บทที่ 120**: ปีศาจเฒ่าผู้ยิ่งใหญ่**
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิทั้งสองคน เสี่ยวไป่หลงและดาบเทวะไร้ผู้ต้านฟื้นคืนสติทันที พวกเขาตะโกนเสียงดังและปลดปล่อยสมบัติวิเศษและสิ่งที่มีค่าของพวกเขาทั้งหมด ดาบบินสองเล่ม หนึ่งเป็นดาบแต่เต็มไปด้วยพลัง พร้อมกันกับกระจกที่สะท้อนกับแสงของดาบสีทองระยิบระยับ เห็นได้ชัดว่าดาบนั้นไม่มีความมั่นคงเนื่องจากอาการบาดเจ็บของผู้ใช้
เมื่อเห็นว่าสมบัติวิเศษทั้งสี่ชิ้นสร้างคลื่นพลังออกมาและทำให้กระบี่ของฝ่ายตรงข้ามสั่นไหว ทุกคนในที่นี้เริ่มมองเห็นความหวังขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาทั้งหมดจ้องไปที่ฉากด้านหน้าอย่างไม่วางตาอย่างหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น
แต่ความจริงช่างโหดร้ายและปาฏิหาริย์ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายดายนัก แม้ว่าจะมีการปรากฏตัวที่น่าเกรงขามของสมบัติวิเศษทั้งสี่ แต่มันก็ยังคงอ่อนแอเกินไปเมื่อเทียบกับสมบัติวิญญาณ นี่เป็นความแตกต่างอย่างสมบูรณ์ของพวกมัน หลังจากที่พวกเขาพยายามจะต่อรอง สมบัติวิเศษของเสี่ยวไป่หลง ดาบเทวะไร้ผู้ต้านและสมบัติวิเศษอื่น ๆ ทั้งหมดถูกทำลายลงทันที ราวกับว่ามันเป็นเพียงเศษขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น
สมบัติวิเศษทั้งสามชิ้นถูกทำลายลงไปแล้ว แต่ดาบเทวะไร้ผู้ต้านกลับหลบซ่อนอยู่หลังเจ้านายของมันและไม่เข้าร่วมกับการปะทะเมื่อครู่ แต่เนื่องจากวิญญาณของดาบถูกทำลายลง ฝักของมันมีรอยแตกร้าวและพังทันที
เนื่องจากสมบัติวิเศษทั้งสี่นี้เชื่อมโยงจิตวิญญาณกับเจ้าของ การถูกทำลายของพวกมันทำให้ส่งผลกระทบถึงเจ้าของทันที พวกเขาพ่นก้อนเลือดออกจากปากพร้อมถอยหลังด้วยอาการบาดเจ็บหนักอย่างฉับพลัน
สำหรับกระบี่เฟิ่งหมิง มันสั่นคลอนเล็กน้อยหลังจากที่ทำลายสมบัติวิเศษทั้งสี่ไปแล้ว ทว่ามันยังคล้ายต้องการบั่นเศียรของผู้คนเบื้องหน้าเหล่านี้อีก
ในขณะนั้น ทั้งสี่คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าถอยกลับไปตั้งหลักเนื่องจากอาการบาดเจ็บหนัก เช่นนี้ หงหยิงที่อยู่ตรงนั้นจึงขึ้นมาป้องกันแทนอย่างรวดเร็ว นางหันหน้าไปปะทะกับกระบี่ที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร เด็กหญิงผู้นี้ไม่เคยพบเจอเหตุการณ์ชีวิตเช่นนี้ และการต่อสู้เช่นนี้จะนำพาตัวนางไปสู่ความตาย นางรู้สึกถึงกลิ่นอายแห่งความตายได้ในขณะที่ยืนอยู่ตรงนั้น จึงทำให้ร่างกายสั่นไหวอย่างไม่อาจควบคุม สำหรับคนอื่น ๆ มีทั้งคนที่ได้รับบาดเจ็บและคนที่ไม่อาจทำสิ่งใดได้ จึงทำได้เพียงจ้องมองราวเหม่อลอย
เมื่อมองเห็นหญิงสาวหน้าตาน่ารักกำลังจะถูกเฉือนเป็นสองส่วนด้วยกระบี่เฟิ่งหมิง ร่างกายที่แข็งแรงวิ่งมาอย่างกล้าหาญเพื่อยืนอยู่ด้านหน้าของหงหยิง เขาปกป้องนางด้วยร่างกายของเขาเอง
ไม่ต้องกล่าวสิ่งใดต่อ เจ้าอ้วนยืนสังเกตการณ์อยู่ที่ด้านหลังตลอดการต่อสู้ ในขณะนี้เขาเห็นว่าหงหยิงกำลังอยู่ในอันตราย เขาไม่ได้ไตร่ตรองแม้แต่นิดเดียวว่าร่างกายเขาจะปกป้องนางได้ เพราะแม้แต่สมบัติวิเศษทั้งสี่ยังไม่สามารถทำได้ เขาเพียงแค่วิ่งออกไปตามสัญชาตญาณเพื่อปกป้องหญิงสาว
แต่เขาก็ไม่ใช่คนไร้สมองและไม่ได้คิดจะป้องกันการโจมตีของกระบี่เฟิ่งหมิงด้วยร่างกายของเขา ในขณะที่เขากำลังวิ่ง เขาหยิบระฆังจากมิติลึกลับเพื่อให้มันออกมาป้องกัน
ขณะที่ระฆังลมทองแดงปรากฏออกมา มันปะทะเข้ากับกระบี่เฟิ่งหมิงอย่างรุนแรง ทุกคนสามารถได้ยินเสียงนี้อย่างชัดเจนจากปล่องของระฆังด้านใน แต่สิ่งที่น่าแปลกใจที่สุดคือระฆังลมทองแดงสามารถป้องกันการโจมตีของกระบี่เฟิ่งหมิงได้ แม้ว่าจะเกิดความเสียหายร้ายแรงก็ตาม แต่กระบี่เฟิ่งหมิงก็โดนดีดสะท้อนกลับสู่เจ้าของ
อย่างไรก็ตาม แม้เจ้าอ้วนจะครอบครองระฆังแต่เรื่องราวไม่ง่าย กระบี่เฟิ่งหมิงนั้นเป็นสมบัติวิญญาณอย่างสมบูรณ์อีกทั้งผู้ใช้มันอยู่ในระดับหยวนหยิน แม้ว่าตู๋เชียนเฉิงจะบาดเจ็บหนัก แต่ทว่ากระบี่เฟิ่งหมิงยังสามารถทำลายสมบัติวิเศษทั้งสี่ได้อย่างรวดเร็วแม้ว่ามันไม่มีพลังหลงเหลืออยู่เลย อีกทั้งความสามารถในการโจมตีของมันยังน่าเกรงขาม คนอื่นอาจไม่รู้ถึงศักยภาพการโจมตีของมัน แต่เจ้าอ้วนเข้าใจทุกสิ่งอย่างชัดเจน
ด้านนอกของระฆังทั้งสี่ฝั่งถูกหั่นออกเป็นแผ่น ความจริงแล้วสิ่งที่ปกป้องเจ้าอ้วนไว้คือพื้นผิวของระฆังทองแดงที่แท้จริง
อย่างไรก็ตามแม้ว่าใบมีดจะหยุดลง แต่ร่องรอยการแสดงพลังของมันยังฝากไว้บนระฆังใบยักษ์นี้ ท้ายที่สุดระฆังใบนี้สูงสามสิบฟุตกำลังพุ่งกลับมาหาฝูงชนที่ยืนอยู่
แรงบินของมันขึ้นอยู่กับน้ำหนักและแรงส่ง มันสามารถทำลายภูเขาลูกเล็กได้อย่างง่ายดาย และเหล่าผู้ฝึกตนที่อ่อนแอทั้งหลายไม่อาจต่อกรกับมันได้
เจ้าอ้วนที่ยืนอยู่ด้านหน้า ใบหน้าเปลี่ยนสีทันทีเมื่อมองเห็นสถานการณ์เช่นนั้น แน่นอนว่าเขาสามารถหลบระฆังใบนี้ได้ แต่ถ้าหากเขาหลบ หงหยิงที่ยืนอยู่ด้านหลังจะกลายเป็นผู้เคราะห์ร้ายทันที
เพื่อที่จะปกป้องหงหยิงที่ยืนอยู่ด้านหลัง เจ้าอ้วนกัดฟันไว้แน่นและเลือกที่จะแบกรับระฆังใบนี้ไว้เอง เขาคำรามออกมา กล้ามเนื้อทุกส่วนขยายตัวทำให้เสื้อคลุมของเขาฉีกขาดทันที เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่ถูกปกปิดไว้ด้านในอย่างชัดเจน
ในขณะนี้ เจ้าอ้วนไม่ได้เป็นไขมัน! เห็นได้ชัดว่าเขามีกล้ามเนื้อ และกล้ามเนื้อของเขาแม้แต่หมีก็ไม่อาจเทียบได้! ราวกับว่าเขามาจากดินแดนอื่นอย่างไรอย่างนั้น ทุกคนที่มองอยู่รู้สึกทึ่งโดยทันทีเมื่อได้เห็น!
หลังจากที่เจ้าอ้วนคำรามออกมา แขนอันทรงพลังของเขายื่นไปด้านหน้าพร้อมเสียงดังที่ทุกคนได้ยินพร้อมกัน ด้วยพลังของคนเพียงผู้เดียว เขากลับสามารถหยุดระฆังลมทองแดงที่ถูกส่งกลับมาได้ มือหนาของเขาจมลงไปในพื้นผิวลมทองแดงถึงสามนิ้ว! พื้นดินตรงเท้าของเขาทั้งสองข้างแตกออก ร่างกายของเขาเคลื่อนที่เล็กน้อย แต่หงหยิงที่อยู่ด้านหลังได้รับการปกป้องอย่างสมบูรณ์แบบ
แต่ว่าระฆังลมทองแดงนั้นเป็นเลิศเกินไป แม้ว่าเจ้าอ้วนจะมีร่างกายและเส้นเอ็นที่แข็งแกร่ง แต่เขาก็ไม่อาจทนกับแรงกดดันเช่นนี้ได้ ในขณะที่เขากำลังได้รับผลกระทบของมัน เขาบ้วนเลือดออกมาก้อนใหญ่อย่างไม่อาจอดกลั้น
เพียงชั่วครู่เท่านั้นที่กระบี่เฟิ่งหมิงทำลายสมบัติวิเศษทั้งสี่และถูกป้องกันไว้โดยระฆังลมทองแดง แต่สำหรับเจ้าอ้วนและทุกคน ช่วงเวลาแห่งนี้คือวินาทีแห่งการสัมผัสเหตุการณ์ชีวิตและสัมผัสกับความตาย
หงหยิงที่ยืนอยู่ด้านหลังกำลังจ้องมองไปยังเจ้าอ้วนที่ร่างกายใหญ่โตดั่งภูเขาลูกเล็กพร้อมกับความรู้สึกขอบคุณจากใจจริง หลังจากเวลาแห่งความตื่นตระหนกได้ผ่านไป ทุกคนตะโกนออกมาอย่างรวดเร็ว “หนี!” หลังจากที่พวกเขากล่าวจบ พวกเขาทั้งหมดวิ่งออกไปทันที พร้อมกับทิ้งให้เจ้าอ้วนและหงหยิงไว้ข้างหลัง
เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนสามารถป้องกันการโจมตีของเขาได้ ตู๋เชียนเฉิงตกใจเล็กน้อย มันเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ทำให้ทุกคนหลบหนี เขาโกรธทันทีเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าหากเหล่าหนุ่มสาวทั้งหมดหลบหนีไปได้ แน่นอนว่ามันจะนำพาผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินมาที่นี่อย่างแน่นอน ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของเขา เขาไม่อาจหลบหนีได้ด้วยกระบี่เฟิ่งหมิง ดังนั้นเขาจะต้องปิดปากทุกคนที่อยู่ที่นี่ทั้งหมด เมื่อคิดเช่นนั้นเขาจึงกระโตนออกไปทันที “พวกเจ้าคิดจะไปที่ไหนกัน! พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องตายอยู่ที่นี่!”
หลังจากเขากล่าวจบ กระบี่เฟิ่งหมิงกรีดร้องออกมาอีกครั้งและพร้อมที่จะเคลื่อนออก เจ้าอ้วนตกใจแต่เขาสามารถฟื้นคืนสติอย่างรวดเร็วพร้อมคำรามออกไปว่า “ศิษย์น้อง หนีไป! ข้าจะคอยระวังหลังให้เจ้าเอง!” เมื่อเขาตะโกนเช่นนั้น มือขวาของเขาจับไหล่ของหงหยิงไว้ และโยนนางออกไปด้านนอกทันที ในขณะนั้น เขาวิ่งไปหาตู๋เชียนเฉิงราวกับพายุโหม เจ้าอ้วนรู้ขนาดของร่างกายเขาดีว่ามันไม่อาจเร็วเท่ากับกระบี่เฟิ่งหมิง แม้ว่าเขาจะมีระฆังลมทองแดงก็ตาม ตู๋เชียนเฉิงคิดอยู่ชั่วครู่ จากประสบการณ์การต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ของเขาทั้งหมดที่ผ่านมา เขาจะไม่มุ่งเน้นไปที่การทำลายระฆังเป็นครั้งที่สอง เนื่องจากมันไม่สามารถทำลายได้ สิ่งที่ต้องทำคือฆ่าเจ้าอ้วนและหงหยิง เพราะทั้งคู่จะไม่ทิ้งกัน เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้พวกเขาอยู่ตรงนี้ขณะที่ทุกคนกำลังหลบหนี
เห็นได้ชัดเจนว่าช่วงเวลาแห่งความตายนี้ เจ้าอ้วนอนุญาตให้หงหยิงหลบหนีและเขาเลือกที่จะเผชิญหน้ากับกระบี่เฟิ่งหมิง
แม้ว่าเจ้าอ้วนจะกังวลเรื่องความตาย แต่เขายังมีความสงบอยู่มาก ภายในจิตใจของเขามีจิตวิญญาณของฉุ่ยจิ้งหลงเหลืออยู่ ซึ่งมันเงียบสงบราวกับทะเลสาบกว้างใหญ่
สภาพจิตใจดังกล่าวช่วยเขาในการทำนายเส้นทางการบินของกระบี่เฟิ่งหมิง มันปรากฏเป็นภาพวาดขึ้นตรงหน้าของเขา กระบี่เฟิ่งหมิงที่กำลังกรีดร้องมีการเคลื่อนไหวช้า ๆ ขึ้นในหัวของเขา ซึ่งมันแสดงวิถีการบินที่ชัดเจนออกมาให้เจ้าอ้วนรับรู้
เจ้าอ้วนไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงเข้าใจสิ่งพวกนี้ได้ แต่ความสามารถในการทำนายอนาคตเช่นนี้แน่นอนว่าเป็นของแม่นางฉุ่ยจิ้ง บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับการที่เขาฝึกตนแบบคู่กับนางก่อนหน้านี้
แต่ในขณะนี้ เจ้าอ้วนไม่มีสมองที่จะมานั่งคิดเรื่องเหล่านี้ ความนึกคิดของเขาในตอนนี้ต้องเป็นการเอาชีวิตรอดจากตรงนี้เท่านั้น เนื่องจากเขารู้วิถีของกระบี่เฟิ่งหมิง ทุกอย่างก็ง่ายดายขึ้น ฝีเท้าเจ้าอ้วนหยุดชะงักลง จากนั้นเขากระโดดหนึ่งครั้งเพื่อคว้าระฆังลมทองแดงไว้พร้อมเปลี่ยนทิศทางของมันไปยังเส้นทางของกระบี่เฟิ่งหมิง
เมื่อเจ้าอ้วนกำลังวิ่งไปหาตู๋เชียนเฉิงอย่างไม่นึกถึงตนเอง หงหยิงถูกโยนออกมาจากน้ำตกจนร่างกายเปียกปอน แต่ดวงตาของนางยังคงจดจำภาพที่กล้าหาญเช่นนั้นได้อยู่ น้ำตาของนางไหลออกมาพร้อมกับเหล่าคนอื่น ๆ ที่กำลังกลิ้งออกมาจากน้ำตก
ฉากดังกล่าวทำให้หงหยิงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันที นางควรปล่อยเจ้าอ้วนไว้เช่นนั้นแล้วหลบหนีงั้นหรือ? หรือนางควรจะไปต่อสู้กับศัตรูอย่างหาญกล้า?
ในขณะที่หงหยิงกำลังลังเล เกิดเสียงโลหะปะทะกันจากในถ้ำ นางตกใจและออกจากภวังค์ทันที ในเวลาเดียวกันนางก็ตัดสินใจได้แล้ว!
สำหรับเจ้าอ้วนที่อยู่ในถ้ำ เขาจับกระบี่เฟิ่งหมิงไว้ในระฆังอย่างสมบูรณ์แบบ ในเมื่อเขารู้ทิศทางการบินของมัน ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างง่ายดาย การกระทำเช่นนี้ราวกับว่าเขาทำนายอนาคตได้ ซึ่งทำให้ตู๋เชียนเฉิงตกตะลึงอย่างสมบูรณ์
แม้ว่าเจ้าอ้วนจะประสบความสำเร็จในการป้องกันการโจมตีของกระบี่เฟิ่งหมิง แต่กระบี่เฟิ่งหมิงยังไม่ได้ถูกทำลายแต่อย่างใด การโจมตีของมันทั้งหมดถูกส่งมายังเจ้าอ้วนและทุบตีระฆังให้ลอยขึ้นไปด้านบนของถ้ำ
ผลกระทบขนาดใหญ่ตกอยู่กับเจ้าอ้วนและระฆังของเขาติดอยู่ที่โขดหินในถ้ำ ถ้ำสั่นสะเทือนพร้อมกับหินเริ่มร่วงหล่นลงมาจากเพดานด้านบน
“ฮ่าฮ่า!” เมื่อตู๋เชียนเฉิงเห็นเช่นนั้น เขากล่าวออกมาด้วยเสียงดังสนั่น “อะไรทำให้เจ้าคิดว่าจะป้องกันการโจมตีของกระบี่เฟิ่งหมิงได้? แม้จะทำเช่นนั้น แต่เจ้าก็จะถูกทุบตีจนตายตกไปอยู่ดี! ถ้าหากเจ้าถามข้า ข้าจะบอกให้เจ้าตายตกไปด้วยฝีมือของกระบี่เฟิ่งหมิงซะเพราะมันทั้งรวดเร็วและไม่เจ็บปวด และเจ้าจะได้มีซากศพของตนเองที่เกือบจะสมบูรณ์ แต่ในตอนนี้เจ้ากำลังจะถูกทุบให้กลายเป็นเนื้อบด!”
เห็นได้ชัดว่าตู๋เชียนเฉิงคาดหวังว่าเจ้าอ้วนจะตายตกไปด้วยการโจมตีที่หนักหน่วงของเขา ดังนั้นเขาจึงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับนั่งลงผ่อนคลายอย่างสบายใจ
แต่ตู๋เชียนเฉิงไม่คาดคิดว่าเจ้าอ้วนจะแข็งแกร่งจนต้านทานการโจมตีอันแข็งแกร่งที่เขาโยนออกไปได้ ร่างกายของเจ้าอ้วนนั้นแข็งแกร่งมากและอุปกรณ์เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่ล้วนแต่มีคุณภาพสูง ดังนั้นภายใต้การระเบิดครั้งนี้จึงทำให้เขาเพียงแค่ไอออกมาเบา ๆ เท่านั้น
เมื่อปล่อยให้ตู๋เชียนเฉิงหัวเราะไปอย่างเต็มที่แล้ว เจ้าอ้วนมีความคิดจะแก้แค้น เขาวางแผนอยู่หลังโขดหิน พร้อมกับคำรามออกมา ร่างกายของเขาขยายขึ้นอีก และปลดปล่อยตนเองออกจากก้อนหินที่พันธนาการเขาอยู่ จากนั้นเขาพลันพุ่งไปหาตู๋เชียนเฉิงอย่างน่าเกรงขามและด้วยน้ำหนักจากแรงโน้มถ่วง ราวกับว่าพยัคฆ์กำลังวิ่งลงมาจากเนินเขาจนอีกฝ่ายไม่ทันตั้งป้องกัน
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกินไป ตู๋เชียนเฉิงไม่มีเวลาที่จะตอบโต้ เขาถูกขังอยู่ในระฆังลมทองแดงพร้อมกับกระบี่เฟิ่งหมิงของเขาทันที เกิดเป็นเสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งถ้ำ
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ตู๋เชียนเฉิงตกใจทันที เขาดิ้นรนให้กระบี่เฟิ่งหมิงเฉือนระฆังอย่างบ้าคลั่งเพื่อหาทางออกจากสิ่งนี้
จากด้านนอก เจ้าอ้วนได้ยินเสียงกระทบกันของโลหะ ในขณะที่ระฆังเริ่มเขย่าอย่างไม่มั่นคง เขากลัวจนต้องรีบจับระฆังคว่ำไว้ด้วยพลังทั้งหมดที่มีอยู่
ในตอนนี้ตู๋เชียนเฉิงที่ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก เขาถึงขีดจำกัดในการใช้กระบี่เฟิ่งหมิงแล้ว ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนเพียงใด ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่หวนคืนมา ไม่เช่นนั้นเขาคงสามารถส่งเจ้าอ้วนตายตกไปได้ตั้งนานแล้ว
แต่ว่าแม้จะเป็นกรณีดังกล่าว เจ้าอ้วนยังคงมีปัญหาในการระงับเสียงระฆัง เขายังไม่สามารถควบคุมมันได้และระฆังทำท่าว่าจะพลิกคว่ำได้ทุกเมื่อ
ขณะที่ตู๋เชียนเฉิงพยายามจะหลบหนี เห็นได้ชัดว่าเจ้าอ้วนที่ได้รับบาดเจ็บไม่สามารถป้องกันการโจมตีของกระบี่เฟิ่งหมิงได้แม้แต่ครั้งเดียว
ช่วงเวลาที่อันตรายเช่นนี้ มีผู้ที่บินเข้ามาในถ้ำ เวลาถัดมาหงหยิงโผล่ขึ้นบนระฆังพร้อมกับผลักระฆัง ด้วยพลังพิเศษของทั้งคู่ ทำให้ระฆังหยุดสั่นลงทันที
แต่เจ้าอ้วนตกใจอย่างถึงขีดสุด เขาไม่ยินยอมที่จะให้หงหยิงเผชิญหน้ากับอันตรายเช่นนี้จึงรีบถามออกไปทันที “ทำไมเจ้าจึงกลับมา? ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าหนีไปงั้นหรือ?”
ก่อนที่หงหยิงจะมีโอกาสได้ตอบเขา ตู๋เชียนเฉิงรู้สึกได้ถึงอันตรายที่จะเพิ่มขึ้นและเขายิ่งพยายามดิ้นรนมากขึ้นกว่าเดิม ช่วงเวลาที่เขากำลังดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง ทั้งเจ้าอ้วนและหงหยิงแทบจะไม่สามารถรับมือได้