บทที่ 125**: ทางเลือกของฉุ่ยจิ้ง**

ชีวิตได้เล่นตลกกับพวกนางแห่งหอเฉวียนจี้อีกครั้ง ทั้งหมดนี้เป็นความน่าสงสารซึ่งแม้แต่การวางแผนอย่างรัดกุมก็ยังไร้ประโยชน์ เพียงแค่สองวันหลังจากตู๋เชียนเฉิงได้รับบาดเจ็บและหลบหนีไป มีข่าวมาจากสำนักเสวียนเทียนว่าตู๋เชียนเฉิงนั้นถูกสังหารและกระบี่เฟิ่งหมิงตกอยู่ในมือของหงหยิง ซึ่งไม่อาจจินตนาการได้ว่าเมื่อหอเฉวียนจี้รู้ข่าวแล้วพวกเขาจะอึดอัดภายในหัวใจมากเพียงใด! พวกเขาไม่เพียงแต่เตรียมการมาเนิ่นนานหลายปี แต่พวกเขาสูญเสียผู้ฝึกตนระดับจินตันเจ็ดถึงแปดคนและผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินถึงสองคนในการสู้รบ และในท้ายที่สุดพวกเขาไม่ได้รับสิ่งใดเลย

ในขณะที่มีข่าวเช่นนั้นแพร่กระจายออกมา แทบทุกคนในหอเฉวียนจี้เกือบตายตกไปด้วยความโกรธแค้น ถ้าหากเป็นสำนักอื่น พวกเขาคงจะเดินเข้าไปเคาะประตูเพื่อแสวงหาความยุติธรรมไม่ว่าจะเป็นสำนักใดก็ตาม แต่ปัญหาก็คือผู้ที่ได้รับรางวัลจากการต่อสู้ครั้งนี้คือสำนักเสวียนเทียน จึงทำให้พวกเขาทั้งหมดรู้สึกว่าเรื่องนี้ยากเกินกว่าจะจัดการได้

เหตุผลไม่ใช่เพราะพวกเขาเกรงกลัวความแข็งแกร่งของสำนักเสวียนเทียน หอเฉวียนจี้นั้นมีผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินมากกว่าแต่ทว่าสำนักเสวียนเทียนมีผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในเทือกเขาใหญ่แห่งนี้คือเทพธิดาเหมยฮวา ทั้งสองฝ่ายไม่มีผู้ใดเกรงกลัวกัน

ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นนับว่าดีมาก ทั้งสองสำนักมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันมายาวนานและมีการแต่งงานระหว่างสำนักเกิดขึ้นมากมายจนนับไม่ถ้วน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งสองไม่อาจแยกจากกันได้เพราะว่าสมบัติวิญญาณเพียงอย่างเดียว

แต่ทว่าพวกเขาไม่ได้ละทิ้งข้อสรุปเหล่านี้ ดังนั้นนายหญิงแห่งหอเฉวียนจี้จึงเขียนจดหมายส่งถึงจ้าวสำนักเสวียนเทียน ระบุถึงความสูญเสียต่างๆที่เกิดขึ้นมากมายแต่ไม่ได้กล่าวถึงสิ่งที่อยากได้ชดเชยเหตุการณ์ในครั้งนี้แต่อย่างใด

จ้าวสำนักเสวียนเทียนไม่ใช่คนโง่เง่า เขาจะมองไม่เห็นจุดประสงค์ของอีกฝ่ายได้อย่างไร? เห็นได้ชัดว่าหอเฉวียนจี้ต้องการส่วนแบ่งของรางวัลที่ได้จากการต่อสู้ อย่างน้อยก็พอที่จะบรรเทาการสูญเสียของพวกเขา

จ้าวสำนักเสวียนเทียนซึ่งอ่านจดหมายนี้เสร็จสิ้นแล้ว เขารู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก ถ้าหากเป็นสำนักอื่นๆ แน่นอนว่าเขาจะไม่ใส่ใจกับเรื่องราวเหล่านี้มากนัก แต่หอเฉวียนจี้ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ถ้าหากเขาเพียงแต่ตอบกลับไปพอเป็นพิธี แน่นอนว่ามันจะไม่เกิดการต่อสู้ แต่จะมีปัญหากับความสัมพันธ์ที่ยาวนานนี้อย่างแน่นอน

หลังจากที่พิจารณาและปรึกษากับฮัวอวิ๋น การตัดสินใจครั้งสุดท้ายคือเรียกเอาสิ่งของบางอย่างในสำนัก นอกจากนี้พวกเขายังนำเอาสมบัติส่วนตัวและมันเป็นของขวัญที่มีมูลค่ามากกว่าหินจิตวิญญาณนับล้าน ส่งมอบสิ่งของเหล่านี้ให้กับหอเฉวียนจี้

แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่อาจเทียบกับกระบี่เฟิ่งหมิง แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังได้แสดงความจริงใจและชดเชยความสูญเสียของหอเฉวียนจี้ กล่าวได้ว่าการกระทำทั้งหมดนี้เพื่อรักษาใบหน้าของหอเฉวียนจี้ไว้ด้วย

แต่สิ่งที่จ้าวสำนักและภรรยาไม่ได้คาดหวังกลับเกิดขึ้นมาอย่างไม่อาจช่วยได้ หอเฉวียนจี้โกรธจัดทันทีเมื่อเห็นของต่างๆที่ถูกส่งมา นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาเห็นว่าความมั่งคั่งของตู๋เชียนเฉิงนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด คนแต่งตัวประหลาดแต่กลับสามารถระเบิดสมบัติวิเศษนับร้อยชิ้น ทรัพย์สมบัติของเขาจะมีมากมายเพียงใดกัน? แม้ว่าเขาจะมีหินจิตวิญญาณเป็นพันล้านก้อนก็ยังไม่น่าแปลกใจ หลังจากที่สำนักเสวียนเทียนได้รับกระบี่เฟิ่งหมิง สิ่งที่เขามอบให้ไม่เพียงแต่เป็นหนึ่งในสิบของความมั่งคั่งทั้งหมด ซึ่งพวกเขาอยู่ห่างไกลจากคำว่าตระหนี่เสียอีก

ซึ่งความเป็นจริง ไม่อาจตำหนิจ้าวสำนักว่าเป็นคนตระหนี่ได้ ถ้าหากพวกเขาได้รับความมั่งคั่งที่แท้จริงของตู๋เชียนเฉิง แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่กระทำเช่นนี้ เขาจะต้องมอบมันครึ่งหนึ่งแก่พวกเขาอย่างแน่นอน แต่ปัญหาก็คือ สมบัติราวเก้าในสิบอยู่กับเจ้าอ้วน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เหลือทิ้งไว้เพียงไม่กี่ล้านเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหยิบยื่นทรัพย์สมบัติของตนเองเพื่อชดเชยความสูญเสียที่หอเฉวียนจี้ได้รับ

แต่หอเฉวียนจี้ไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น จึงส่งผลให้พวกเขาเข้าใจผิดต่อสำนักเสวียนเทียน จากนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองสำนักเริ่มมีรอยแตกร้าว สาเหตุหลักของภัยพิบัติในคราวนี้มาจากความเจ้าเล่ห์ของอ้วนน้อย

ในขณะที่ทั้งสองสำนักกำลังตึงเครียดกันเกี่ยวกับเรื่องสมบัติของตู๋เชียนเฉิง ผู้ก่อปัญหาของเรื่องนี้ยังไม่รู้เรื่องอะไร เขาใช้ชีวิตไปตามปกติของเขา คือ ฝึกฝน ปรับแต่งสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ และเล่นกับหงหยิง

ภายใต้สถานการณ์ที่ผ่อนคลายดังกล่าว ระดับการฝึกฝนของเจ้าอ้วนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายใต้การช่วยเหลือของทรัพยากรจำนวนมาก ในตอนสุดท้ายก่อนที่จะถึงการค้นหาผลไม้วิญญาณลึกลับ เจ้าอ้วนสามารถผ่านพ้นคอขวดและประสบความสำเร็จในการผ่านพ้นระดับเซียนเทียนขั้นสิบสองมาได้ เขาได้ก้าวเข้าสู่ระดับเซียนเทียนอย่างเต็มขั้นแล้วในตอนนี้

ภายในเวลาสองเดือน เจ้าอ้วนประสบความสำเร็จขึ้นอีกก้าวหนึ่ง แน่นอนว่าส่วนหนึ่งคือการฝึกฝนอย่างหนักและทรัพยากรจำนวนมากของเขา แต่เหตุผลที่แท้จริงเป็นเพราะยาอายุวัฒนะลึกลับแห่งสวรรค์ที่หงหยิงยัดใส่ปากของเขา ถ้าหากไม่ใช่เพราะยามูลค่าเทียบกับหินจิตวิญญาณนับล้านเช่นนี้ คงไม่มีหนทางที่เขาจะก้าวสู่ความสำเร็จโดยใช้เวลาสั้นๆอย่างแน่นอน

วันที่เจ้าอ้วนหยุดการฝึกฝนของตนเพื่อออกมาสูดอากาศ บังเอิญว่ามันเป็นวันที่พวกเขาทั้งหมดกำลังจะออกไปค้นหาผลไม้วิญญาณลึกลับ ในขณะที่ออกจากบ้านในตอนเช้า เขาพบว่าหงหยิงได้มารอเขาแล้ว

เมื่อหงหยิงมองเห็นเขา นางรีบวิ่งมาจับมือเขาและกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น “พี่ชายอ้วน เจ้าประสบความสำเร็จอีกขั้นแล้ว!”

“แน่นอน!” เจ้าอ้วนยิ้ม “นั่นเป็นเพราะยาอายุวัฒนะแห่งสวรรค์ลึกลับที่เจ้าให้ข้ากินเมื่อก่อนหน้านี้ไงล่ะ! เสียดายของจริง ๆ!”

“เจ้าพูดอะไร? สำหรับพี่ชายอ้วนไม่มีคำว่าเสียของ!” หงหยิงเผยยิ้มพร้อมกับดึงเจ้าอ้วนให้หยิบพยัคฆ์ปีกแหลมออกมาและกล่าวอย่างร่าเริง “วันนี้เป็นวันค้นหาผลไม้วิญญาณลึกลับ ถึงเวลาที่เราจะได้พบกับพวกเขาแล้ว!”

เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินดังนั้น เขาไม่รอช้าพร้อมกับบังคับพยัคฆ์ปีกแหลมขึ้นบินทันที เขาทั้งสองคนเหลืองไว้เพียงแสงสีม่วงจาง ๆ มุ่งหน้าไปที่สำนักชั้นใน

ในเวลาสั้นๆ ทั้งสองคนมาถึงหอคอยสูง หอคอยนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยเวทมนตร์ มันสูงกว่าร้อยฟุต ด้านบนของมันมีสมบัติวิเศษคือเรือบินลอยอยู่

มีคนจำนวนมากอยู่บนเรือ เสี่ยวไป่หลงและดาบเทวะไร้ผู้ต้านได้มาถึงแล้วเช่นนั้น หลังจากที่สมบัติวิเศษของพวกเขาถูกทำลาย อาวุโสที่คอยสนับสนุนเขาก็มอบสิ่งของชิ้นใหม่ให้พวกเขาทันที แม้ว่ามันจะไม่ดีเท่าสมบัติที่เคยมีก็ตาม แต่มันก็ยังคงแข็งแกร่งมากกว่าอุปกรณ์วิเศษ ในช่วงสองเดือนนี้พวกเขาใช้เวลาปรับแต่งสมบัติวิเศษของพวกเขาและนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาทั้งสองคนได้ออกมาสูดอากาศภายนอกบ้าง

หลังจากที่เจ้าอ้วนและหงหยิงขึ้นมาบนเรือ มีผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิเดินเข้ามาหาพวกเขาทั้งคู่และบอกว่าพวกเขาพักอยู่ที่ห้องใดพร้อมทั้งสิ่งที่ควรรู้ต่าง ๆ เจ้าอ้วนเคยขึ้นเรือลำนี้มาก่อนแล้วจึงคุ้นเคยกับมันอย่างมากขณะพาหงหยิงเดินเล่นรอบเรือหลังจากที่จบการสนทนากับผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิแล้ว

หงหยิงรู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมากเพราะว่านี่คือครั้งแรกของนาง นางกระโดดโลดเต้นไปมาราวกับลิง ถ้าหากผู้คนบนเรือกล้ากระทำตัวเช่นนาง ก็คงจะโดนอาวุโสที่อยู่บนเรือตักเตือน แต่ด้วยสถานะที่ไม่ธรรมดาของนาง ผู้ฝึกตนทั้งหลายจึงได้แต่ส่ายหัวพร้อมทั้งไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะกับการกระทำของหงหยิงดี

ถึงแม้ว่าผู้อื่นจะไม่กล้าตักเตือนหงหยิง แต่เจ้าอ้วนไม่รู้สึกเช่นนั้น เขาไม่เข้าร่วมในการแสดงตลกของนาง แต่เมื่อสังเกตุเห็นสถานการณ์บนเรือ ในขณะนั้นมีศิษย์เก้าคนอยู่ที่นี่เพื่อค้นหาผลไม้วิญญาณลึกลับ แต่ว่าแม่นางฉุ่ยจิ้งไม่ได้อยู่ที่นี่ ผู้นำของกลุ่มนี้คือผู้เชี่ยวชาญระดับหยวนหยิน นักบวชฮัวอวิ๋น นั่นแสดงให้เห็นว่าว่าเหตุการณ์บนท้องฟ้าในครั้งนี้สำคัญอย่างมาก

ในขณะนั้น นักบวชฮัวอวิ๋นผู้นั่งสมาธิอยู่บนสุดของเรือได้ลืมตาขึ้นและถามว่า “ถึงเวลาแล้วหรือยัง?”

“ถึงเวลาแล้วขอรับ!” ผู้ฝึกตนระดับจินตันตอบกลับอย่างรวดเร็ว

“ผู้ใดยังไม่ได้ขึ้นบนเรือลำนี้บ้าง?” นักบวชฮัวอวิ๋นถาม

“มีเพียงแม่นางฉุ่ยจิ้งขอรับ!” ผู้ฝึกตนระดับจินตันกล่าวออกมาพร้อมขมวดคิ้ว “ควรส่งคนไปตามนางหรือไม่?”

“ไร้สาระ!” นักบวชฮัวอวิ๋นส่ายหัว “เหตุผลที่นางไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ อาจเป็นเพราะนางเชื่อฟังอาจารย์ของนาง ถ้าหากเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องรอนางอีกต่อไป ออกเรือ!”

“ขอรับ!” แม้จะเกิดความสงสัยในหัวใจของผู้ฝึกตนระดับจินตันมากเพียงใด แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะถามออกไปพร้อมทั้งพยักหน้าขานรับ จากนั้นเขาจึงเริ่มการทำงานของเรือทันที

แต่ในขณะนั้น มีบุคคลชุดขาวกำลังบินเข้ามา เมื่อมองเห็นเช่นนั้น นักบวชฮัวอวิ๋นรีบตะโกนทันที “หยุด ฉุ่ยจิ้งมาแล้ว!”

ผู้ฝึกตนระดับจินตันมึนงงอยู่ชั่วขณะจากนั้นเขาจึงหยุดการทำงานของเรืออย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาเงยหน้าขึ้นพร้อมกับเห็นแม่นางฉุ่ยจิ้งกำลังร่อนลงยืนบนเรืออย่างนิ่มนวลราวกับดอกบ๊วยที่สงบนิ่ง

นักบวชฮัวอวิ๋นถามออกไปอย่างรู้สถานการณ์ “ฉุ่ยจิ้ง เจ้าคิดอย่างรอบคอบแล้วงั้นหรือ?”

“ข้าคิดมาดีแล้ว!” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับพร้อมรอยยิ้มพร้อมโค้งคำนับแก่นักบวชฮัวอวิ๋นอย่างสุภาพ นางกล่าวต่อ “ท่านอาจารย์ของข้าจะเข้าสู่การเก็บตัวฝึกฝนเป็นเวลาร้อยปีและอยู่ในภูเขาเหมยที่ปิดผนึกอย่างสมบูรณ์ ในอนาคตฉุ่ยจิ้งขอให้ท่านอาจารย์ลุงดูแลข้าด้วย!”

นักบวชฮัวอวิ๋นรู้แล้วว่าฉุ่ยจิ้งจะตัดสินใจเช่นนี้ เนื่องจากเทพธิดาเหมยฮวาได้บอกเขาแล้วส่วนหนึ่ง แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าฉุ่ยจิ้งเลือกทางใด เขาสามารถรับรู้ได้ถึงความเคร่งขรึมบนใบหน้าของพี่หญิงอาวุโสของเขาได้ว่าเรื่องนี้จะต้องสำคัญมากอย่างแน่นอน

เดิมทีนักบวชฮัวอวิ๋นคิดว่าฉุ่ยจิ้งจะเลือกเส้นทางที่ง่ายกว่าคือการเก็บตัวฝึกฝนกับอาจารย์ของตนเอง แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าฉุ่ยจิ้งจะเลือกเช่นนี้ เมื่อเห็นว่าฉุ่ยจิ้งปรากฏตัวขึ้น นักบวชฮัวอวิ๋นจึงรู้สึกตกใจอย่างไม่อาจอดรั้ง

เขาไม่ได้มีความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ พร้อมกล่าวออกมาอย่างใจเย็น “เมื่อเจ้ากลับมา ข้าจะหาที่พักในสำนักชั้นในให้เจ้า และเจ้าสามารถมาพบข้าได้ถ้าหากว่าเจ้าพบปัญหาใดๆก็ตามในอนาคต!”

“ขอขอบคุณท่านอาจารย์ลุง!” ฉุ่ยจิ้งโค้งคำนับอย่างจริงใจ หลังจากเสร็จสิ้นแล้ว นางเหลือบไปมองที่เจ้าอ้วนอย่างจงใจ และหันหลังกลับเพื่อเดินเข้าห้องของตนเองอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่ฉุ่ยจิ้งออกไปแล้ว นักบวชฮัวอวิ๋นตะโกนอีกครั้ง “ออกเรือ!”

“ขอรับท่านอาจารย์!” ผู้ฝึกตนระดับจินตันตอบกลับพร้อมกับเปิดการทำงานของเรืออีกครั้ง

หลังจากนั้น ปรากฏแสงสีเขียวขึ้นรอบเรือ และมีการกำหนดทิศทางของมันอย่างรวดเร็ว เมื่อปะทะกับพลังแห่งพระอาทิตย์ เรือเพิ่มความเร็วขึ้นไปจนถึงความเร็วสูงสุด จากนั้นเรือลำนี้ได้หายลับไปกับขอบฟ้าเหลือทิ้งไว้เพียงแสงสีเขียวเลือนลางเท่านั้น