บทที่ 611 แผนการสำรวจ
วันที่สิบเอ็ด เมษายน ภายในห้องประชุมของสภาสูงสุด…

สมาชิกทั้งสิบหกท่าน รวมถึงมหาจอมเวททั้งเจ็ด ต่างจับจองที่นั่งกันแล้วเมื่อลูเซียนเพิ่งมาถึงในชุดสูทกระดุมสองแถว เขาจึงรีบขอโทษ “ขออภัยที่ข้ามาช้าขอรับ”

“ไม่เป็นไร เมื่อคืนเป็นคืนวันแต่งงานของเจ้านี่นา มันเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่งที่เจ้าจะมาสาย” เคลาส์ ปรมาจารย์แห่งรสายนเวทเอ่ยอย่างหยอกเย้า “ทุกคนเข้าใจได้”

เมื่อได้ยินมุกตลก คนอื่นๆ หากไม่แย้มยิ้มให้อย่างอบอุ่น ก็ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เว้นก็แต่แฮททาเวย์ที่จ้องเขม็งมาที่ลูเซียนด้วยสายตาเย็นชา ราวกับว่านางกำลังกล่าวโทษเขาอยู่

ขณะยกมือขึ้นลูบคางด้วยความขัดเขิน ลูเซียนก็อธิบายให้ ‘แม่ยาย’ เขาเข้าใจเป็นการเฉพาะ “บาดแผลบนหน้าท้องนาตาซาเกิดติดเชื้อเพราะพลังของกาลเวลาขอรับ กว่านางจะฟื้นตัวคงใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือน แม้ว่านางจะดูแลรักษาตัวเองอย่างดีก็ตาม แต่ว่า นางไม่อาจลืมเลือนการโจมตีครั้งสุดท้ายเพื่อสังหารคริโทเนียได้ และพยายามจะเข้าใจความรู้สึกของการแผดเผาหลอมละลายเจตจำนงค์ ความเชื่อ พลังใจ และสายเลือดของนาง ข้าเกรงว่าบาดแผลของนางจะแย่ลง จึงทำได้เพียงพยายามให้ความร่วมมือกับนางพร้อมกับหยุดนางจากการทำท่าทางที่อาจเป็นอันตรายได้ กว่านางจะผล็อยหลับไปเพราะความเหนื่อยอ่อนก็เมื่อไม่กี่นาทีนี้เองขอรับ”

เพราะฉะนั้น เขาไม่ได้มาสายด้วยสาเหตุที่ทุกคนนึกคิดอย่างแน่นอน ทว่า ในตอนที่ทั้งสองถกเถียงกันและจำลองการโจมตีด้วยความตื่นเต้นนั้น นางได้แสดง ‘ความขอบคุณ’ แก่เขาในรูปแบบอื่น

สายตาแฮททาเวย์อ่อนลง ส่วนดักลาสเพียงหัวเราะ ก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องส่วนตัวให้เราฟังหรอก วันนี้ที่ข้าเรียกประชุมฉุกเฉินนั้น โดยหลักแล้วก็เพื่อหารือถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เพลิงต้นกำเนิด ผู้พิทักษ์ราตรีของทางศาสนจักร สามารถเชิญปีศาจชั้นตำนานจากโลกแห่งวิญญาณมาได้ มันทำให้ข้าสงสัยว่าศาสนจักรกำลังร่วมมือกับโลกแห่งวิญญาณหรือไม่”

“ศาสนจักรฝ่ายใต้ ซึ่งมุ่งมั่นกับการกวาดล้างสัตว์อสูรผีดิบ กลับร่วมมือกับโลกแห่งวิญญาณเช่นนั้นหรือ นี่จะเป็นการกระทำของเพลิงต้นกำเนิดแต่เพียงผู้เดียวหรือไม่ เขาคือนักเวทชั้นตำนานจากอาณาจักรเวทมนตร์โบราณ บางทีเขาอาจจะมีความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับโลกแห่งวิญญาณก็เป็นได้” แฮททาเวย์วิเคราะห์อีกหนึ่งความเป็นไปได้

เฟอร์นันโดตอบกลับเสียงดังด้วยความเคร่งเครียด “ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร เราก็ต้องยกระดับการเข้าไปสำรวจโลกแห่งวิญญาณ! โครงกระดูกกับศพพวกนั้นดูจะไม่พอใจกับโลกแห่งวิญญาณและต้องการจะออกมายังโลกหลักแห่งนี้ แทนที่พวกมันจะสงบลงหลังจากสิ่งมีชีวิตลึกลับจากโลกแห่งวิญญาณกลับสู่นิทราเหมือนอย่างที่เราเคยคาดการณ์ไว้ ด้วยเหตุนี้ เราจึงไม่อาจตอบโต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพหากไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับพวกมัน”

ขณะที่คนอื่นๆ หารือกัน วิเซนเต เจ้าแห่งผีดิบ กลับนั่งเงียบ ดวงไฟสีแดงเข้มเต้นวูบไหวอยู่ในดวงตาเขา ราวกับว่าเขาหาได้สนใจเรื่องเกี่ยวกับโลกแห่งวิญญาณ

บรูคเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว “เป็นความจริงที่ว่าเราจำเป็นต้องยกระดับการสำรวจ แต่เราไม่อาจรู้ได้เลยว่ามีภัยอันตรายใดซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังเตาหลอมวิญญาณ เราจำต้องเดินหน้าด้วยความระมัดระวังรอบคอบ เราควรพึงระลึกไว้ว่านักเวทชั้นตำนานจากโบราณกาลเกือบสิบท่านต่างหายตัวไปในที่นั้น แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดในกลุ่มนั้นมีพลังอยู่ในระดับสูงสุด แต่ส่วนใหญ่ก็อยู่ในระดับสามกันแล้ว พวกท่านคือเสาหลักของอาณาจักรเวทมนตร์โบราณเชียวนะ และหาใช่ผู้อ่อนแอไร้ทางต่อสู้”

หลังจากเกิดเรื่องกับคอนกุส ลูเซียนได้เขียนถึงปัญหาเกี่ยวกับมาสเกลีนไว้ในรายงานและส่งมันให้กับทางสภา เพื่อให้เหล่าผู้นำรับรู้ถึงเหตุผลของการหายตัวไปของเหล่านักเวทชั้นตำนานและรู้ว่ามหากางเขนพังทลายลงได้อย่างไรกันแน่

“ใช่ เป้าหมายที่ข้าตั้งไว้ตอนนี้คือสำรวจต่อไปจนถึงเตาหลอมวิญญาณและจะไม่ก้าวล้ำเข้าไปลึกกว่านี้ หลังจากที่เราตรวจสอบเตาหลอมวิญญาณและบริเวณรอบนอกแล้ว เราก็จะกลับมา จากนั้นเราก็จะกวาดล้างบรรดาผีดิบไร้สติปัญญาและวางแผนสำหรับการออกสำรวจครั้งที่สองเพื่อบุกฝ่าเข้าไปลึกขึ้น” ดักลาสกล่าวอย่างสงบนิ่งและมีเหตุผล แต่เขากลับมั่นใจอย่างยิ่ง ราวกับว่าปีศาจทั้งหลายที่แสนจะแข็งแกร่งเป็นเพียงโครงกระดูกที่พบเห็นได้ทั่วไปเท่านั้น

“แต่นอกจากปีศาจชั้นตำนานไร้สติปัญญาแล้ว ในนั้นยังมีปีศาจชั้นตำนานอีกเกือบสิบตนที่เหมือนกับราชันเทพอสูร-ลิช พวกมันรับมือไม่ได้ง่ายๆ เลย มันจะกลายเป็นสงครามอย่างแน่นอน” หลังจากเงียบอยู่นาน ในที่สุดวิเซนเตก็เริ่มเอ่ยปาก

ขณะฟังทุกคนหารือกันอยู่เงียบๆ ลูเซียนก็ครุ่นคิดอย่างหนัก แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้น “ข้ามีบางอย่างอยากจะพูดขอรับ”

“อะไรหรือ” เฟอร์นันโดตวัดดวงตาสีแดงของตนมามองเขา เจ้าลูกศิษย์ผู้นี้ยังปิดซ่อนความลับใดไว้อีก

ลูเซียนหยิบเครื่องรางมงกุฎสุริยันที่เขาไม่ได้ส่งไปให้ดูก่อนหน้านี้ออกมา “ข้าค้นพบเครื่องรางแห่งพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านมาสเกลีนทิ้งไว้ในมหากางเขนขอรับ”

“เครื่องรางแห่งพลังศักดิ์สิทธิ์งั้นหรือ” โอลิเวอร์และเอริก้าถามด้วยความประหลาดใจ นักบุญแห่งสัจธรรมยังไม่ปรากฏขึ้นเลย ในตอนที่มาสเกลีนหายตัวไป แล้วลูเซียนไปได้ของสิ่งนี้มาจากที่ใดกัน

ลูเซียนไม่เสียเวลาเอ่ยทวนซ้ำ กลับตรงเข้าประเด็น “ท่านมาสเกลีนเรียกมันว่าอุปกรณ์เวทมนตร์ขอรับ”

“อะไรนะ” คราวนี้ แม้แต่ดักลาส บรูค แฮททาเวย์ เฮลเลน และเดวี่ต่างก็ตกตะลึง

“ข้ามีเหตุผลที่จะเชื่อว่านี่เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการถือกำเนิดของศาสนานักบุญแห่งสัจธรรมขอรับ” หลังจากเกิดเรื่องขึ้นมากมาย และหลังจากได้เห็นการพัฒนาพลังศักดิ์สิทธิ์ของพระสันตะปาปา ในที่สุดลูเซียนก็สามารถพูดถึงข้อสงสัยของเขาได้อย่างตรงไปตรงมาและมั่นใจ “บางทีมันอาจเกี่ยวกับข้อสังเกตที่ข้าเอ่ยถึงในรายงานการเปลี่ยนแปลงเทวภาพของแอลก็เป็นได้ขอรับ”

มันมาจากการปรับพลังจิตอย่างอ่อนที่ควบรวมกันของฝูงชน!

“เอ่อ…” หลังจากเกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่ง บรูคก็หยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาซับหน้าปาก “แต่ภาพมายาสะท้อนของหุบเขาวิมานคือของจริง เช่นเดียวกับเหล่าเทวทูต และตอนนี้ราชาทูตสวรรค์ก็อยู่ที่นครศักดิ์สิทธิ์ อีกอย่าง เราไม่สามารถหาทางใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้เลย เราทำไม่ได้แม้แต่การสร้างอุปกรณ์พลังศักดิ์สิทธิ์หากไร้ซึ่งเทวภาพ”

“นั่นคือเหตุผลว่าทำไมการสำรวจลงลึกจึงเป็นสิ่งจำเป็น ในผนึกชั้นแรกสุดของ ‘มงกุฎสุริยัน’ ท่านมาสเกลีนได้ซ่อนรูปแบบการเปลี่ยนแปลงพิกัดของสถานที่สักแห่งหนึ่งที่อยู่ในส่วนลึกสุดของโลกแห่งวิญญาณ นั่นอาจเป็นบริเวณที่พวกท่านหายตัวไปในท้ายที่สุด และที่นั่นอาจมีคำตอบให้กับทุกอย่างก็เป็นได้ขอรับ” ลูเซียนตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนที่เขาจะเขียนรูปแบบการเปลี่ยนแปลงพิกัดทั้งหมดนั้นให้ทุกคนพิจารณา

โลกแห่งวิญญาณนั้นอันตรายเกินกว่าที่เขาจะเข้าไปสำรวจด้วยตัวเอง เขาจำต้องพึ่งพาสภาเวทมนตร์ ด้วยเหตุนี้ การปกปิดข้อมูลสำคัญย่อมมีแต่จะเพิ่มความเสี่ยงให้กับการออกสำรวจ ทั้งๆ ที่มันสามารถหลบเลี่ยงได้

หลังจากอ่านรูปแบบการเปลี่ยนแปลงพิกัด สมาชิกสภาสูงสุดทุกท่านก็นิ่งเงียบไป ด้วยต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิด

แต่ลูเซียนยังคงพูดต่อไป “ยังมีอีกอย่างที่ข้าจำเป็นต้องพูดขอรับ”

“อะไรอีก” เฟอร์นันโดถลึงตาใส่ลูเซียน เจ้าลูกศิษย์ผู้นี้ยังมีความลับอีกกี่เรื่องกันนี่

“ในตอนแรก ท่านไรน์ไม่ได้ถูกเจ้าชายแดรกคูลาจองจำไว้ แต่ท่านร่วมมือกับซาร์ดเพื่อจัดการทิโฟทิดิส เจ้ามหาลัทธิอาเจนต์และดยุกแห่งน้ำแข็ง เพราะท่านต้องการจะสำรวจสืบหาความลับของโลกแห่งวิญญาณ แต่กลับถูกซาร์ดหักหลังในระหว่างการออกสำรวจ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมท่านจึงไปติดอยู่ในนั้น” ลูเซียนแก้ไขข้อมูลที่เขาเคยให้ไว้แบบผิดๆ เพื่อปกป้องตนเอง

เฟอร์นันโดส่งเสียงขึ้นจมูก ราวกับว่าเขาได้คาดเดาเรื่องนี้เอาไว้แล้ว ส่วนแฮททาเวย์เพียงพยักหน้าน้อยๆ ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าเหตุใดซาร์ดจึงเลือกที่จะร่วมมือกับพวกตนในตอนแรก “แล้วความลับนั้นคืออะไรกัน”

ดวงไฟที่เต้นวูบไหวในเบ้าตาทั้งสองของเจ้าแห่งผีดิบพลันลุกโหมรุนแรงขึ้น

“เท่าที่ทราบจากเคานต์เนตรเงิน ความลับที่จะนำไปสู่ความเป็นอมตะที่แท้จริงนั้นซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกสุดของโลกแห่งวิญญาณ มันคือความลับที่แม้แต่พระเจ้าแห่งจันทราสีเงินยังออกตามหา!” ในที่สุดลูเซียนก็ได้บอกความลับที่เขาปกปิดมานาน เขาหาใช่คนอ่อนแอในเงื้อมมือศัตรูผู้ไร้ปราณีคนใดอีกต่อไปแล้ว บัดนี้เขามีความสามารถพอจะแบ่งปันความลับนี้!

ข่าวสารนี้น่าตกตะลึงเสียจนสมาชิกสภาสูงสุดแทบไม่แสดงปฏิกิริยาใด ยกเว้นเจ้าแห่งผีดิบที่ดูท่าทางเคร่งเครียดกว่าเดิม คนที่เหลือต่างต้องประเมินความถูกต้องของสารเสียก่อน

“…การกระทำของเจ้าแห่งนรกนั้นเป็นการพิสูจน์โดยอ้อมถึงความสำคัญของความลับทั้งหลายในโลกแห่งวิญญาณ” ลูเซียนเอ่ยถึงแผนการที่เจ้าแห่งนรกใช้เมื่อก่อนหน้านี้ “ข้าเองก็ไม่ได้มั่นใจในข้อมูลชิ้นนี้นัก ข้าเพียงแต่เตือนพวกท่านว่าอะไรก็อาจเกิดขึ้นได้หลังจากที่เราข้ามผ่านเตาหลอมวิญญาณไป บางที เราอาจจะได้เผชิญหน้ากับพระเจ้าแห่งจันทราสีเงินและเจ้าแห่งนรกแบบตัวเป็นๆ เลยก็ได้ขอรับ”

“หากนั่นเป็นความจริง พวกนั้นคงยินดีปรีดาที่เห็นเราออกสำรวจ และอาจถึงกับยื่นมือมาช่วยเหลือเลยด้วยซ้ำไป หากว่าพวกนั้นเต็มใจเสี่ยง เช่นนั้นก็คงเข้าไปเองเสียนานแล้ว” หลังจากได้สติกลับมา ดักลาสก็แย้มยิ้ม หาได้มีท่าทางตื่นเต้นกับความลี้ลับของความเป็นอมตะเท่าตอนที่เขาได้เห็นทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปเป็นครั้งแรก

ส่วนคนอื่นๆ นั้น แม้แต่แฮททาเวย์และเฮลเลนที่ปกติแทบไม่แสดงสีหน้าใดๆ ก็ยังเผยความตื่นเต้นออกมาในระดับหนึ่ง ทั้งยังหายใจหอบกระชั้นอีกด้วย

ขณะกล่าว ดักลาสก็มองไปทางเจ้าแห่งผีดิบ “วิเซนเต เจ้าล่วงรู้ถึงความลับนี้หรือไม่”

สายตาของเขาดูกระจ่างแจ้งและอ่อนโยน ทว่าวิเซนเตกลับเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นในที่สุด “จากความทรงจำของอะดอล ข้าอนุมานได้ว่ามีความลับประเภทนั้นอยู่ และจากความทรงจำกับเบาะแสมากมายนั้น ทำให้ข้าค้นพบสิ่งของที่ตกทอดมาจากไวเค็น ซึ่งนั่นยิ่งเป็นการยืนยันว่าการอนุมานนั้นถูกต้อง”

ทันทีที่เขากล่าวเช่นนั้น เฟอร์นันโดก็ตวัดดวงตาสีแดงไปมองอีกฝ่าย

“นั่นยิ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงควรเข้าไปสำรวจที่นั่น เป็นไปได้ว่า ‘ความจริง’ ของโลกจะถูกซ่อนเอาไว้ในนั้น” ดักลาสเคาะนิ้วบนโต๊ะ ไม่กล่าวโทษวิเซนเตที่เก็บข้อมูลนี้ไว้กับตัวมานาน “จากข่าวกรองที่ได้จากฐานที่มั่นที่ล่วงหน้าเข้าไปในโลกแห่งวิญญาณเมื่อไม่นานมานี้ เราได้รู้ว่าบริเวณด้านนอกเตาหลอมวิญญาณมีปีศาจชั้นตำนานจริงๆ อยู่สิบตน กับปีศาจชั้นตำนานไร้สติปัญญาอีกสี่สิบตน นั่นหมายความว่าเราต้องตั้งกลุ่มเดินทางที่มีผู้มีพลังชั้นตำนานมากกว่าแปดคนเพื่อฝ่าเข้าไปลึกยิ่งขึ้น”

บรูคพยักหน้าเห็นพ้อง “แต่หากมีผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุดเป็นผู้นำกลุ่มทุกครั้ง มีผู้ช่วยอีกสี่คนก็น่าจะเพียงพอ นั่นอยู่ในขอบเขตที่เราจะรับไหว”

หากว่านักเวทชั้นตำนานถูกเรียกตัวไปมากเกินไป มิติอื่นๆ และอาณาจักรต่างๆ ก็จะไม่ได้รับการคุ้มครองมากเท่าที่ควร ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้ศัตรูเข้ามาโจมตีได้

“เอาสิ เฟอร์นันโดกับข้าจะนำกลุ่มแรกเข้าไปสำรวจเอง โดยมีนักเวทชั้นตำนานอีกสี่คนเป็นผู้ช่วย ส่วนการสำรวจรอบที่สองจะนำโดยบรูคกับแฮททาเวย์ โดยมีผู้ติดตามเป็นนักเวทชั้นตำนานสี่คนเช่นกัน เราจะผลัดกันสำรวจลึกลงไปเรื่อยๆ แต่จะไม่ล่วงล้ำขอบเขตที่จำกัดไว้ในแต่ละครา เพื่อที่เราจะสามารถเดินหน้าไปได้อย่างมั่นคงจนกว่าเราจะไปถึงจุดหมายปลายทางที่ลูเซียนได้อธิบายให้ฟังเมื่อครู่นี้” ดักลาสแสดงความเห็นของตน ก่อนจะหันมาทางลูเซียน “ลูเซียน แม้ว่าเจ้าเพิ่งจะเลื่อนระดับพลังไม่ถึงหนึ่งปี แต่บัดนี้เจ้าก็นับว่าเป็นมหาจอมเวทและนักเวทชั้นตำนานผู้หนึ่ง และเจ้าก็จำต้องแบกรับภาระทั้งหมดนี้ แต่แน่นอน เจ้ามีสิทธิที่จะปฏิเสธนะ”

ลูเซียนสูดหายใจเข้าลึก “ข้าอยากจะร่วมสำรวจกับกลุ่มแรกขอรับ”

จุดหมายปลายทางของกลุ่มสำรวจกลุ่มแรกคือเตาหลอมวิญญาณ ความอันตรายในการเดินทางนั้นยังอยู่ในขั้นที่ควบคุมได้ ดังที่มีการยืนยันจากการสำรวจของมาสเกลีนและสหาย เช่นเดียวกับความทรงจำของอะดอล ฉะนั้นมันจึงไม่น่าจะเสี่ยงอันตรายและเต็มไปด้วยความลี้ลับเท่าภารกิจที่เหลือจากนั้น นอกจากนี้ เป้าหมายหลักของเขาในตอนนี้คือการไปดูเตาหลอมวิญญาณให้เห็นกับตาและสัมผัสวิญญาณปริศนาเหล่านี้เพื่อที่จะเปิดโปงความแตกต่างระหว่างทั้งสองโลกที่เขาอาศัยอยู่

และด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่เขาจะเข้าร่วมการสำรวจครั้งที่สอง สาม และสี่ เมื่อการออกสำรวจครั้งที่ห้าเริ่มต้นขึ้น เขาก็อาจเลื่อนขึ้นสู่ชั้นตำนานระดับสองหรือสามแล้วก็เป็นได้ เมื่อพิจารณาว่าวิธีนี้จะมีประสิทธิภาพอย่างยิ่งยวดหากมีการออกสำรวจเช่นนี้สักหนหนึ่งต่อปี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่ได้รับจากการสำรวจทุกครั้งที่ต้องมีการศึกษาวิเคราะห์และย่อยข้อมูลก่อนเริ่มการออกสำรวจครั้งใหม่อีก

เมื่อช่วงเวลานั้นมาถึง แผนการของเขาคือเข้าไปสำรวจอาณาบริเวณที่อยู่ไกลออกไปเบื้องหลังเตาหลอมวิญญาณและตามหามาสเกลีน

ลูเซียนสังหรณ์ใจพิกลว่าคำตอบของทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกเปิดเผยที่นั่น

………………………………………