“ทำเช่นนั้นได้จริงๆ หรือ เสด็จแม่ อวี้หลัวช่าคือจอมเทวานะพ่ะย่ะค่ะ นางจะต้องฆ่าพวกเราแน่ๆ!”
ได้ยินเช่นนั้น หลิวกุ้ยเฟยถึงได้สติขึ้นมา
จริงสิ!
อวี้หลัวช่าคือจอมเทวา!
หากนางหาเรื่องจนอวี้หลัวช่าโมโหขึ้นมา แล้วฆ่าพวกเราทั้งหมด จะทำอย่างไรดี!
แล้วเช่นนั้นจะทำอย่างไรดี…
นาทีนั้นหลิวกุ้ยเฟยก็หมดปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไรดีเช่นเดียวกัน
นี่เป็นปัญหาหนักที่สุดที่นางเจอมานับตั้งแต่เข้าวัง
หลายปีที่ผ่านมานี้ นางใช้ความโปรดปรานของเชียนลั่วเฉิง จึงใช้อำนาจบาตรใหญ่อยู่ในวังหลวงแห่งนี้ ไม่เคยต้องพบกับคู่ต่อสู้มาก่อน
ถึงแม้ว่าหลิวกุ้ยเฟยมักจะท้าทายเย้ยหยันฉู่ฮองเฮาหรือแสดงความรักกับฮ่องเต้ต่อหน้าฉู่ฮองเฮาก็ตาม ทว่าฉู่ฮองเฮากลับมีสีหน้าเรียบเฉยไม่ทุกข์ร้อนใดๆ ราวกับไม่เห็นนางและฝ่าบาทอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ
สำหรับสนมและเจ้านายตำหนักอื่น ต่อให้งดงามเพียงใดก็ไม่มีนางไหนที่มีตำแหน่งสูงไปกว่านาง แม้มีบางคนที่ตำแหน่งใกล้เคียงกับนางก็ไม่ได้รับการโปรดปรานเช่นนาง มีจำนวนน้อยที่ไม่มีลูกอยู่ข้างกาย ส่วนคนที่มีลูกเป็นที่พึ่งนั้นเลี้ยงลูกมาได้จนโตสักหน่อยไม่กี่ปีก็ตาย…
จึงสามารถพูดได้ว่าเต็มปากว่า หลิวกุ้ยเฟยไม่เคยต้องพบเจอกับความยากลำบากจริงๆ มาก่อน
ในบางครั้งต่อให้นางเกิดอาการหึงหวงจนพลั้งมือทำหญิงสาวคนงามสักคนสองคนจนถึงแก่ความตาย เชียนลั่วเฉิงก็มักจะทำเป็นลืมตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่ง โดยที่ไม่เคยพูดอะไรสักคำ
วันเวลาผ่านไปก็กลายเป็นความเคยชิน ทำให้ไม่ว่าเป็นการต่อสู้หรือสติปัญญาของหลิวกุ้ยเฟยไม่เคยได้ใช้งานจึงไม่ได้พัฒนาเพิ่มขึ้นเลย ระบบความคิดของนางหยุดอยู่ที่บทเรียนวังหลวงขั้นพื้นฐานเพียงเท่านั้น
เพียงแค่เง้างอน ปาดน้ำตาสักหน่อย ก็ได้รับการโปรดโปรานจากเชียนลั่วเฉิง แล้วจะต้องการสติปัญญาไปทำไมกัน!
ดังนั้น เมื่อต้องมาเจอปัญหาใหญ่อย่างอวี้หลัวช่า หลิวกุ้ยเฟยถึงกับจนปัญญาอย่างสิ้นเชิง
แม้แต่เชียนเจิ้นหยางยังรู้ว่า อวี้หลัวช่าคือจอมเทวา สามารถฆ่าคนได้ แต่หลิวกุ้ยเฟยกลับยังคิดหาวิธีเล่นงานนางอยู่อีก
ทำเอาเชียนเจิ้นหยางถึงกับหมดคำพูด
เขาตระหนักรู้แล้วว่า หลิวกุ้ยเฟยไม่ทำตัวเป็นตัวถ่วงเขาในเวลาเช่นนี้ นับว่าบุญหนักหนาแล้ว!
แต่จะคาดหวังให้หลิวกุ้ยเฟยมาช่วยเหลือล่ะก็ มันเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!
ยังดีที่ สมองนางคิดได้เพียงเท่านี้ ซึ่งเชียนเจิ้นหยางก็เคยชินเสียแล้วและมิได้รังเกียจนางเพราะเหตุนี้แต่อย่างใด
“ทำร้ายอวี้หลัวช่าไม่ได้ แต่ทำร้ายเสนาบดีหวังได้นี่นา”
แววตาเชียนเจิ้นหยางฉายแววหมดหวัง ส่วนหลิวกุ้ยเฟยก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูกเข้าไปอีก
นับตั้งแต่วินาทีที่นางทรยศหักหลังเชียนลั่วเฉิง คนคนเดียวที่นางสามารถพึ่งพิงได้ก็มีเพียงเชียนเจิ้นหยาง! ขี่หลังเสือแล้ว ไม่มีทางให้หวนกลับ หากเชียนเจิ้นหยางไม่ต้องการนาง เท่ากับนางไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
เชียนเจิ้นหยางคือความหวังเพียงหนึ่งเดียวของนาง!
“เสนาบดีหวังคือหัวหน้าขุนนางฝ่ายบุ๋น เขาคอยสนับสนุนให้ทุกคนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเจ้า พวกเราก็โยนบาปเรื่องเชียนลั่วเฉิงให้กับเขา! ขอเพียงเราฆ่าเชียนลั่วเฉิงเสีย เหล่าขุนนางจะต้องเงียบปากลงอย่างแน่นอน ส่วนประชาชนภายนอกก็จะได้ไม่กล้าพูดจาด่าทออะไรเจ้าอีก เจ้าว่าความคิดนี้เป็นอย่างไร”
หลิวกุ้ยเฟยเหลือบมองเชียนเจิ้นหยางด้วยอาการตื่นตระหนก หน้าอกหน้าใจที่เต็มไม้เต็มมือขยับขึ้นลงอย่างรวดเร็วตามสภาพอารมณ์ที่แปรผันอย่างหนักหน่วง
“ความคิดนี้ ไม่เลวทีเดียว!”
เชียนเจิ้นหยางพยักหน้าเบาๆ กุมมือหลิวกุ้ยเฟย
สองสามวันมานี้ที่เขาไม่ยินยอมเชิญอวี้หลัวช่ามารักษาอาการให้กับเชียนลั่วเฉิง ที่ด้านนอกเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง
จนถึงขนาดที่ว่ามีชาวบ้านรวมตัวกันเพื่อตามหาเชียนเยี่ยเสวี่ย!
นี่พวกเขาต้องการให้คนที่ตายไปแล้วคลานขึ้นมาจากหลุมมาออกหน้าแทนเขาหรืออย่างไร!
ฝันเฟื่องเก่งจริงๆ!
เชียนเยี่ยเสวี่ยตายไปแล้ว!
ส่วนเขาก็กลับตัวไม่ได้อีกแล้วเช่นกัน!
เชียนเจิ้นหยางไม่เชื่อหรอกว่าอวี้หลัวช่าจะมีอิทธิพลกับคนของฉินจื้อมากขนาดนี้ได้ เรื่องนี้จะต้องมีคนปลุกปั่นอยู่เบื้องหลัง และคิดจะใช้โอกาสนี้เล่นงานเขา!
ซึ่งผู้ที่ออกหน้ามาเป็นคนแรกอย่างเสนาบดีหวัง จึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัยที่สุดของเชียนเจิ้นหยาง
เชียนเจิ้นหยางยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าข้อเสนอแนะของหลิวกุ้ยเฟยยอดเยี่ยมยิ่งนัก!
เชือดไก่ให้ลิงดู!
อย่างไรเสียเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่สนใจชื่อเสียงเกียรติยศที่เป็นสิ่งของนอกกายเหล่านั้นอีกต่อไป!
สิ่งเดียวที่เขาต้องการนั่นก็คือ นั่งบัลลังก์ฮ่องเต้นี้อย่างมั่นคง!
เมื่อเป็นฮ่องเต้ เขาจะทำอะไรก็ย่อมได้!
ไม่จำเป็นต้องยั้งมือ ไม่ต้องถูกขุนนางพวกนั้นข่มขู่!
“เสด็จแม่ ท่านคือนางฟ้าที่สวรรค์ประทานให้กับลูกโดยแท้!”
เชียนเจิ้นหยางพอดีใจขึ้นมา ก็กดหลิวกุ้ยเฟยลงบนเตียง เขาวนนิ้วไปมาที่บริเวณท้องน้อยนางกล่าวว่า
“ท่านมีลูกชายให้ข้าสักคนนะ!”
มีลูกชายให้สักคน…
หลิวกุ้ยเฟยใบหน้าแดงก่ำ ผิวพรรณที่ขาวราวหิมะของนางแดงระเรื่อราวท้องฟ้ายามอาทิตย์อัสดง มองดูแล้วน่าหลงใหลยิ่งนัก
“ตอนนั้นข้าดื่มหญ้าฝรั่นจนร่างกายได้รับความเสียหาย”
หลิวกุ้ยเฟยกัดริมฝีปาก รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
สตรีต้องมีลูกจึงจะมีที่พึ่งพา เป็นประสบการณ์ที่หลิวกุ้ยเฟยเรียนรู้หลังจากที่นางอยู่ในวังหลวงมาหลายปี
หากมิใช่นางมีเชียนเจิ้นหยางขึ้นมาละก็ เชียนลั่วเฉิงอาจจะไม่โปรดปรานนางนานมาจนถึงวันนี้ก็เป็นได้
ลูกคือเครื่องมือผูกมัดและสัญลักษณ์แห่งความรักที่สำคัญที่สุด!
ในอดีต นางใช้อาการเจ็บป่วยไม่สบายของเชียนเจิ้นหยางเป็นข้ออ้าง ดึงเอาเชียนลั่วเฉิงกลับมาจากตำหนักหญิงอื่นได้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
มาวันนี้ เพื่ออนาคตตนเอง หลิวกุ้ยเฟยเองก็อยากมีลูกสักคน
ตอนนี้นางก็อายุมากแล้ว ภายหน้าร่างกายก็ต้องร่วงโรย ซึ่งก็ไม่รู้แน่ว่าเชียนเจิ้นหยางจะยังดีกับนางเช่นนี้อยู่หรือไม่ มีลูกสักคนเป็นโซ่ทองคล้องใจเอาไว้ มันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย!
เพียงแต่ ความปรารถนานี้ไม่รู้ว่าจะสำเร็จได้หรือไม่!
“เสด็จแม่ ท่านบำรุงรักษาร่างกายมาตั้งหลายปี จะต้องสำเร็จแน่!”
“อีกอย่างข้าออกจะแข็งแรง เชียนลั่วเฉิงเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำ วางใจเถอะ ข้าจะทำให้ท่านตั้งครรภ์ให้ได้!”
เชียนเจิ้นหยางรู้ว่าหลิวกุ้ยเฟยกำลังกังวลเรื่องอะไร เขาจึงลงมือใช้พละกำลังทางร่างกายและการกระทำเป็นเครื่องพิสูจน์ตนเองทันที
ไม่นานเสียงหอบหายใจถี่ เสียงครางด้วยความสุขสมก็ดังออกมาจากในห้องไม่ขาดสาย
เชียนลั่วเฉิง เมียน้อยเจ้ากับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนกำลังทำเรื่องบัดสีกันอย่างหน้าไม่อาย ท่านรู้บ้างหรือไม่
อวี้เฟยเยียนมองดูละครที่กำลังแสดงอยู่เบื้องล่าง มือก็ควานหาผงยาสีชมพูอ่อนออกมา แล้วโปรยลงไปทันที
ในเมื่อชายโฉดหญิงชั่วไม่มีความละอาย นางก็จะช่วยพวกเขาสักครั้ง!
เสร็จแล้ว อวี้เฟยเยียนก็เดินอ้อยอิ่งมุ่งหน้าไปที่ตำหนักเชียนลั่วเฉิง
นางเห็นเชียนลั่วเฉิงที่นอนอยู่บนเตียง เพียงไม่กี่วันเขาก็ผอมแห้งจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก อวี้เฟยเยียนก็แทบอยากจะเสกกล้องถ่ายรูปออกมาถ่ายภาพนี้เก็บไว้ แล้วเอาไปให้เชียนเยี่ยเสวี่ยดูจริงๆ
ในเมื่อเชียนเจิ้นหยางตัดสินจะฆ่าคนแล้ว เช่นนั้นนางก็จะนั่งรอชมละครฉากเด็ดอยู่ที่นี่!
คิดได้ดังนั้นอวี้เฟยเยียนก็เดินเข้าไปหาเชียนลั่วเฉิงที่ข้างเตียง บีบปากเชียนลั่วเฉิงให้เปิดออกแล้วยัดยาเม็ดหนึ่งเข้าไปในปากของเขา
เจ้าเป็นใคร!
เมื่อเห็นคนชุดดำปิดหน้าปิดตา เชียนลั่วเฉิงก็ตกใจเป็นอย่างมาก
เชียนลั่วเฉิงคิดจะบ้วนยาเม็ดเมื่อครู่ออกมา ทว่ายานั้นกลับละลายหมดไปเสียแล้ว ไม่ต้องรอให้เขาเข้าใจเรื่องราว ยารสชาติหวานฝาดก็ไหลผ่านลำคอลงไปที่ท้องของเขาเสียแล้ว
“ขอให้ท่านโชคดี!”
กล่าวจบอวี้เฟยเยียนก็จากไป
เชียนลั่วเฉิงตั้งใจรับชมหน้าการแสดงอันน่ารังเกียจของลูกชายและเมียน้อยของท่านก็แล้วกัน!
เมื่อกลับถึงที่พัก ขณะที่อวี้เฟยเยียนถอดชุดดำออกเตรียมจะอาบน้ำเข้านอนนั่นเอง หนานกงจื่อหลิงก็เข้ามารบกวนอีกครั้ง
“พี่อวี้…”
“ท่านดูสิ นี่คือพี่ใหญ่ของข้า!”
หนานกงจื่อหลิงคิดอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็พบวิธีการที่จะทำให้อวี้เฟยเยียนรู้จักกับพี่ใหญ่ของนางออกมาได้ นั่นก็คือวาดภาพเหมือนของพี่ชายออกมา
อย่างไรเสียนางก็เป็นคุณหนูลูกผู้ดีคนหนึ่ง วิชาวาดภาพจะต้องได้ร่ำเรียนมาอยู่แล้ว
ดังนั้นภาพซย่าโหวฉิงเทียนที่หนานกงจื่อหลิงวาดออกมานั้น จึงมีส่วนคล้ายกับคลึงกับเขาอยู่ไม่น้อย
เมื่อเห็นว่าแม่นางน้อยนำเอาภาพเหมือนซย่าโหวฉิงเทียนออกมากางลงบนโต๊ะที่แผ่นๆ อวี้เฟยเยียนก็ถือโอกาสชื่นชมเป็นเพื่อนกับนางด้วยกันเสียเลย
“พี่อวี้ ถึงแม้ว่าพี่ชายข้าจะรูปร่างหน้าแตกต่างจากผู้อื่น แต่เขาก็เป็นคนดีคนหนึ่ง จริงๆ นะ ชีวิตข้าพี่ใหญ่ก็เป็นคนที่ช่วยเอาไว้ พี่ใหญ่จิตใจดีที่สุดเลย!”
ด้วยเกรงว่าอวี้เฟยเยียนจะรังเกียจพี่ใหญ่ของนางเพราะเขามีผมสีเงิน หนานกงจื่อหลิงจึงรีบกล่าวอธิบายทันที