บทที่ 124**: หอเฉวียนจี้ผู้อับโชค**
“ทำได้อย่างนั้นหรือ?” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างดีอกดีใจ “ตู๋เชียนเฉิงนั้นข่มเหงผู้ฝึกตนอื่นมานานนับร้อยปี เขาปล้นชิงทรัพย์ผู้อื่นมากมายจนนับไม่ถ้วนและแน่นอนว่าเขาร่ำรวยยิ่งกว่าเราทั้งสี่คนรวมกัน แต่ในแหวนมิตินี้ ไม่มีสมบัติวิเศษแม้แต่ชิ้นเดียว แม้แต่วัสดุที่มียังเป็นของคุณภาพต่ำ ไม่มีวัสดุที่เก่าแก่สักชิ้น แม้แต่ศิษย์ระดับจินตันของข้ายังร่ำรวยกว่าเขาเสียอีก! ใครจะเชื่อว่านี่คือทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขา?”
“ฮ่า! แม้แต่ศิษย์ระดับจินตันของเจ้ายังร่ำรวยกว่าเขาอีกงั้นหรือ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นเจ้าจะมาร่วมวงการแบ่งสมบัติด้วยเหตุผลใดกันเล่า ทำไมเจ้าจึงไม่ยกรางวัลทั้งหมดนี้ให้อ้วนน้อยของข้าไปเสีย!” จ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างไม่ยี่หระ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังสนับสนุนเจ้าอ้วนอยู่ แม้เขาจะรู้ว่าเจ้าอ้วนซ่อนบางอย่างไว้ แต่เขาก็ไม่คิดจะหยิบจับมาเป็นของตนแต่อย่างใด
เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น เขาคำรามออกมา “ฝันไปเถอะ ข้าต้องการจะค้นตัวเขาเผื่อว่าจะพบสิ่งใด!”
“เจ้ากล้างั้นหรือ!?” จ้าวสำนักตอบกลับทันที
เมื่อเห็นว่าทั้งคู่กำลังจะเริ่มการต่อสู้กันอีกครั้ง ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวแทรกขึ้นมาว่า “พวกเจ้ามีอายุกันมากถึงเพียงนี้ แต่กลับยังโต้เถียงกันราวกับว่าเป็นเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น!”
“เขาเป็นคนไร้เหตุผล เป็นอาวุโสที่ริษยาแม้กระทั่งเด็กอายุน้อยกว่า ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าใบหน้าของเขาจะไร้ยางอายถึงเพียงนี้!” จ้าวสำนักตะโกนออกมาอย่างรังเกียจ
“ผู้ใดกันที่ต้องการต่อสู้กับเด็ก? ข้าเพียงต่อสู้เพื่อสิทธิของศิษย์ของข้าเพียงเท่านั้น!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจ
“ตกลง เอาล่ะ หยุดเถียงกันได้แล้วพวกเจ้าทั้งคู่!” ดังนั้น ภรรยาจ้าวสำนักหันศีรษะมาหาเจ้าอ้วนพร้อมถามว่า “เด็กน้อย เจ้าซ่อนอะไรไว้หรือไม่?”
“นายหญิง นี่เป็นกระเป๋ามิติใบเดียวที่ข้ามี ท่านจงดูว่ามันสามารถเก็บของไว้ได้มากเพียงใด” เจ้าอ้วนหยิบยื่นกระเป๋ามิติของเขาให้กับภรรยาจ้าวสำนักพร้อมกับแสร้งทำสีหน้าเศร้าโศก
ภรรยาจ้าวสำนักรับประเป๋ามิติมาพร้อมกับตรวจสอบภายในกระเป๋าด้วยจิตวิญาณ หลังจากนั้น นางยื่นมันให้กับนักบวชฮัวอวิ๋นพร้อมกล่าวว่า “ดูเสีย ว่าเด็กน้อยไม่ได้ซ่อนสิ่งใดไว้เลย!”
“หัวใจของเจ้านั้นยิ่งกว่าเหล่าปีศาจร้ายที่สิงสู่อยู่ในร่างกายของปีศาจเฒ่า!” จ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างเหยียดหยาม
ฮัวอวิ๋นไม่สนใจสิ่งใด เขาหยิบกระเป๋ามิติขึ้นมาทันที เป็นความจริงที่เขาไม่สามารถพบเจอสิ่งใดอยู่ภายในนั้นเลย หลังจากนั้นเขาตรวจสอบร่างกายของเจ้าอ้วนด้วยจิตวิญญาณของตนเองอย่างไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่พบกระเป๋ามิติใบอื่น หลังจากนั้นเขาขมวดคิ้วแน่นพร้อมกล่าวว่า “นี่ตู๋เชียนเฉิงข้นแค้นถึงเพียงนี้จริงงั้นหรือ?”
“ไร้สาระ นับตั้งแต่เขาบาดเจ็บจากเราก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้โผล่ออกมาโลกภายนอกเลยหลายทศวรรษ! และเขาเพิ่งออกมาได้ไม่นานนัก ไม่แปลกที่เขาจะยากจน!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวเสริม “พอ จบเรื่องนี้เสียที แม้ว่านี่จะเป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ มันก็มากพอที่เด็กน้อยเหล่านี้จะสนุกไปกับมันแล้ว สิ่งที่ข้าเห็นคือ บุตรสาวของข้าได้รับกระบี่เฟิ่งหมิงจากการต่อสู้ครั้งนี้แล้วนางจึงไม่ได้รับสิ่งอื่นอีก แต่อ้วนน้อยเป็นคนสำคัญในการสังหารตู๋เชียนเฉิง ดังนั้นเขาควรที่จะได้รับแหวนมิติพร้อมกับสิ่งของสัดส่วนเจ็ดในสิบที่อยู่ภายในแหวน!”
“อะไรกัน? เหล่าศิษย์ของข้าได้รับเพียงสามในสิบงั้นหรือ?” นักบวชฮัวอวิ๋นตะโกนออกมาอย่างเดือดดาล “สิ่งนี้ไม่โหดร้ายกับศิษย์ของข้ามากไปหรอกหรือ?”
“เจ้าคิดผิดแล้ว แท้จริงข้านั้นใจกว้าง! ตามกฎของสำนัก พวกเขาทั้งหมดจะถูกประหารเนื่องจากหลบหนีการต่อสู้! แต่ตอนนี้เห็นแก่ใบหน้าของเจ้า ไม่เพียงแต่เราไม่ลงโทษพวกเขาเหล่านั้น แต่เรายังมอบรางวัลให้กับพวกเขาอีกด้วย! แล้วเจ้ายังจะกล่าวสิ่งใดให้มากมายอีกล่ะ?” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างเด็ดขาด
“เป็นเช่นนั้น แม้ว่าจะเป็นสิ่งของเพียงสามในสิบแต่มันก็มากพอที่จะชดเชยสมบัติวิเศษที่สูญเสียไป ไม่ว่าอะไรก็ตามที่พวกเขาได้รับในตอนนี้มันยังไม่ดีพอ งั้นเราคงทำได้เพียงดำเนินการตามกฏของสำนัก!” จ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น
“พวกเจ้า พวกเจ้ากำลังรังแกศิษย์ของข้า!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวอย่างเหลืออด
“ข้าเพียงแค่บอกเล่าสถานการณ์ตอนนี้ให้เจ้าฟังเท่านั้น!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวอย่างใจเย็น “หลบหนีการต่อสู้ ปล่อยพวกพ้องร่วมสำนักให้ตกอยู่ในอันตราย เหตุผลเพียงแค่นี้เพียงพอให้พวกเขาตาย แต่เจ้ายังใช้โอกาสเช่นนี้เพื่อแสวงหาโชคลาภให้กับศิษย์เหล่านั้นงั้นหรือ?”
“ต่อให้พี่หญิงอาวุโสจะอยู่ที่นี่ แน่นอนว่านางจะต้องจัดการเช่นนี้!” จ้าวสำนักกล่าวเสริม “ถ้าไม่เห็นด้วยกับข้า ก็จงไปพบนางเพื่อถามคำถามนี้เลยดีหรือไม่?”
“ช่างมัน!” ฮัวอวิ๋นรู้จุดจบของเรื่องนี้ทันทีว่าเขาจะไม่ได้รับสิ่งใดเลย สำหรับเขาแล้วจะต่อสู้เพื่อผลประโยชน์เพียงน้อยนิดแค่นี้นั้นไม่คุ้มค่าอย่างแน่นอน ดังนั้นคงไม่ดีหากเขามีข้อกังขามากเกินไป แม้ว่าจะเกิดการนองเลือดขึ้น ก็ไม่มีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อเขาเลย
เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นยินยอม ภรรยาจ้าวสำนักได้หยิบสิ่งของต่าง ๆ ออกมาจากแหวนมิติ หลังจากที่นักบวชฮัวอวิ๋นตรวจสอบมันแล้ว เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อและเก็บของที่ต้องการและออกไปทันที เพราะภรรยาจ้าวสำนักได้มอบสิ่งของให้เขาอย่างยุติธรรมและมูลค่าของมันนั้นมากกว่าสามในสิบที่ตกลงกันไว้เสียด้วยซ้ำ
จากนั้นภรรยาจ้าวสำนักหยิบแหวนมิติคืนให้กับเจ้าอ้วนด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงคว้าแขนหงหยิงเพื่อที่จะกลับบ้าน ในตอนนี้กิจกรรมล่าอสูรกายนั้นได้จบลงแล้วและได้ผลตอบแทนมากกว่าที่คาดคิดไว้เสียอีก หงหยิงได้รับกระบี่เฟิ่งหมิงและเจ้าอ้วนได้รับรางวัลมากมาย และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาสามารถเอาชนะใจของหงหยิงได้
หลังจากที่จ้าวสำนักและภรรยาของเขาได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ จากหงหยิง พวกเขาได้รู้ว่าเจ้าอ้วนพยายามปกป้องหงหยิงด้วยชีวิตของเขา พร้อมทั้งโยนนางออกไปจากถ้ำ สิ่งนี้สร้างความประทับใจให้กับพวกเขาทั้งสองอย่างมาก ในอดีตที่ผ่านมาพวกเขาคิดว่าเด็กคนนี้มีเพียงแต่ความเจ้าเล่ห์ แต่ในสถานการณ์ที่สัมผัสได้ถึงชีวิตและความตาย เขามีจิตใจที่กล้าหาญและมั่นคงอย่างมาก
หลังจากที่มีชีวิตอยู่มานานนับพันปี จ้าวสำนักและภรรยาของเขารับรู้ได้ทันทีว่าความรักของเจ้าอ้วนและหงหยิงนั้นเป็นรักที่บริสุทธิ์กำลังก่อตัวขึ้นโดยธรรมชาติ ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนพวกเขาไม่ต้องการที่จะให้บุตรสาวตกลงปลงใจกับอ้วนน้อยแสนเจ้าเล่ห์ แต่หลังจากเหตุการณ์นี้ ความคิดของพวกเขาทั้งคู่เปลี่ยนไปและคิดมากเรื่องของเจ้าอ้วนและหงหยิง เขาทั้งสองตัดสินใจที่จะปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติอย่างแท้จริง
หลังจากเหตุการณ์นี้ หงหยิงและเจ้าอ้วนไม่สามารถแยกออกจากกันได้เมื่อพวกเขาอยู่ที่หลังภูเขา ทั้งสองคนวิ่งไปตามแนวภูเขา พร้อมกับมีเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานดังก้องไปทั่ว ถ้าหากมีใครมาพบแล้วผู้นั้นไม่ได้ตาบอด จะรู้ได้ทันทีว่าหนุ่มสาวคู่นี้กำลังมีความรู้สึกดีต่อกัน
เมื่อมองเห็นสาวงามและชายหนุ่มผู้น่าเกลียดคู่นั้น ดวงตาของคนที่พบเห็นแทบจะหลุดออกมาจากเบ้า ดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘ดอกฟ้ากับหมาวัด’ เหล่าศิษย์ที่หลงรักหงหยิงต่างพากันสาปแช่งเจ้าอ้วนผู้นี้อย่างเกรี้ยวกราด พวกเขาทั้งหมดพยายามวางแผนที่จะกำจัดเจ้าอ้วนทิ้งเมื่อมีโอกาส
อย่างไรก็ตามตอนนี้ข่าวที่เจ้าอ้วนเป็นผู้สังหารตู๋เชียนเฉิงนั้นแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีศิษย์ในสำนักคนไหนกล้าที่จะเผชิญหน้ากับเจ้าอ้วน พวกเขาทั้งหมดจึงเป็นเพียงส่วนเกินที่ทำได้แค่มองเจ้าอ้วนกับหงหยิงมีความสุขกันจากระยะไกล
ในสำนักเสวียนเทียน เหตุการณ์ทั้งหมดยังคงสงบอยู่ ความตายของตู๋เชียนเฉิงทำให้เหล่าศิษย์ในสำนักตื่นเต้นกันอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะว่ามันไม่ได้ถูกสังหารโดยเหล่าอาวุโสของสำนัก ดังนั้นเรื่องราวเหล่านี้จึงไม่ถูกเอ่ยขึ้นมากนัก
แต่ไม่มีอุปสรรคใดที่จะปิดกั้นไม่ให้ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วโลกของผู้ฝึกตน ในตอนที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น สำนักต่าง ๆ มากมายในเทือกเขาต่างพากันทราบข่าวจนหมดสิ้น แม้แต่เหล่าสำนักที่อยู่ห่างไกลออกไปยังได้รับข่าวนี้
ตู๋เชียนเฉิงที่ข่มเหงรังแกโลกของผู้ฝึกตนมานานนับร้อยปีได้ตายตกไปด้วยฝีมือของสำนักเสวียนเทียน ถ้าหากเป็นเพียงข่าวนี้แน่นอนว่ามันจะน่าทึ่งมาก และจะไม่มีผู้ใดสงสัยเลย หลังผ่านเวลายาวนานสำนักเสวียนเทียนแข็งแกร่งมากขึ้น จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะสังหารตู๋เชียนเฉิงได้
แต่ข่าวที่แพร่กระจายออกไปคือบุคคลที่สังหารตู๋เชียนเฉิงได้นั้นเป็นเพียงศิษย์ระดับต่ำของสำนักเสวียนเทียน ผู้ที่ไม่มีบทบาทในสำนักชั้นในด้วยซ้ำ ขณะที่ข่าวนี้แพร่กระจายออกไป มีผู้คนมากมายตกใจจนนับไม่ถ้วน ชื่อของเขาคืออ้วนน้อย ซ่งจง ซึ่งในตอนนี้มันแพร่กระจายไปอย่างกว้างไกลในโลกของผู้ฝึกตน
รวมกับความจริงที่ว่ากระบี่เฟิ่งหมิงนั้นเลือกหงหยิงเป็นเจ้านายคนใหม่นั้นก็ได้รับความสนใจจากผู้คนอย่างมาก มากเสียยิ่งกว่าเจ้าอ้วนเสียอีก เขานั้นโชคดีที่สามารถสังหารตู๋เชียนเฉิงได้และไม่มีโอกาสมากนักที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกครั้ง ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้คนจะจดจำเรื่องราวนี้ไปตลอด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับหงหยิง นางเป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยากอีกทั้งสถานะยังเป็นถึงบุตรสาวแห่งจ้าวสำนักเสวียนเทียน ด้วยสถานะและพรสวรรค์ของนาง แน่นอนว่านางจะต้องประสบความสำเร็จอย่างมากในอนาคต และในตอนนี้นางยังครอบครอบกระบี่เฟิ่งหมิงอีกด้วย!
กล่าวได้ว่าอนาคตของนางนั้นเกินคำว่าไร้ขีดจำกัดไปเสียแล้วและเป็นไปได้อย่างมากที่นางจะไปได้ไกลยิ่งกว่าบิดาและมารดาของตนเอง ด้วยศักยภาพทั้งหลายภายในตนเอง ขั้วอำนาจต่าง ๆ ในโลกของผู้ฝึกตนจะต้องคอยจับตามองนางอย่างไม่อาจคลาดสายตา
เกี่ยวกับการตายของตู๋เชียนเฉิง ทิศทางของโลกแห่งผู้ฝึกตนนั้นเดินไปในเส้นทางที่ดีขึ้น มีหลายคนได้ร่วมแสดงความยินดีกับสำนักเสวียนเทียน แต่มีเพียงสำนักขนาดใหญ่เพียงสำนักเดียวและเป็นสำนักหญิงล้วนเท่านั้น หอเฉวียนจี้ ซึ่งยังคงเงียบสนิท นี่เป็นเพราะพวกเขาเป็นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากตู๋เชียนเฉิง!
เมื่อหลายปีก่อน ผู้อาวุโสของหอเฉวียนจี้ได้พบพานกับตู๋เชียนเฉิงโดยบังเอิญ ในขณะนั้นเขากำลังบาดเจ็บ ซึ่งทำให้นางตื่นเต้นมากและรีบรายงานจ้าวสำนักของตนทันที จากนั้นหอเฉวียนจี้ทั้งหมดได้ประชุมกันและวางแผนซุ่มโจมตีตู๋เชียนเฉิงและแย่งชิงกระบี่เฟิ่งหมิงของเขา
แม้แต่สำนักที่ยิ่งใหญ่อย่างสำนักเสวียนเทียน ยังมีสมบัติวิญญาณเพียงแค่สองชิ้น ดังนั้นสำหรับกระบี่เฟิ่งหมิงจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก พวกเขาทั้งหมดจึงส่งกำลังออกไปอย่างเต็มกำลังเพื่อที่จะคว้าเอาชัยชนะมาให้ได้!
เพื่อป้องกันไม่ให้ตู๋เชียนเฉิงหนี หอเฉวียนจี้ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้าโดยตรงกับเขา ที่จริงแล้วพวกเขาหลบซ่อนตัวอยู่ไม่กี่ปีเท่านั้น พวกเขาขัดเกลาและปรับแต่งสมบัติวิเศษอยู่พร้อมกับฝึกซ้อม หลังจากที่พวกเขาคุ้นเคยกับอุปกรณ์แล้ว พวกเขาเริ่มโจมตีทันที ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทั้งหมดภายในหอเฉวียนจี้ทั้งหมดหกคน พวกเขาทั้งหมดร่วมกันต่อสู้และมีผู้ฝึกตนระดับจินตันนับร้อยคนคอยสนับสนุนอยู่ด้านหลัง
แต่ทว่าแผนของพวกเขาทั้งหมดไม่อาจรับการเปลี่ยนแปลงได้ทัน ด้วยพลังของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดที่ร่วมกันต่อสู้ แต่ทว่าตู๋เชียนเฉิงกลับระเบิดสมบัติวิเศษทั้งหมดเพื่อทำการหลบหนีไปโดยใช้กระบี่เฟิ่งหมิงของเขา
เมื่อเห็นว่าแผนของพวกเขาทั้งหมดล้มเหลวในตอนท้าย เหล่าอาวุโสภายในหอเฉวียนจี้แทบจะกระอักเลือดตาย พวกเขาทั้งหมดรีบเร่งที่จะรวบรวมคนระดับสูงในสำนักเพื่อทำการค้นหาอย่างลับ ๆ
เหตุผลที่พวกเขาเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับกระบี่เฟิ่งหมิง อีกทั้งอาการบาดเจ็บสาหัสของตู๋เชียนเฉิง ตัวตนของเขาเหมือนกับหีบสมบัติ ถ้าหากข่าวนี้รั่วไหลออกไป แน่นอนว่ามันจะต้องดึงดูดความสนใจจากผู้ฝึกตนทั่วทั้งโลก ในเวลานั้นหอเฉวียนจี้ไม่อาจค้นหาเขาพบ จึงทำให้ความพยายามทั้งหมดของพวกเขาสูญเปล่าอย่างไม่อาจช่วยได้