เฉียวเหลียงยังคงจ้องมองหลินหย่วนอยู่เงียบๆ ขณะที่หลินหย่วนพยายามอธิบายเหตุผลเพื่อปกป้องตนเอง เมื่อเห็นท่าทางเฉียวเหลียง หลินหย่วนก็ยิ่งรู้สึกผิดในสิ่งที่เขาทำลงไป เขาพนมมือ กล่าวขอโทษเฉียวเหลียง “นายน้อย ผมผิดไปแล้ว ผมก็แค่อยากให้ผู้หญิงคนนั้นช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของคุณในเวลานั้น ถ้าผมรู้ว่าหล่อนคือนางตัวร้าย ผมก็คงจับหล่อนโยนทิ้งมหาสมุทรแปซิฟิกไปแล้ว! ผมไม่มีวันยอมให้หล่อนได้เข้าใกล้คุณอย่างแน่นอน!”
เฉียวเหลียงยังเงียบอยู่ ลู่หลีเฝ้ามองคนทั้งสอง แล้วรู้สึกว่าบรรยากาศไม่ค่อยดีนัก เขาจึงกล่าวขึ้นว่า “อาหย่วนทำผิดจริง แต่เขาทำลงไปโดยไม่มีเจตนาร้าย อย่าถือสาเขาเลยนะ”
เฉียวเหลียงหันไปมองลู่หลี แล้วหันกลับมามองหลินหย่วน ซึ่งกำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาวิงวอนอย่างน่าสงสาร แล้วจึงกล่าวขึ้นอย่างเย็นชาว่า “อย่าทำแบบนี้อีกเป็นอันขาด”
“ผมขอสาบานว่าจะไม่มีวันทำอย่างนั้นอีก!” หลินหย่วนยกมือขึ้นในท่าสาบาน “ถ้าผมไม่รักษาคำพูด ผมจะกระโดดจากความสูงสามหมื่นฟุต โดยไม่ใช้ร่มชูชีพ!”
เฉียวเหลียงทำเสียงคำรามขึ้นจมูก แล้ววางสายไป
ทันทีที่วางสายวิดีโอคอล เฉียวเหลียงก็ผ่อนลมหายใจยาวอย่างโล่งอก อันที่จริง ในตอนแรกเขารู้สึกกลัวมาก กลัวว่าเพื่อนสนิทของเขาจะทำในสิ่งที่เป็นภัยต่อเขาจริงๆ เขาคิดอยู่นานกว่าจะตัดสินใจโทรไป ถ้าหากหลินหย่วนหักหลังเขาจริงๆ เขาจะทำอย่างไร แม้เขาจะไม่ได้พูดอะไรเลยระหว่างที่นิ่งฟังคำอธิบายของหลินหย่วน แต่เขาก็รู้สึกโล่งอก ถือเป็นโชคดีที่หลินหย่วนทำไปด้วยความปรารถนาดีต่อเขา และไม่ได้ทำอะไรที่แย่มากไปกว่านี้
เฉียวเหลียงลุกขึ้นเมื่อมองเห็นถังซียืนอยู่ตรงประตู เขาเลิกคิ้วแล้วเดินเข้าไปหาเธอ “ทำไมถึงไม่นอน”
“ฉันลุกมาดื่มน้ำ แล้วเลยมาหาคุณ แต่คุณกำลังคุยวิดีโอคอล ฉันเลยไม่อยากกวน” ถังซีเอนมาพิงอกเขา “คืนนี้ให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนได้ไหม”
เฉียวเหลียงพยักหน้า ถังเจิ้นหวาจัดห้องพักไว้ให้เขาต่างหาก ทั้งสองจะได้ไม่ต้องนอนด้วยกัน แต่… นั่นไม่ใช่อุปสรรคที่จะทำให้พวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน!
ทั้งสองนอนอยู่ด้วยกันบนเตียง เฉียวเหลียงกอดถังซีไว้ เธอจึงหันมาสอดแขนกอดไปรอบเอวเขา “เกิดอะไรขึ้นคะ”
“ผมสืบพบแล้วว่าใครเป็นคนบอกเรื่องที่อยู่ของผมให้ฉินซินหยิ่งรู้ ข้อมูลเพิ่งได้รับการยืนยัน” เฉียวเหลียงกระซิบ และก่อนที่ถังซีจะทันได้เอ่ยถามว่าเป็นใคร เขาก็กล่าวต่อไปว่า “คนๆ นั้นคือหลินหย่วน”
ถังซีเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความประหลาดใจ เขากดศีรษะเธอให้แนบลงกับอก กล่าวต่อเสียงแหบพร่าว่า “แต่เขาทำไปเพราะความหวังดีต่อผม ตอนแรกเขาต้องการช่วยผมตามหาคุณ แต่แล้วเมื่อผมไปถึงแปซิฟิก… เขาเพียงแค่ไม่อยากเห็นผมจมอยู่กับความเศร้าจนเกินไป เลยพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของผม”
ถังซีกระชับแขนกอดเขาแน่น “โชคดีจริงๆ ที่เขาไม่ได้ตั้งใจจะทรยศคุณ”
โชคดีที่เป็นหลินหย่วน โชคดีที่หลินหย่วนทำลงไปด้วยความหวังดี และโชคดี… ที่สมาชิกในองค์การของเขาไม่คิดทรยศหักหลังเขา
เฉียวเหลียงทำเสียงรับคำเห็นด้วยอยู่ในลำคอ แล้วเขาก็โอบถังซีไว้ในอ้อมแขน หลับตาลง และหลับไปในที่สุด
ทั้งสองหลับไปจนกระทั่งใกล้รุ่งสาง ความรู้สึกแรกที่ถังซีรู้สึกเมื่อลืมตาตื่นขึ้นคือความเจ็บปวดที่มือ… เธอนอนตะแคงข้างตลอดทั้งคืน มือข้างที่บาดเจ็บจึงโดนกดทับอยู่กับลำตัว ตอนนี้เธอรู้สึกเจ็บมากจนต้องร้องไห้ออกมา เฉียวเหลียงลืมตาขึ้นเห็นถังซีร้องไห้น้ำตานองหน้า เขาจึงรีบลุกขึ้นนั่ง ประคองถังซีให้ลุกขึ้น ถามอย่างห่วงใยว่า “ขยับมือได้ไหม” ดวงตาถังซีแดงก่ำ เธอส่ายศีรษะอย่างเจ็บปวดทรมาน “มันเจ็บมาก”
เฉียวเหลียงถอนหายใจ เขาพอจะนึกออกว่ามือถังซีจะเจ็บปวดเพียงใด เขาม้วนแขนเสื้อนอนของถังซีขึ้น ตรวจดูที่แผลซึ่งกลายเป็นสีแดง เขาขมวดคิ้ว “แผลนี่ต้องล้างและพันใหม่ ผมจะช่วยคุณล้างหน้าล้างตาก่อนนะ”
ถังซีเฝ้ามองเฉียวเหลียงเดินเข้าไปในห้องน้ำ แล้วเอาผ้าขนหนูชุบน้ำมาเช็ดหน้าเช็ดมือให้เธอ เธอยิ้มหวานให้เขา เอื้อมือไปลูบแก้มเขาเบาๆ กระซิบว่า “อาเหลียง คุณทำให้ฉันเกิดความรู้สึก”
“ฮึ”
ถังซีขำท่าทางนิ่งอึ้งตกตะลึงของเขา เธอจึงพูดต่อว่า “ฉันรู้สึกว่าหัวใจฉันถูกคุณขโมยไป”
“นั่นเป็นเพราะคุณเป็นเจ้าของหัวใจผมอยู่แล้ว” เฉียวเหลียงจับมือที่ลูบแก้มเขามาเช็ดด้วยผ้าขนหนู แล้วจุมพิตที่หน้าผากเธอ “คุณจะไปทำงานที่บริษัทไม่ใช่เหรอ ลุกขึ้นเถอะ ผมจะช่วยคุณแต่งตัว”
แก้มถังซีแดงเรื่อขึ้นทันที “ฉันแต่งตัวเองได้!” เธอไม่ต้องการความช่วยเหลือตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าหรอก เธอติดกระดุมเสื้อด้วยมือข้างเดียวได้…
เฉียวเหลียงเหลือบตามองถังซี แล้วหัวเราะ “อายเหรอ”
“อายสิ!” ถังซีตอบ แล้วตั้งท่าจะวิ่งกลับไปที่ห้องเธอ แต่เฉียวเหลียงฉวยมือข้างที่ไม่บาดเจ็บไว้ “ให้ผมทำแผลให้ใหม่ก่อน”
ถังซีชะงัก แล้วทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา เฉียวเหลียงหยิบกล่องปฐมพยาบาลออกมา ทำแผลให้ถังซี
เมื่อเขาทำแผลให้เธอเรียบร้อย ก็มีเสียงเคาะประตู ถังซีร้องบอกไปว่า “รอสักครู่” เสียงของถังจงดังขึ้นจากนอกประตู “คุณหนูครับ มีข่าวร้าย”
…
ถังซีเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จและลงไปที่ชั้นล่าง ภายในห้องนั่งเล่นมีคนตระกูลถังอยู่เต็มไปหมด ทุกคนมีท่าทางโกรธเคือง ถังเจิ้นหวานั่งอยู่ทางด้านหนึ่ง กำลังมองดูคนเหล่านั้นด้วยท่วงท่าสบายๆ เฉียวเหลียงและถังจงยืนอยู่ข้างๆ ท่าน
“คุณลุงครับ ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่บอกพวกเราว่าคุณลุงไม่สบาย โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ! ไม่ใช่โรคเล็กน้อยเลยนะครับ! รักษายากมาก ถ้าคุณลุงบอกพวกเราแต่เนิ่นๆ เราจะได้เตรียมตัวกันล่วงหน้า จะได้ไม่ต้องตื่นตกใจกันแบบนี้ ก่อนที่พวกเราจะมาที่นี่ราคาหุ้นเอ็มไพร์กรุปตกฮวบเลยครับ ถ้าราคาหุ้นยังตกลงไปเรื่อยๆ ยิ่งกว่านี้ อาจจะลงไปถึงราคาต่ำสุดก็ได้!” คนที่กล่าวคำพูดเหล่านี้คือถังเย่าเหริน บิดาของถังเหา
“ที่ฉันขอเกษียณตัวเองก็เพราะไม่สบาย” ถังเจิ้นหวากล่าวขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “คณะกรรมการบริษัทก็รู้เรื่องนี้ดี”
“คุณลุงบอกพวกเราว่าขอเกษียณเพราะอายุมากแล้ว ไม่มีกำลังจะสู้กับงานหนัก!” ถังหมิงเหรินนิ่วหน้าขณะกล่าวหา “คุณลุงไม่ได้บอกว่าเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ซึ่งอาจจะทำให้เสียชีวิตเมื่อไรก็ได้ คุณลุงไม่ควร…”
“ถูกต้อง ตอนนี้ราคาหุ้นของบริษัทตกลงมามาก ใครจะเป็นคนรับผิดชอบล่ะครับ!” ถังเย่าเหรินพยักหน้าสนับสนุน “คุณลุงควรจะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้…”
“ฮ่า ฮ่า” จู่ๆ ถังซีก็หัวเราะเยาะหยันแทรกขึ้นมา คนเหล่านั้นจึงหันมามองเธอเป็นตาเดียว ถังซีมองตอบด้วยสายตาเย็นชา เธอเดินเข้าไปหาถังเจิ้นหวาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทรุดตัวลงนั่งข้างท่าน
“รับผิดชอบเหรอ หมายความว่าเราควรรับผิดชอบเพื่อพวกคุณงั้นเหรอ บริษัทนี้เป็นของคุณปู่และของฉัน เรายังไม่วิตกกังวลเลย พวกคุณจะวิตกกันไปทำไม”
“เธอพูดแบบนี้กับพวกเราได้ยังไง!” ถังเจี๋ยเหรินซึ่งเกลียดถังซีมาตั้งแต่ตอนที่เธอไล่ถังเหาออกจากบริษัทแล้ว ได้ยินเธอกล่าวเช่นนั้น เขาก็ตะเบ็งเสียงด้วยความโกรธ “พวกเราเป็นลุงเป็นอาของเธอนะ!”