บทที่ 123**: โกง!**
เห็นได้ชัดว่านักบวชฮัวอวิ๋นนั้นมีอคติกับเจ้าอ้วนและไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพ่นออกมา ดังนั้นเขาจึงไปตรวจสอบศพของตู๋เชียนเฉิงพร้อมกับขมวดคิ้วแน่นและพูดออกมาอย่างไม่เข้าใจ “ตู๋เชียนเฉิงกระดูกหักสามท่อน ภายในของเขาถูกเจาะและตันเถียนของเขายังถูกทำลาย แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำอะไร เขาก็คงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้เท่าไหร่นักจากอาการบาดเจ็บเช่นนี้ ในขณะที่เขาต่อสู้ เขาคงควบคุมปริมาณของปราณจิตวิญญาณไม่ได้ จึงทำให้เส้นเอ็นและกระดูกของเขาทั้งหมดถูกบดขยี้ไป!”
นักบวชฮัวอวิ๋นเข้าใจผิดไปอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการใช้วิชาเสียงอมตะทำลายกระดูก อย่างแรกนั้นไม่สามารถตำหนิเขาได้เพราะอาการบาดเจ็บของตู๋เชียนเฉิงใกล้เคียงกันมาก รวมกับไม่มีเครื่องดนตรีอยู่รอบ ๆ เขาเลยไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดจากคลื่นพลังเสียง จึงส่งผลให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้ แต่นั่นทำให้เจ้าอ้วนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ฮ่า!” เมื่อจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธจัดทันที พร้อมกับชี้หน้าของผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิที่นอนกองอยู่บนพื้นอย่างเกรี้ยวกราด “บุคคลที่ใกล้จะตายตกผู้นี้น่ะหรือที่ทำให้เจ้าหวาดกลัวจนกางเกงเปียกแฉะและทำการหลบหนีไปพร้อมกับหางของเจ้า! อีกทั้งยังละทิ้งบุตรสาวของข้าและอ้วนน้อยไว้ที่แห่งนี้! เจ้า… เจ้าเป็นคนเช่นใดกัน ถึงได้หาญกล้าเพียงนี้!”
เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของหงหยิง จ้าวสำนักจึงโกรธจัดอย่างถึงที่สุด
ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิแทบจะตายตกไปด้วยความหวาดกลัว เขารีบอ้อนวอนทันที “ท่านจ้าวสำนักได้โปรดใจเย็นลงก่อน เราไม่ทราบมาก่อนว่าตู๋เชียนเฉิงจะใกล้ตายแล้ว ท่านไม่เห็นว่าในขณะนั้นเขาน่ากลัวมากเพียงใด! ด้วยพลังของกระบี่เฟิ่งหมิงเพียงครั้งเดียว สมบัติวิเศษทั้งสี่ชิ้นที่พวกเรามีถูกทำลาย! ถ้าหากไม่ใช่ศิษย์น้องซ่งจงใช้ระฆังลมทองแดงเพื่อปกป้องพวกเราทั้งหมดไว้ในตอนสุดท้าย พวกเราทั้งหมดคงถูกสังหารไปแล้วจนหมดสิ้น!”
“อะไรนะ?” ก่อนที่จ้าวสำนักจะเอ่ยปากออกมา นักบวชฮัวอวิ๋นรีบกล่าวแทรกขึ้นมาทันที “เจ้าบอกว่าอ้วนน้อยผู้นี้มีระฆังลมทองแดงงั้นหรือ? และมันสามารถป้องกันการโจมตีของกระบี่เฟิ่งหมิงได้?”
“ใช่ ใช่แล้วขอรับ!” ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิพยักหน้าพร้อมกล่าวเสริม “ระฆังไม่ได้ดูดีมากนัก แต่ว่าประสิทธิภาพของมันล้นเหลือ! แม้แต่กระบี่เฟิ่งหมิงยังไม่มีผลกับมัน!”
“โห?” เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วพร้อมกับมองไปที่เจ้าอ้วนอย่างโกรธจัด พร้อมกับถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “เจ้าเก่งมากอ้วนน้อย เจ้าขายเหล็กดำที่ไร้ประโยชน์ให้กับข้าและยังมีระฆังลมทองแดงอยู่กับเจ้า! เจ้ามีระฆังอยู่กี่ใบกันแน่!?”
“เรื่องนั้น….” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะออกมาอย่างขื่นขม “เรียนท่านลุงอาวุโส ข้ามีระฆังเพียงสองใบเท่านั้น พวกมันเป็นเพียงขยะไม่ได้มีความคุ้มค่าอันใด!”
“เจ้าสามารถนำขยะไร้ค่ามาแลกเปลี่ยนกับดาบวิญญาณห้าธาตุกับข้าได้ เจ้าช่างประเสริฐยิ่งนัก!” นักบวชฮัวอวิ๋นตอบกลับอย่างโกรธเกรี้ยว
เจ้าอ้วนหมดคำพูดเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ขอบคุณสวรรค์ จ้าวสำนักหัวเราะออกมาอย่างเย็นชาพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์พี่ เรื่องราวของระฆังใบนั้นได้สิ้นสุดลงไปแล้ว เลิกกล่าวถึงอดีตเถอะ ตกลงหรือไม่?”
“ย่อมได้ ข้าจะไม่เอาเรื่องเอาราวกับเหล็กดำบ้าบอนั่นอีก แต่ในตอนนี้เขามีระฆังลมทองแดงอีกใบหนึ่ง ข้าต้องการที่จะรับชมมัน!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวอย่างเย็นเยียบ “ข้าสงสัยว่าอ้วนน้อยผู้นี้จะกล้าฉีกหน้าข้าเพื่อปฏิเสธคำขอนี้หรือไม่?” เจ้าอ้วนจะกล้าไปยั่วยุผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินได้อย่างไรกัน? แม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจ ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากนำระฆังออกมาและวางบนพื้น
นักบวชฮัวอวิ๋นใช้จิตวิญญาณของเขาตรวจสอบทั่วทั้งระฆัง แม้ว่าระฆังลมทองแดงนี้จะดูคล้ายกับระฆังทั่วไป แต่เขาคิดว่ามันมีสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน แต่เนื่องจากเป็นวัสดุระดับสูงมันจึงมีความสามารถในการปกปิดตนเอง เช่นนี้นักบวชฮัวอวิ๋นจึงไม่สามารถตรวจสอบสิ่งใดได้จากจิตวิญญาณของเขา
นักบวชฮัวอวิ๋นคิ้วขมวดทันทีเมื่อพบว่าเขาล้มเหลวอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เจ้าอ้วนยังไม่ทราบเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นและอยู่ในอารมณ์ที่หดหู่โดยสมบูรณ์แบบ เพราะกลัวว่าสมบัติของเขาจะถูกค้นพบ
แต่ในขณะนั้น ภรรยาจ้าวสำนักซึ่งได้ตรวจสอบเสร็จแล้ว กล่าวออกมาว่า “มันแปลกมาก เหตุระฆังธรรมดานี้จึงป้องกันการโจมตีของกระบี่เฟิ่งหมิงได้?”
“บางทีปราณจิตวิญญาณของตู๋เชียนเฉิงอาจจะหมดลงไปอย่างสมบูรณ์แล้ว ดังนั้นจึงส่งผลให้กระบี่เฟิ่งหมิงไร้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร เนื่องจากสูญเสียพลังไปแล้วหลังจากทำลายสมบัติวิเศษทั้งสี่ชิ้น เช่นนี้เป็นไปได้หรือไม่?” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวขึ้นมา
“ต้องไม่ใช่!” ฮัวอวิ๋นก้มต่ำลงพร้อมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ “มีคราบเลือดอยู่บนพื้นและรอยเท้าจมลงไปบนพื้นดิน ดูเหมือนว่ามีบางคนกำลังป้องกันบางอย่างที่รุนแรงอย่างมาก!” ขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขามองไปที่ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิอย่างสงสัย
ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ซ่งจงพยายามแบกรับระฆังลมทองแดงที่ถูกสะท้อนกลับมาโดยกระบี่เฟิ่งหมิงขอรับ จึงมีคราบเลือดเกิดขึ้น!”
“โอ้ อย่างงั้นหรือ?” นักบวชฮัวอวิ๋นเริ่มเข้าใจและถามต่อ “จากหลักฐานบนพื้น ระฆังน่าจะโดนความรุนแรงเป็นอย่างมาก และยิ่งถูกส่งมาโดยกระบี่เฟิ่งหมิง แต่ปัญหาคือกระบี่เฟิ่งหมิงมีความคมมากและไม่ควรมีปัญหาเพียงแค่พบเจอกับระฆังลมทองแดง ด้วยหลักฐานบนพื้นนี้ แรงของการเชือดเฉือนน่าจะเพียงพอให้จะตัดผ่านระฆังลมทองแดงอย่างง่ายดายและสังหารทุกคน! แต่ในตอนจบกระบี่เฟิ่งหมิงไม่อาจทำอะไรได้เลย เจ้ามีอะไรจะพูดไหม?”
“หมายความว่าระฆังลมทองแดงแข็งแกร่งกว่าที่เราคิด ดังนั้นมันจึงหยุดการโจมตีของกระบี่เฟิ่งหมิงได้ เพียงแค่การโจมตีที่ส่งระฆังกลับมานั้นแท้จริงแล้วได้ทำร้ายให้อ้วนน้อยบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย!” จ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างรู้แจ้ง ดังนั้น เขาจึงถามออกมาอย่างสับสน “แต่ระฆังลมทองแดงที่อยู่ตรงหน้าของเรานี้กลับไม่มีสิ่งใดที่พิเศษเลยไม่ใช่หรือ? มันหนาเพียงสี่ถึงห้าฟุต อีกทั้งไม่มั่นคงเอาเสียเลย!”
“เหอะ ๆ เว้นแต่จะมีความลับที่อยู่ภายในทำให้พวกเราหาไม่พบ!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาพร้อมกับยิ้มให้เจ้าอ้วน เขาหัวเราะและกล่าวต่อว่า “เด็กน้อย ความลับของเจ้าช่างมากมายนัก!”
เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาตกใจอย่างรุนแรงแต่เขาก็กลับสู่ความสงบได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นเขากล่าวออกมาอย่างใจเย็น “ท่านลุงอาวุโสคิดเกี่ยวกับข้ามากเกินไป ความลับแบบไหนกันที่ข้าจะกระทำได้? มันก็เป็นเพียงแค่ระฆังลมทองแดงเท่านั้น เช่นเดียวกับระฆังใบก่อนหน้านี้!”
“งั้นหรือ?” ดวงตาของนักบวชฮัวอวิ๋นจ้องมาที่เจ้าอ้วนพร้อมเจตนาฆ่าฟัน เพราะเจ้าอ้วนได้กระตุ้นเรื่องราวที่เขาถูกหลอกก่อนหน้านี้ขึ้นมาอีกครั้ง
“เป็นเรื่องจริงขอรับ! ศิษย์กล่าวความจริงทุกอย่าง!” เจ้าอ้วนกล่าวเสริมพร้อมกับยิ้มอย่างสดใส “ถ้าหากท่านไม่เชื่อข้า เหตุใดท่านจึงไม่แลกเปลี่ยนกับข้าอีกครั้งล่ะ?”
“ไสหัวไป!” นักบวชฮัวอวิ๋นตะโกนออกมาอย่างเดือดจัด เขาคำรามออกมา “มีแต่พวกงี่เง่าเท่านั้นที่จะซื้อมันอีกครั้ง! เลิกคิดที่จะหลอกข้าได้แล้ว!”
ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องอับอายอีกเป็นครั้งที่สอง นักบวชฮัวอวิ๋นที่ถูกหลอกมาก่อนหน้านี้ ในตอนนี้เขาจึงรอบคอบอย่างมาก แม้ว่าระฆังจะแสดงความพิเศษของมันออกมา แต่ข้อกังขาของมันยังมีมากมายนัก นักบวชฮัวอวิ๋นยังคงจำภาพประทับใจของเขาและเจ้าอ้วนในก่อนหน้านี้ได้อย่างดีและคิดเพียงว่าเขาจะไม่บุ่มบ่ามเช่นนั้นอีกแน่ ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงโกรธจัดอย่างไม่อาจควบคุม
แต่สิ่งที่นักบวชฮัวอวิ๋นพลาดไปคือหลังจากที่เขาคำรามเช่นนั้นออกมา เจ้าอ้วนถอนหายใจอย่างโล่งอกภายในจิตใจของเขา เพราะถ้าหากนักบวชฮัวอวิ๋นต้องการจะแลกเปลี่ยนอีกครั้ง เขาคงต้องสูญเสียสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ไปอย่างแน่นอน ซึ่งอาจทำให้หัวใจของเขาล่มสลายไปเลยก็ได้ อย่างน้อยนักบวชฮัวอวิ๋นยังคงมีอคติและปล่อยโอกาสดีเช่นนี้ไปเสียแล้ว
เมื่อได้ยินคำหยาบคายที่นักบวชฮัวอวิ๋นพ่นออกมา ภรรยาจ้าวสำนักไม่อาจช่วยได้นอกจากปรามออกมา “ศิษย์พี่ ดูสิ่งที่ท่านพ่นออกมาสิ!”
“เหอะ!” นักบวชฮัวอวิ๋นรู้ดีว่านี่เป็นความผิดของเขาเองเนื่องจากความโลภ เขาหยุดพูดทุกอย่าง เพียงแต่ตรวจสอบรอบ ๆ ถ้ำราวกับค้นหาบางสิ่งบางอย่างอยู่
เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ จ้าวสำนักและภรรยาของเขารู้ทันทีว่าเขากำลังทำสิ่งใด เห็นได้ชัดว่าเขากำลังมองหากระบี่เฟิ่งหมิงแต่เขาไม่มีใบหน้าที่จะถามเจ้าอ้วนต่อไปเนื่องจากเพิ่งดุด่าไปเมื่อครู่ ดังนั้นเขาจึงทำการค้นหามันด้วยตนเอง
จ้าวสำนักและภรรยาจ้าวสำนักต่างก็สนใจในกระบี่เฟิ่งหมิงเช่นกัน ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้เขามัวแต่ปลอบใจบุตรสาวจึงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของเขาไม่เป็นอะไรแล้ว พวกเขาทั้งหมดผ่อนคลายลงพร้อมกับเริ่มค้นหาสมบัติ
ภรรยาจ้าวสำนักลูบหลังของหงหยิงพร้อมกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “หยิงเอ๋อ เจ้าเห็นกระบี่เฟิ่งหมิงของตู๋เชียนเฉิงหรือไม่?”
“เอ่อ… ท่านแม่… ดูนี่สิ!” หงหยิงกล่าวอย่างร่าเริงพร้อมกับเอากระบี่เฟิ่งหมิงออกมา แท้จริงแล้วเมื่อผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินเข้ามาในถ้ำก่อนหน้านี้ กระบี่เฟิ่งหมิงคือสิ่งที่ปกป้องหงหยิงจากพายุโหมกระหน่ำ ด้วยรูปร่างที่เพรียวบางของนางและทุกคนต้องเฝ้าระวังการโจมตีของตู๋เชียนเฉิง ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดสังเกตุเห็นหงหยิงเลยในครั้งแรก
ในตอนนี้กระบี่เฟิ่งหมิงปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ผู้ฝึกตนทั้งสามนั้นเคยเผชิญหน้ากับมันมาก่อน พวกเขาจำมันได้ทันทีที่เห็น “สวรรค์ กระบี่เฟิ่งหมิง!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวอย่างร่าเริง “มันเลือกเจ้าเป็นเจ้านายคนต่อไปงั้นหรือ?”
“อือ!” หงหยิงกล่าวอย่างตื่นเต้น “หลังจากที่ตู๋เชียนเฉิงตายตกไป มันผูกตนเองไว้กับจิตวิญญาณของข้า ตอนนั้นข้ากลัวมากเลย!”
“นั่นคือขั้นตอนการเลือกเจ้านาย อีกทั้งมันจะสอนเจ้าถึงวิธีควบคุมมันด้วย ถูกไหม?” จ้าวสำนักเข้ามาร่วมพูดคุยอย่างสนุกสนาน
“ใช่แล้ว!” หงหยิงกล่าวอย่างตื่นเต้น “กระบี่เฟิ่งหมิงสอนข้าถึงเคล็ดวิชาการใช้มันด้วย!”
“น่ายินดี!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวพร้อมยิ้มอย่างยินดี
ทั้งสามคนพูดคุยกันภายในครอบครัวอย่างสนุกสนาน แต่ฮัวอวิ๋นที่ยืนอยู่ด้านข้างกำลังหดหู่อย่างถึงขีดสุด ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าการเดินทางล่าอสูรกายในครั้งนี้เหล่านักเดินทางนั้นส่วนใหญ่เป็นศิษย์ของเขา สมบัติวิเศษทั้งสี่ถูกทำลายลงไป มีสามชิ้นที่เป็นสมบัติของศิษย์ของเขา ในตอนสุดท้ายหลังจากที่เรื่องราวทั้งหมดจบลง อีกฝ่ายกลับได้รับสมบัติทั้งหมดของตู๋เชียนเฉิงและกระบี่เฟิ่งหมิง แต่กลุ่มศิษย์ของเขากลับไม่ได้รับสิ่งใดเลย อีกทั้งยังสูญเสียสมบัติวิเศษถึงสามชิ้น! แล้วเช่นนี้จะไม่ให้เขาหดหู่ใจได้อย่างไรกัน?
เมื่อคิดเช่นนั้น นักบวชฮัวอวิ๋นล้มเลิกความคิดที่จะครอบครองมันอีกต่อไป เขาไอออกมาเบา ๆ พร้อมหันไปคุยกับเจ้าอ้วน “อ้วนน้อย นอกเหนือจากกระบี่เฟิ่งหมิงแล้ว ตู๋เชียนเฉิงควรจะทิ้งสิ่งอื่นไว้เบื้องหลังบ้าง ถูกไหม? ตัวอย่างเช่น แหวนมิติเก็บของ!” ขณะที่กล่าวเช่นนั้น เขามองไปยังมือข้างเดียวที่เหลืออยู่บนตู๋เชียนเฉิง บนนิ้วของเขามีรอยเด่นขึ้นมาเนื่องจากการสวมแหวนเป็นเวลานาน จากหลักฐานในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าแหวนนั้นถูกถอดออกไปแล้ว
เจ้าอ้วนสาปแช่งสุนัขจิ้งจอกเฒ่าตนนี้ในใจอย่างเคียดแค้น ไม่ผิดที่เขาจะคิดเช่นนั้น แต่ในตอนแรกเจ้าอ้วนคิดว่าเขาได้ทำลายหลักฐานตรงนี้ไปเสียแล้ว แต่ว่าดูเหมือนเขาจะลืมอะไรบางอย่างไป เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าอ้วนจึงไม่กล้าโกหกและยื่นแหวนมิติออกไปอย่างขมขื่นพร้อมกับกล่าวว่า “ตู๋เชียนเฉิงมีเพียงแหวนมิติเก็บของนี้บนตัวของเขาเท่านั้น เขาไม่มีสิ่งอื่นอีกแล้ว!”
“งั้นหรือ?” นักบวชฮัวอวิ๋นมองไปที่แหวนอย่างสับสน “จากที่ข้ารู้มาตู่เชียนเฉิงนั้นกระทำความผิดมามากมายนับไม่ถ้วนและปล้นผู้ฝึกตนจำนวนมาก เขาควรที่จะร่ำรวย แล้วเหตุใดจึงมีเพียงแหวนมิติเก็บของนี้อยู่บนร่างกายเขา?”
“บางทีเขาอาจจะระเบิดพวกมันไปแล้วทั้งหมดเพื่อหลบหนี!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาพร้อมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“อา!” นักบวชฮัวอวิ๋นยังคงสงสัยและเขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อนอกจากใช้จิตวิญญาณตรวจสอบภายในแหวน หลังการตรวจสอบเสร็จสิ้น เขาโกรธจนแทบจะตายตกไป อุปกรณ์ที่เหลืออยู่ภายในแหวนนั้นน่าเวทนาเสียยิ่งกว่ายาจก ไม่ต้องกล่าวถึงผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจินตันยังร่ำรวยกว่า! หลังจากเห็นอุปกรณ์ทุกอย่างในแหวนแล้ว ในตอนแรกเขาคิดว่าเจ้าอ้วนเป็นผู้เอาสมบัติเหล่านั้นไปทั้งหมด เขาจึงกล่าวออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “ในแหวนมีเพียงของเล็กน้อยเท่านั้นเองหรือ? เจ้าเอามันไปซ่อนไว้ที่ใด!?”
เจ้าอ้วนตกใจพร้อมกับรีบบอกปัดทันที แต่จ้าวสำนักที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวขึ้นมาว่า “ฮัวอวิ๋น สิ่งของพวกนี้ทั้งหมดเป็นของเขา มันจะเป็นธุระกงการอะไรของเจ้าถ้าหากเขาจะซ่อนมันไว้?”
“เจ้าหมายความว่าอะไรกัน?” ฮัวอวิ๋นกล่าวด้วยความไม่พอใจ “ตู๋เชียนเฉิงตายเพราะเขาฝืนกำลังของตนเองและบาดเจ็บอย่างหนัก ทุกคนที่อยู่ภายในที่นั่นจะต้องมีส่วนได้รับสมบัติ แต่ในตอนนี้กลับเป็นเขาได้รับมันทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว!”
“เพราะว่าเขาไม่ได้หลบหนี!” จ้าวสำนักตะโกนออกมาทันทีเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้เจ้าอ้วน “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะไร้ยางอายเช่นนี้ ลูกศิษย์ของเจ้าทุกคนล้วนแต่ขี้ขลาดและวิ่งหนีการสู้รบ แต่ในตอนนี้เจ้ายังมีหน้ามาขอรับสินสงครามอย่างนั้นหรือ!? อย่างน้อยเจ้าก็ควรจะนึกถึงศักดิ์ศรีของตนเองบ้างนะว่าไหม?”
ฮัวอวิ๋นไอออกมาสองครั้งอย่างลำบากใจ ดังนั้นเขาจึงกล่าวออกมาด้วยความเด็ดขาด “พี่ชาย พวกเรามักจะมีเหล่าศิษย์ที่ไร้ประโยชน์อยู่เสมอ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าพวกเขาได้เสียสละสมบัติวิเศษทั้งสี่ชิ้นเพื่อช่วยเหลือพวกพ้อง และป้องกันไม่ให้บุตรสาวของเจ้าตาย แต่ในตอนนี้หงหยิงได้รับกระบี่เฟิ่งหมิง ซึ่งถือว่ามันเป็นสมบัติของนางและข้าจะไม่กล่าวถึงเรื่องนี้อีก แต่เจ้าไม่อาจปล่อยให้เหล่าศิษย์ที่เสียสละสมบัติวิเศษทั้งสี่ชิ้นเพื่อปกป้องบุตรของเจ้าจนไม่ได้รับสิ่งตอบแทนเลยสักอย่างเลยหรือ?”
เมื่อได้ยินที่นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าว ภรรยาหมายของจ้าวสำนักเดินออกมาด้านหน้าพร้อมขมวดคิ้วและกล่าวว่า “พี่ชาย สิ่งนี้ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด ท่านลืมแล้วหรือว่าตู๋เชียนเฉิงตายตกไปเพราะอ้วนน้อยยืนหยัดต่อสู้กับเขาอยู่ตรงนี้ นอกจากนี้เขายังช่วยเหลือศิษย์ของท่านอีกด้วย ดังนั้นถือว่าอ้วนน้อยมีส่วนร่วมในครั้งนี้มากที่สุดและควรจะได้รับรางวัลทั้งหมดนี้ไป ความจริงแล้วท่านไม่ควรจะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ถูกต้องหรือไม่?”
“แต่เขาไม่ได้สูญเสียสิ่งใด แต่ศิษย์ทั้งสามของข้าสูญเสียสมบัติวิเศษไป!” ฮัวอวิ๋นตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้
“ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่สูญเสียอะไร สิ่งสำคัญคือหัวใจ!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวต่อพร้อมหัวเราะอย่างเย็นชา “คนที่ต่อสู้อย่างกล้าหาญกับคนที่วิ่งหนีออกจากสนามรบ ถ้าหากเราทุกคนยอมสละบางสิ่งอย่างในสนามรบพร้อมวิ่งหนีไปและยังได้รับรางวัลในภายหลังอีก ในอนาคตจะมีผู้ใดยืนหยัดเพื่อต่อสู้อย่างกล้าหาญอีก?”
“เรื่องนั้น….” เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น เขาไม่มีสิ่งใดจะกล่าวต่อ “ตกลง งั้นปล่อยให้เด็กบัดซบนี่รับทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้วกัน แต่ก่อนหน้านั้นเขาคงได้รับผลประโยชน์จากการสู้รบมากพอแล้ว! งั้นเราจงมาแบ่งของรางวัลจากการต่อสู้ครั้งนี้เถอะ!”
เมื่อจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวออกมาทันที “สมบัติที่เหลือจากการต่อสู้อยู่ตรงนี้ จงหยิบไปหากเจ้าต้องการมัน!”