณได้ แต่สำหรับตู๋เชียนเฉิงที่ฆ่าผู้ฝึกตนระดับจินตันมากมาย เขามีอาวุธวิญญาณมากกว่าสามร้อยชิ้น! และเพื่อการหลบหนีด้วยหัวใจที่กล้าแกร่ง เขาระเบิดอาวุธวิญญาณจำนวนสองร้อยห้าสิบหกชิ้นเพื่อสร้างระเบิดขนาดใหญ่ และใช้กระบี่เฟิ่งหมิงหลบหนี

แต่ทว่าเทพธิดาเหมยฮวาก็ยังสามารถทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้และทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสในตอนสุดท้าย หลังจากที่เขาพักฟื้นตัวอยู่นานนับสิบปี เขาก็ฟื้นตัวขึ้น และหวังอย่างยิ่งว่าจะออกจากภูเขาลูกนี้ได้ แต่แล้วเขาถูกปล้นอีกครั้งและได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้เขากำลังจะถูกปล้นโดยเหล่าสาวกที่ต่ำต้อยและไม่ได้อยู่แม้ระดับจินตัน

เรื่องฉาวโฉ่ของตู๋เชียนเฉิงที่พบกับความพ่ายแพ้ภายใต้สำนักเสวียนเทียน สิ่งนี้ทำชื่อเสียงของสำนักเสวียนเทียนยกระดับขึ้นไปอีก ทุกคนในสำนักรู้สึกภูมิใจกับเรื่องเหล่านี้มากและได้ร้องขอให้เหล่าอาวุโสเล่าเรื่องนี้ให้ฟังอยู่หลายครั้ง แน่นอนว่าทุกคนในสำนักเสวียนเทียนจะเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน เช่นในตอนนี้ตู๋เชียนเฉิงนำกระบี่เฟิ่งหมิงออกมาอีกครั้ง และทุกคนอยู่ตรงนี้รวมทั้งเจ้าอ้วนจึงต่างทราบว่าบุคคลตรงหน้าพวกเขาคือใคร!

หลังจากที่ได้รู้ว่าเขาเป็นใคร ทุกคนตกอยู่ในสภาวะตกตะลึงทันที เหล่ามือใหม่ทั้งหลายที่มีความคิดจะปล้นนักฆ่าที่สังหารผู้ฝึกตนระดับจินตันมาแล้วนับไม่ถ้วน พวกเขากำลังแกว่งเท้าหาเสี้ยนใช่หรือไม่?

แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะตกใจ ตู๋เชียนหมิงไม่ลังเลแม้แต่น้อย ด้วยเสียงหัวเราะอันเย็นเยียบ เขากล่าวออกมาอย่างรังเกียจ “เหล่าเด็กน้อยที่ไม่รู้ว่าความตายคือสิ่งใด ข้าอนุญาตให้เจ้าไปตายได้!” หลังจากเขากล่าว เขายกมือขวาขึ้นแตะกระบี่เฟิ่งหมิงเบา ๆ จากนั้นกระบี่พุ่งออกไปเป็นลำแสงสีทองและเปล่งเสียงร้องก้องกังวาน

ช่วงเวลาที่พวกเขาทั้งหมดเห็นสถานการณ์ ทั้งหมดรู้ทันทีว่าได้ยืนอยู่ตรงหน้าปีศาจร้ายและปีศาจตนนี้ไม่ยอมให้พวกเขาหนีไปอย่างแน่นอน รวมกับกระบี่เฟิ่งหมิงนั้นมีชื่อเสียงอย่างล้นหลามและมันไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะหลบหนีได้ เมื่อเหตุการณ์มาถึงจุดนี้ จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของพวกเขาทั้งหมดหดหายไปทันที แต่ถ้าหากพวกเขาละทิ้งอาวุธวิญญาณสี่ชิ้นในครอบครอง อาจจะพอมีโอกาสรอดชีวิตอยู่บ้าง