บทที่ 126**:**ดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์
ความเร็วของเรือโบราณที่เป็นสมบัติวิญญาณนั้นสูงมาก มันสามารถบินได้เร็วถึงสี่พันลี้ต่อชั่วโมง แม้ว่าจะไม่อาจเทียบกับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินได้ แต่มันสามารถเปรียบเทียบกับผู้ฝึกตนระดับจินตันได้อย่างสบายๆ ด้วยความเร็วนี้ ในที่สุดพวกเขาทั้งหมดก็เดินทางมาถึงภูเขาที่งดงามภายในเวลาเพียงสี่ชั่วโมงเท่านั้น
ภูเขาแห่งนี้เป็นภูเขาที่มียอดเขาสูงสลับกันไปมา มีหมอกหนาทึบล้อมภูเขาลูกนี้ แต่ยอดเขานั้นสูงมากทะลุหมอกขึ้นไปบนฟ้า ทำให้ภาพที่เห็นสวยงามอย่างยิ่ง
เมื่อผู้คนจากสำนักเสวียนเทียนมาถึง ในที่แห่งนี้เต็มไปด้วยสมบัติวิญญาณจากสำนักอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่รูปร่างคล้ายเรือ แต่บางส่วนมีรูปร่างคล้ายกับหอขนาดเล็ก
มีกลุ่มคนซึ่งเป็นเหล่าตัวแทนของสำนักต่าง ๆ ยืนอยู่เป็นกลุ่มก้อนบนยอดเขา ซึ่งในตอนนี้พบสถานที่ที่เหมาะสมแก่การลงจอดแล้ว เจ้าอ้วนและสหายร่วมสำนักพลันลงจอดภายใต้การการนำของนักบวชฮัวอวิ๋น
นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าอ้วนได้มองเห็นผู้ฝึกตนจากสำนักอื่น ๆ มากมายและเขาไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากอยู่ในสถาวะสงบนิ่ง จากนั้นเขาเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าผู้คนเหล่านี้ต่างก็มาจากสำนักใหญ่ภายในเทือกเขาเช่นกัน
แม้ว่าเจ้าอ้วนจะไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่ทุกสิ่งสามารถบ่งบอกได้จากการแต่งกายของพวกเขา ตัวอย่างเช่นผู้ที่แต่งกายด้วยชุดคลุมสีแดงอาจจะเป็นผู้ฝึกตนของสำนักปีศาจโลหิต ส่วนคนที่บอบบางราวกับเนื้อไม้ไผ่มาจากสำนักไผ่ขื่นขม บรรดาผู้ที่แต่งกายประดับประดาไปด้วยเหล่าพืชพรรณและมีแมลงบินว่อนอยู่ที่ร่างกายของพวกเขามาจากสำนักว่านฉง และเหล่าผู้คนที่ร่างกายเต็มไปด้วยรอยบาดแผลของการต่อสู้มาจากสำนักพันปีศาจ
บรรดาเหล่าผู้ฝึกตนทั้งหลายนั้นมีพฤติกรรมแปลก ๆ สำหรับผู้ฝึกตนที่มาจากสำนักอื่น ๆ นั้นเป็นเรื่องยากมากที่จะแบ่งแยกพวกเขาออกจากกัน พวกเขาทั้งหมดคล้ายกันรวมทั้งสมบัติวิเศษบนหลังของเขาเหล่านั้นด้วย แต่ผู้ฝึกตนที่สามารถแบ่งแยกจากกลุ่มอื่นได้อย่างชัดเจนคือผู้ที่มาจากหอเฉวียนจี้เพราะพวกนางทั้งหมดเป็นหญิงสาวผู้มีใบหน้าที่งดงาม
แม้ว่าจะมองจากตำแหน่งที่เขายืนอยู่ เจ้าอ้วนมองเห็นความหมายของตำแหน่งนั้น ๆ ผู้ที่มาจากสำนักที่ชั่วร้ายและสำนักที่ชอบธรรมจะแบ่งแยกออกจากกันอย่างชัดเจน การแบ่งเส้นเช่นนี้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมาในอนาคต
แม้ว่าจะมีการปักเขตแดนที่ชัดเจน แต่แปดในสิบของผู้คนที่มาจากสำนักแห่งความชอบธรรมหรือชั่วร้าย พวกเขาทั้งหมดยืนจ้องหน้ากันพร้อมแผ่จิตสังหารออกมาทำให้บรรยากาศรอบข้างเยือกเย็น ทุกคนรู้ดีว่าสามารถเกิดความขัดแย้งขึ้นได้ตลอดเวลา
เช่นเดียวกับเจ้าอ้วนที่กำลังสำรวจสภาพแวดล้อมของตนเอง มีกลุ่มของหญิงสาวแต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีขาวปรากฏกายขึ้นตรงหน้ากลุ่มของเขาด้วยการนำของหญิงสาววัยกลางคน
หญิงสาววัยกลางคนซึ่งเป็นผู้นำนั้นงดงามราวกับว่าความงดงามเป็นโรคประจำตัวของนาง นางควบคุมปราณจิตวิญญาณของตนเองได้อย่างดีเยี่ยมและเห็นได้ชัดว่านางอยู่ในระดับหยวนหยิน นางเผยยิ้มเล็กน้อยพร้อมกล่าวทักทายนักบวชฮัวอวิ๋นอย่างสุภาพ “ทำความเคารพศิษย์พี่ฮัวอวิ๋น! หลายปีมานี้เราไม่ได้พบกันเลย ท่านยังคงสง่างามเช่นเดิม!”
“เจ้าเยินยอข้าเกินไปแล้ว!” นักบวชฮัวอวิ๋นตอบกลับอย่างสุภาพ เขาไม่กล้าหยาบคายกับนางและรีบกล่าวว่า “ศิษย์น้องฮ่าวยังคงสง่างามเช่นเดิม แต่ข้านั้นกลายเป็นคนชราไปเสียแล้ว!”
“ฮ่าฮ่า ศิษย์พี่กล่าวเกินจริงไปมากโข!” สาวงามตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “สำนักเสวียนเทียนสังหารตู๋เชียนเฉิงและอยู่ภายใต้ความมั่งของของเขา แล้วจะอยู่ในสภาพที่แก่ชราได้อย่างไรเล่า?”
เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเขาเปลี่ยนทันทีพร้อมกับที่เขารู้ทันทีว่านางไม่ได้ทักทายฉันท์มิตรกับเขา เขายกยิ้มขึ้นพร้อมตอบกลับอย่างระมัดระวัง “เทพธิดาฮ่าวมองข้าสูงเกินไปแล้ว คนที่สังหารตู๋เชียนเฉิงนั้นเป็นเพียงศิษย์ในสำนัก ข้ามิได้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้เลย”
“โอ้ อย่างนั้นหรือ?” แววตาของหญิงสาวมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น “ข้าสงสัยว่าบุรุษผู้ใดช่างกล้าหาญที่เป็นคนสังหารตู๋เชียนเฉิง ข้าพอจะมีความโชคดีที่จะได้พบเขาหรือไม่?”
“ฮ่าฮ่า แน่นอน!” นักบวชฮัวอวิ๋นเผยยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวกับเจ้าอ้วน “ซ่งจงมาเคารพเทพธิดาฮ่าวจากหอเฉวียนจี้!”
เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาเดินออกมาพร้อมกับโค้งคำนับอย่างสุภาพ ในขณะที่เขากำลังจะกล่าวทักทาย มีคลื่นเสียงแทรกเข้ามาเป็นเสียงหัวเราะซุบซิบเกี่ยวกับชื่อของเขา “ซ่งจง สวรรค์! ชื่อที่แปลกประหลาดนี้คืออะไรกัน?”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” ในขณะที่นางกล่าวออกมาเช่นนั้น เหล่าสตรีที่มาจากหอเฉวียนจี้หัวเราะออกมาอย่างไร้ความปราณี
แม้แต่เทพธิดาผู้เลอโฉมยังหัวเราะออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ สิ่งที่ทำให้เขาโกรธมากที่สุดในตอนนี้คือเหล่าพวกพ้องที่มาจากสำนักเดียวกันกับเขาก็ต่างพากันหัวเราะอย่างสนุกสนาน ในตอนสุดท้ายความโกรธนี้ได้สะสมอยู่ภายในหัวใจของเขาอย่างท่วมท้น คำพูดที่เขาต้องการจะกล่าวทักทายในตอนแรกนั้นได้หมดไปแล้วอย่างสมบูรณ์
นักบวชฮัวอวิ๋นมีอคติกับเจ้าอ้วนอยู่แล้วและไม่สนใจว่าเจ้าอ้วนจะถูกทำให้อับอายหรือไม่ แต่หงหยิงไม่สามารถอดทนกับสถานการณ์ที่เจ้าอ้วนถูกรังแกเช่นนี้ได้ นางคำรามออกมาเสียงดังลั่นภูเขา “พวกเขากำลังหัวเราะอะไรกัน! มันน่าขันมากงั้นหรือ!”
ฉุ่ยจิ้งที่เดิมเงียบสงบก็กล่าวออกมาพร้อมกับขมวดคิ้วแน่น “หอเฉวียนจี้แท้จริงแล้วเป็นสำนักที่ได้รับความชื่นชมว่าเป็นผู้ที่มีสง่างามอย่างมาก!”
อาวุโสฮ่าวตกใจทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของทั้งสองคน นางตกใจที่แม้แต่หงหยิงก็ยังปกป้องเจ้าอ้วนผู้นี้ แต่นางมองอีกเหตุผลหนึ่งคือในอนาคตหงหยิงจะกลายเป็นผู้ฝึกตนที่มีพลังไร้ขีดจำกัด แต่จากการมองด้วยตาเปล่าและตรวจสอบแบบลวก ๆ หงหยิงอาจจะต้องการให้เจ้าอ้วนเป็นพันธมิตรกับนางในอนาคต ในอนาคตนางจะนำพาสำนักของตนเองไปสู่ความรุ่งเรืองอย่างถึงที่สุด แต่ด้วยความคิดเช่นนี้ของนางจะทำให้นางไม่สามารถเป็นผู้นำสำนักได้เพราะจิตใจนางไม่เข้มแข็งพอ แต่สำหรับฉุ่ยจิ้งนั้นแตกต่างออกไป นางกล่าวออกมาด้วยประโยคสั้น ๆ แต่กลับการเป็นประโยคที่รุนแรงอย่างมากและเป็นการฉุดดึงเหล่าคนพวกนี้ให้นึกถึงจุดยืนของตนเอง ด้วยประโยคเดียวของนางทำให้เหล่าศิษย์ของหอเฉวียนจี้รู้สึกอับอายอย่างมาก
เทพธิดาฮ่าวจมลึกลงไปในความคิดของตนเอง ‘ดูเหมือนว่าศิษย์ของสำนักเสวียนเทียนจะเต็มไปด้วยอัจฉริยะ! หนึ่งในนั้นคือหงหยิงเป็นผู้มีพรสวรรค์ สำหรับฉุ่ยจิ้งนั้นมีพรสวรรค์และยังเฉลียวฉลาด นางอาจจะเป็นมิตรที่ดีในอนาคต ตอนนี้เราจะต้องใส่ใจพวกนางให้มาก!’
การหลุดเข้าไปในความคิดเพียงชั่วครู่ เทพธิดาฮ่าวไม่ได้แสดงสีหน้าออกมาให้ผู้ใดได้เห็น นางตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “โอ้ ทั้งหมดที่พวกเราได้กระทำลงไปเมื่อครู่นี้ ข้ารู้สึกละอายใจอย่างมาก!”
นางใช้ประโยคสั้น ๆ เพื่อทำลายบรรยากาศที่แสนอึดอัดนี้ นี่แสดงให้เห็นถึงความเก่งกาจของนาง
จากนั้นนางจึงหันมากล่าวกับเจ้าอ้วนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “เจ้าสามารถสังหารตู๋เชียนเฉิงได้แม้อายุจะน้อยนัก อนาคตที่สดใสกำลังรอคอยเจ้าอยู่ภายภาคหน้า!”
“ท่านกล่าวเกินไปแล้ว มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ!” เจ้าอ้วนตอบกลับ
“แน่นอนว่ามันแค่บังเอิญ เจ้าเป็นเพียงคนที่สามารถฉกฉวยผลประโยชน์จากสถานการณ์เท่านั้น!” เหล่าหญิงสาวที่เป็นศิษย์กล่าวแทรกขึ้นมาอย่างล้อเลียนราวกับว่ามองไม่เห็นอาวุโสยืนที่อยู่ตรงนั้นด้วย
เทพธิดาฮ่าวทำเป็นมองไม่เห็นการกระทำที่หยาบคายของศิษย์ตนเอง พร้อมเผยยิ้มออกมาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านางจงใจให้ศิษย์ของนางแสดงกริยาเช่นนี้
เมื่อเผชิญกับการยั่วยุดังกล่าว เจ้าอ้วนไม่สนใจและไม่แยแสสิ่งใดทั้งสิ้น เขากรอกตาไปมาพร้อมกับแสดงท่าทีเมินเฉยอย่างชัดเจน เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ อีกฝ่ายคิดว่าเจ้าอ้วนกำลังหาเรื่องพวกนาง ดังนั้นนางจึงโกรธจัด พร้อมกระโดดออกมาและกล่าวว่า “ไขมันสารเลว อย่าคิดว่าเจ้านั้นเป็นคนโปรด หากเจ้ามีความสามารถจงออกมาสู้กับข้า ให้รู้กันว่าเจ้าเป็นคนมีความสามารถหรือมีแค่ความโชคดีเท่านั้น!”
“ไร้สาระ!” เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างเฉยชา
“อะไรกัน เจ้ากลัวงั้นหรือ?” อีกฝ่ายยั่วยุ
“แล้วข้าจะไม่กลัวได้อย่างไร!” เจ้าอ้วนเสแสร้งทำเป็นพ่ายแพ้และกล่าวว่า “ถ้าหากข้าแพ้ ข้าก็ต้องอับอายที่พ่ายแพ้ให้แก่สตรี ถ้าหากข้าชนะ ข้าจะถูกกล่าวหาว่ารังแกสตรี! แล้วข้าจะไปนำปัญหาเหล่านั้นมาใส่ตนเองด้วยเหตุใดกัน?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ผู้คนที่อยู่รอบข้างหัวเราะออกมา
เทพธิดาฮ่าวตกใจอย่างรุนแรงพร้อมกับคิดในใจ ‘ไขมันสารเลวผู้นี้รู้ได้อย่างไรว่าจะต้องถอยเมื่อใด อีกทั้งยังฉลาดมาก ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันผู้นี้จะแข็งข้อได้มากถึงเพียงนี้! ในอนาคตคงต้องให้ความสนกับมันมากกว่านี้’
เมื่อถูกคนรอบข้างหัวเราะ หญิงสาวผู้นั้นโกรธจัดพร้อมตะโกนออกมา “ไขมันสารเลว อย่างเจ้านั้นคือสุภาพบุรุษงั้นหรือ? เหตุใดจึงพูดจามากความเช่นนี้!”
ในเวลานั้น เจ้าอ้วนไม่คิดแม้แต่จะสนใจนางพร้อมกับหันหัวไปหาเทพธิดาฮ่าวอย่างตั้งใจ “อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้าของเราและมันจะดีที่สุดถ้าหากเราไม่ต่อสู้กับสำนักอื่น ๆ เพียงเพราะถูกหัวเราะเยาะ!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาหันหน้าไปมองผู้คนที่ยืนอยู่รอบ ๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่ามันไม่ฉลาดเอาเสียเลยถ้าหากจะต่อสู้กันในเวลานี้
อย่างไรก็ตาม เจ้าอ้วนได้ดึงความขื่นขมที่หอเฉวียนจี้มีต่อเขาออกมาเรียบร้อยแล้ว เทพธิดาฮ่าวเผยยิ้มออกมาพร้อมกล่าวว่า “ไม่สำคัญหรอก ไม่ต้องกังวลสิ่งใด ศิษย์พี่ฮัวอวิ๋นท่านก็คิดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”
“ฮ่าฮ่า แน่นอน!” นักบวชฮัวอวิ๋นหัวเราะออกมาอย่างชาญฉลาด “อย่างไรก็ตาม ยังพอมีเวลาก่อนที่เราจะเข้าสู่พื้นที่จำกัด ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรถ้าหากเด็ก ๆ จะสร้างความครึกครื้นเล็กน้อย!”
แน่นอนว่านักบวชฮัวอวิ๋นไม่อาจอดทนรอได้อีกต่อไป เขาเกลียดเจ้าไขมันก้อนนี้จนแทบจะตายตกไปทุกวัน ดังนั้นเขาจึงไม่เพียงแต่ไม่ปกป้อง เขายังผลักดันให้เจ้าอ้วนเข้าสู่สนามรบอีก ซึ่งนั่นทำให้เจ้าอ้วนโกรธจัดโดยสมบูรณ์ แต่อีกฝ่ายอาวุโสกว่า และเวลานี้ยังไม่ใช่ที่เจ้าอ้วนจะสามารถระบายความโกรธได้
เมื่อได้ยินนักบวชฮัวอวิ๋นตอบรับ เทพธิดาฮ่าวกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่าข้าจะรู้สึกดีมาก! เนื่องจากนักบวชฮัวอวิ๋นเห็นด้วยแล้ว สนุกกันได้เต็มที่!”
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หญิงสาวตอบกลับมาอย่างเร่าเริง “ฮ่าฮ่า ไขมันบัดซบ ลองดูว่าเช่นนี้เจ้าจะหนีไปทางไหน!”
เจ้าอ้วนกรอกตาไปมาพร้อมคิดกับตนเอง ‘แม่นกน้อยเอ๋ยการจัดการกับเจ้านั้นง่ายเสียยิ่งกว่ายกมือขึ้นเสียอีก ข้าต้องหนีอย่างนั้นหรือ? ในเมื่อเจ้าต้องการความตาย อย่าตำหนิข้าที่ต้องทำลายดอกไม้ที่สวยงามเช่นนี้! สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งอัคคีข้าปรับแต่งมาเนิ่นนานแต่ยังไม่มีโอกาสได้ใช้มันสักที! เจ้าจะต้องเสียสละเพื่อทดลองมันสักหน่อยแล้ว!’
เจ้าอ้วนก้าวเท้าเดินไปด้านหน้าพร้อมนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร พร้อมที่จะต่อสู้กับนางแล้ว แต่ในขณะนั้น เกิดเสียงหนึ่งดังขึ้น “ศิษย์น้องหญิงกลับมา ให้ข้าจัดการเอง!”
ในขณะที่เสียงนั้นดังขึ้น หญิงสาวผู้งดงามปรากฏขึ้นตรงหน้าของเจ้าอ้วนพร้อมมีรังสีของความแข็งแกร่งแผ่กระจ่ายออกมา
หญิงสาวโต้กลับทันที “ศิษย์พี่ เหตุใดท่านจึงต้องมาแย่งข้า? เขาไม่ใช่ศัตรูของท่าน!” จากนั้นหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็นกล่าวออกมา “เจ้าจะพ่ายแพ้!”
“เหอะ ข้าไม่เชื่อท่าน!” หญิงสาวตอบกลับมาอย่างขุ่นเคือง
แต่เทพธิดาฮ่าวกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว “ปิงเอ๋อ เจ้ากลับมาก่อนและปล่อยให้ศิษย์พี่ของเจ้าต่อสู้ ศิษย์น้องซ่งนั้นเป็นคนสำคัญของสำนักเสวียนเทียนและมันเหมาะสมแล้วที่จะให้ศิษย์พี่ของเจ้าต่อสู้กับเขาในครั้งนี้!”
เมื่อได้ยินอาจารย์ของตนกล่าวเช่นนั้น ปิงเอ๋อรีบถอยหลบไปอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่านางเคารพอาจารย์ของตนเองมากและเชื่อว่านางจะไม่โกหกต่อตนเอง ถ้าหากอาจารย์กล่าวว่านางจะไม่อาจเอาชนะได้ แน่นอนว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น ซึ่งนั่นทำให้นางเชื่อฟังอย่างไม่อาจช่วยได้
ในขณะนั้นเจ้าอ้วนกำลังมองหญิงสาวที่หนาวเย็นผู้นี้ จากนั้นเขากล่าวออกมาอย่างสุภาพ “ศิษย์น้องมีชื่อว่าซ่งจงแต่ว่าข้าจะเรียกศิษย์พี่ว่าอย่างไร?”
“เราทั้งคู่ต่างอยู่ในระดับเซียนเทียนขั้นสิบสามและความอาวุโสของเราควรเป็นไปตามอายุ ดังนั้นข้าควรจะเป็นศิษย์น้อง!” นางยิ้มให้กับเจ้าอ้วนพร้อมกับกล่าวออกมาด้วยเสียงไม่เป็นมิตร “ศิษย์น้องหานปิงเอ๋อ ทำความเคารพศิษย์พี่ซ่ง!”
“เจ้ากล่าวเกินไป!” เขาตอบอย่างสุภาพ และไม่กล้าที่จะดูหมิ่นสาวงามผู้นี้ “เป็นเกียรติของข้าอย่างยิ่งศิษย์น้องหาน!”
เมื่อทั้งคู่ลุกยืนขึ้น นักบวชฮัวอวิ๋นมองไปที่หานปิงเอ๋อด้วยความตกใจพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์น้องฮ่าว กลิ่นอายแห่งความหนาวเย็นเช่นนี้ที่เป็นเอกลักษณ์ อย่าบอกข้านะว่ามันคือสิ่งนั้น?”
“ฮ่าฮ่า ศิษย์พี่ฮัวอวิ๋นเป็นคนฉลาด ใช่แล้ว หานปิงเอ๋อเป็นผู้ครอบครองสมบัติของสำนัก ดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์เฉวียนจี้!” เทพธิดาฮ่าวกล่าวออกมาอย่างร่าเริง
ในช่วงเวลาที่เทพธิดาฮ่าวกล่าวออกมา เหล่าคนรอบข้างสูดหายใจเอาลมหนาวเย็นเข้าไปเต็มปอด เหตุผลง่ายนิดเดียว ดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์นั้นมีชื่อเสียงอย่างมาก มันเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดแห่งหอเฉวียนจี้
ว่ากันว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้ไม่ได้ถูกปรับแต่งโดยมนุษย์ มันเกิดขึ้นมาจากเทือกเขาใหญ่ นับล้านลี้ขึ้นไปทางเหนือ หลังจากที่มันได้กำเนิดขึ้นมาแล้ว มันฝึกฝนตนเองด้วยการดูดซับพลังงานจากธรรมชาติ ผ่านมานานนับหลายร้อยปี มันเข้าสู่ระดับเซียนเทียน มันถูกค้นพบโดยความบังเอิญจากผู้ฝึกตนระดับเฟิ่นเสินของหอเฉวียนจี้ หลังจากที่พวกเขาได้พยายามกันอย่างหนักจึงทำให้ดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์เฉวียนจี้มีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ว่ากันว่าหากมันอยู่ในมือของผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่ง มันสามารถแช่แข็งบริเวณโดยรอบได้ถึงห้าร้อยลี้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรืออสูรกาย ทั้งหมดจะหายไปทันที พลังของดาบนี้ทำให้เหล่าคนมากมายหวาดกลัว กล่าวได้ว่าดาบนี้เกิดมาเพื่อสังหารเท่านั้น แม้ว่ากระบี่เฟิ่งหมิงจะมีความเร็วที่เหนือชั้นแต่ก็ไม่อาจเทียบกับดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์เฉวียนจี้ได้
แม้ว่าดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์จะเคยอยู่ในสถานที่ลึกลับหลังจากเจ้าของเสียชีวิตไป จากนั้นมันไม่เคยปรากฏตัวให้ผู้ใดพบเห็นอีกเลยหลังจากผ่านมานานหลายทศวรรษ จนผู้คนต่างหลงลืมมันไปแล้ว
หญิงสาวผู้หนึ่งนามว่าหานปิงเอ๋อกลายเป็นเจ้าของดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ โดยนางต้องการต่อสู้กับเจ้าอ้วน
หลังจากที่ทุกคนรู้ว่าหานปิงเอ๋อครอบครองดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ ทุกคนถอนหายใจและคิดกับตนเอง ‘เด็กโง่ผู้นี้จะต้องตายอย่างแน่นอน!’
แม้ว่าเจ้าอ้วนจะรู้สึกกังวลอยู่บ้าง เขาทำได้เพียงกลืนน้ำลายพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์น้องหาน เราเสียเวลากันมามากแล้ว เราสามารถไปต่อสู้กันเวลาอื่นได้หรือไม่?” เห็นได้ชัดเจนว่าเจ้าอ้วนก็เกรงกลัวดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์นี้อยู่เช่นกัน