SD:บทที่ 55  ผมแค่จะลองทำดู

ทุกสายตาหันไปมองที่ประตู ไม่มีใครคาดคิดว่าคนที่ตะโกนพูดออกมาคือคนบ้าที่อ่านหนังสืออย่างขะมักเขม้นก่อนหน้านี้

หลังจากที่เขาตะโกนเสียงดังว่าเขาจะเป็นคนรักษา กู่ เฉิงหยา เองเขาก็ไม่สนใจคนอื่นและเดินเข้าไปในห้อง

“ไอ้คนไร้มารยาทจะพูดกับใคร”

ปาง จือเสีย ได้ยินคำพูดของ ซู ฉิวไป่ ดังนั้นเขาจึงเดินไปขวางไม่ให้ ซู ฉิวไป่ เดินเข้าไปในห้อง  ซู ฉิวไป่ ที่เพิ่งจะจดจำการฝังเข็มทั้งหมดด้วยความยากลำบากเขากลับถูกปิดกั้นไม่ให้เข้าไปในห้อง ด้วยความกังวลว่าตัวเขาเองจะลืมสิ่งที่จดจำเอาไว้ ซู ฉิวไป่ จึงยกขาแล้วเตะไปที่ ปาง จือเสีย อย่างไม่ลังเล

“หลีกทาง!”

เพียงคำพูดนี้ร่างกายของ ปาง จือเสีย ก็กระเด็นลอยไปยังมุมหนึ่งอย่างรุนแรง

ไม่มีใครคาดคิดว่า ซู ฉิวไป่ จะทำเช่นนี้ อย่างไรก็ตามเนื่องจาก ปาง จือเสีย ได้รับบทเรียนไปก่อนหน้านี้ดังนั้นจึงไม่มีใครลุกขึ้นยืนขัดขวางอีก หมอคนอื่นๆแสดงออกถึงความอึดอัดในสายตาของพวกเขา

ใครจะบ้าออกไปให้ถูกเตะ!

“คุณซู…?”

กู่ เชียนซาน เป็นคนแรกที่เดินเข้าหา ซู ฉิวไป่  เพราะว่าเขาเป็นคนจากตระกูลกู่ ดังนั้นเขาจึงเหมาะสมที่สุดที่จะพูดกับ ซู ฉิวไป่ ในเวลานี้

“เร็วเข้า ผมรู้วิธีช่วยเธอแล้ว อย่าชักช้าอีกเลย!”

เมื่อเห็นว่าเป็น กู่ เชียนซาน ที่เดินเข้ามาคุย ซู ฉิวไป่ ก็รีบอธิบายทันที หลังจากนั้นก็เกิดเสียงถอนหายใจดังทั่วห้องโถง

เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!

แม้ว่าหมอคนอื่นจะมีความสุขเมื่อ ซู ฉิวไป่ เตะ ปาง จือเสีย  แต่ด้วยก่อนหน้านี้ ซู ฉิวไป่ สอบถามคำถามเกี่ยวกับจุดชีพจรทั้งหมดทำให้พวกเขารู้ว่า ซู ฉิวไป่ นั้นเป็นเพียงแค่คนธรรมดา คนที่ไม่เคยเรียนสาขาแพทย์มาก่อนแต่อ้างว่ารักษาได้จริงนั้นอาจทำให้ กู่ เฉิงหยา เจ็บปวดมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเมื่อ ซู ฉิวไป่ พูดจบหมอจำนวนมากลุกขึ้นยืนทันที

“คุณรู้วิธีที่จะช่วยชีวิตเธอได้ยังไง โปรดบอกความคิดของคุณมา”

“ใช่แล้วผมต้องการฟังในสิ่งที่คุณคิด”

“น้องชายคุณตรวจชีพจรเป็นหรือไม่?คุณมีความมั่นใจขนาดนี้คุณเคยรักษาคนอื่นแบบนี้มาก่อนหรือป่าว”

“—”

แม้แต่ กู่ เทียน ก็ไม่คาดหวังว่าทั้งห้องโถงจะกระตือรือร้นขนาดนี้ ตอนแรกมีเพียง ปาง จือเสีย เท่านั้นที่ต้องการจะขัดแย้งแต่ตอนนี้เขากลับอยู่ในความเงียบ ในความจริงแล้วเขาต้องการจะพูดอะไรสักคำแต่เขากำลังอยู่ในอาการจุกหลังจากที่ถูก ซู ฉิวไป่ เตะเขาเพียงได้แต่ขดตัวเป็นกุ้งด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

หลังจากพวกหมอพูดมากมาย ซู ฉิวไป่ ก็เข้าใจว่าคนเรานี้เพียงแค่สร้างความรำคาญให้กับเขา

คนพวกนี้บ้าหรือเปล่า พวกคุณไม่สามารถช่วยชีวิตเธอได้แต่กลับไม่อนุญาตให้ฉันช่วยชีวิตเธอ?

ซู ฉิวไป่ คิดอย่างนั้นและถอยหลังไป 2 ก้าวจากนั้นทำท่าเชื้อเชิญหมอด้านหน้าของเขาและพูดว่า

“หากคุณคิดว่าสามารถช่วยเหลือเธอได้ให้ก้าวออกมา ผมจะยื่นโอกาสนี้ให้กับคุณแทน!”

เมื่อ ซู ฉิวไป่ พูดดังนั้นหมอทุกคนที่พูดก่อนหน้านี้ปิดปากเงียบ แม้ว่าพวกเขาต้องการที่จะเข้าไปในห้องด้วยแต่ปัญหาก็คือเมื่อพวกเขาเข้าไปด้านในก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี

เมื่อมองเห็นว่าหมอทุกคนต่างปิดปาก  ซู ฉิวไป่ ก้าวไปด้านหน้าและพูดว่า

“พวกคุณทุกคนรู้แค่ว่าควรจะปฏิบัติตามกฎและข้อบังคับอย่างไร หากคุณมีเวลาลองทำความเข้าใจว่าทำไมทักษะของบรรพบุรุษของเราซึ่งหายไปแทนที่จะก้าวหน้ากลับกดข่มคนอื่นเพื่อไม่ให้เหนือตัวเอง”

คำพูดเหล่านี้เป็นคำที่ออกมาจากใจของ ซู ฉิวไป่

หากไม่ใช่เพื่อรักษาความลับทางการแพทย์ จะมีหมอผู้เก่งกาจอีกมากในวงการแพทย์จีนในช่วงเวลาหลายพันปีมานี้ ไม่มีใครรู้วิธีการรักษาความเจ็บป่วยของ กู่ เฉิงหยา  แต่ในหนังสือการแพทย์ของฮัวโต๋อธิบายไว้อย่างชัดเจนว่าให้ทำอย่างไร?

หากอาจารย์มู่หรงเป็นคนพูดเรื่องนี้ทั้งหมดหมอคนอื่นๆคงไม่ขัดแย้งอย่างแน่นอนแต่คนที่พูดกับเป็น ซู ฉิวไป่

จากนั้นภายในห้องนั่งเล่นก็เกิดระเบิดเสียงความวุ่นวายขึ้นทันที

“คุณปู่กู่ผมมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือคุณอย่างจริงใจ แต่ผมไม่สามารถอดทนกับคนโง่เขลาคนนี้ได้ ลาก่อน!”

“ใช่แล้วผมก็ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป ลาก่อน!”

…..

เมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้ กู่ เทียน เริ่มปวดหัวเช่นกันแต่ ซู ฉิวไป่ เพียงจ้องมองไปยังหมอเหล่านั้นด้วยความเย็นชา จริงๆแล้วเขาไม่ได้มั่นใจในการรักษา กู่ เฉิงหยา แต่เขาต้องการพูดอะไรสักอย่าง

“มาพนันกันไหมล่ะ…พวกคุณจะทำยังไงถ้าผมสามารถรักษาเธอได้สำเร็จ”

เสียงของ ซู ฉิวไป่ ไม่ดังมากนักแต่ทุกคนต่างได้ยิน สถานที่แห่งนี้กลับสู่ความเงียบอีกครั้ง

“เอาล่ะ!เนื่องจากคุณต้องการมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ ถ้าคุณประสบความสำเร็จพวกเราจะยอมรับว่าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการแพทย์เทียบเท่ากับอาจารย์มู่หรง!”

ไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดประโยคนี้แต่ทุกคนหันสายตาไปมองอาจารย์มู่หรงเป็นสายตาเดียวกัน จากนั้นอาจารย์มู่หรงจึงพูดว่า

“ถ้าหากน้องชายคนนี้สามารถรักษา กู่ เฉิงหยา ได้สถานะของเขาก็ควรไปตามที่ทุกคนยอมรับ”

ทุกคนเห็นด้วยกับคำพูดนี้

“แต่ถ้าคุณล้มเหลว…คุณต้องยอมรับความผิดพลาดทั้งหมดต่อหน้าทุกคนที่อยู่ที่นี่”

ซู ฉิวไป่ หัวเราะออกมาดังๆ

ฮึ!คนกลุ่มนี้คิดว่าฉันโง่จริงๆ!

ถ้าฉันประสบความสำเร็จพวกเขาก็ไม่มีอะไรจะเสีย แต่ถ้าหากฉันล้มเหลวพวกเขาทั้งหมดจะได้รับผลประโยชน์

บัดซบ…พวกเขาคิดว่าฉันปัญญาอ่อนหรือไง!

“ถ้าผมประสบความสำเร็จ…พวกคุณทุกคนจะติดหนี้บุญคุณผม และเมื่อผมต้องการความช่วยเหลือในอนาคตพวกคุณจะต้องให้ความร่วมมือ”

หมอทุกคนไม่ได้คัดค้านข้อเสนอของ ซู ฉิวไป่ สำหรับพวกเขาแล้ว ซู ฉิวไป่ จะต้องล้มเหลวอย่างแน่นอน แม้กระทั่งอาจารย์มู่หรงยังไม่สามารถทำได้ แล้วคนอย่าง ซู ฉิวไป่ จะสามารถรักษา กู่ เฉิงหยา ได้ยังไง

การเดิมพันของทั้งสองฝ่ายได้รับการตัดสินแล้ว  แต่ กู่ เทียน ค่อนข้างประมหม่า เขารู้สึกโมโหกับหมอเหล่านี้ที่ใช้ประโยชน์จากความเจ็บป่วยของ กู่ เฉิงหยา  พวกเขากำลังพูดถึงคนป่วยอย่างไม่แยแสซึ่งคนป่วยคนนั้นคือหลานสาวของเขา!

หากเปลี่ยนผู้ป่วยเป็นหลานสาวของพวกเขาฉันคงมีอารมณ์ที่จะวางเดิมพัน!

เมื่อเห็นว่า ซู ฉิวไป่ กำลังเดินเข้าไปในห้อง กู่ เทียน เดินเข้ามาหาเขาแล้วกระซิบถามว่า

“ คุณมั่นใจไหม?”

ซู ฉิวไป่ พูดออกมาว่า

“ไม่เลย”

คำพูดของเขาเกือบทำให้ปู่กู่ ล้มลง

ไม่มีความมั่นใจแต่กล้าที่จะคุยโม้!

อารมณ์ของเขาในตอนนี้แย่มาก เพียงประโยคคำพูดของ ซู ฉิวไป่ เกือบทำให้เขาต้องการเเตะ ซู ฉิวไป่ ออกจากบ้านของเขา

ซู ฉิวไป่ พูดว่า  ผมแค่รักษาม้าที่ตายแล้วให้เหมือนกลับมามีชีวิต (เป็นสำนวนที่หมายความว่ามันคือความพยายามครั้งสุดท้ายแม้รู้ว่าจะสิ้นหวัง)

เชี่ย! …แกสิม้าที่ตายแล้ว! ครอบครัวของแกสิม้าที่ตายแล้ว!

ก่อนที่ปู่กู่จะตะโกนออกมาดังๆ ซู ฉิวไป่ ก็ได้เดินเข้าไปในห้องและปิดประตูซะแล้ว

ภายในห้องโถงด้านนอกเงียบสงบอีกครั้งมีเพียง ปาง จือเสีย เท่านั้นที่ยังจับท้องของตัวเองด้วยความเจ็บปวดและไอออกมาเป็นบางครั้ง ในที่สุดมีเพียง กู่ จ้านชุน เท่านั้นที่สนใจและส่งคนมาดู ปาง จือเสีย

หลังจากที่ประตูปิดลง ซู ฉิวไป่ สูดหายใจลึกๆและสงบสติอารมณ์ภายในห้องทันทีแม้ว่าหนังสือการแพทย์ของฮัวโต๋จะชัดเจนมาก แต่ ซู ฉิวไป่ นั้นเป็นเพียงคนธรรมดาดังนั้นเขาจึงไม่สามารถรับประกันอะไรได้เลย เขาหันหน้าไปมองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียง ดวงตาของเธอปิดสนิทไปหน้าซีดเซียว แน่นอนว่าตอนนี้เธออยู่ในสถานะอันตราย

ซู ฉิวไป่ เดินไปที่เตียงอย่างช้าๆเขารู้สึกลังเลและหยิบหนังสือการแพทย์ออกมาอีกครั้ง เขารู้สึกเหมือนเขาลืมจุดชีพจรไปบางแห่ง เขาตื่นตระหนกและสับสนมากยิ่งขึ้น ในที่สุดเขาก็โยนหนังสือทางการแพทย์ลงกับโต๊ะอย่างผิดหวัง และออกไปเปิดประตูอีกครั้ง

“เอ่อ…คุณปู่คุณเข้ามาช่วยผม”

คนที่ยืนอยู่ด้านนอกในตอนแรกกำลังรอฟังผลการรักษาของ ซู ฉิวไป่  แต่ใครจะรู้ว่า ซู ฉิวไป่ เปิดประตูออกมาเพื่อพูดประโยคนี้..โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เขาเรียกว่าคุณปู่นั้นหมายถึงอาจารย์มู่หรง

หลายคนต่างสับสนกับสถานการณ์นี้แม้แต่อาจารย์มู่หรงเองก็ตกตะลึง เขาชี้เป็นที่ตัวเองและถามว่า

“คุณกำลังพูดกับผมอย่างนั้นหรอ?”

“ใช่แล้วคุณนั่นแหละ” ซู ฉิวไป่ ตอบ

อาจารย์มู่หรงเป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียงแทนที่เขาจะรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดของ ซู ฉิวไป่ แต่เขากลับคิดว่าชายหนุ่มคนนี้น่าสนใจมาก  ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไรมากและติดตาม ซู ฉิวไป่ เข้าไปในห้อง

หมอคนอื่นคิดว่าเรื่องนี้มันไม่ยุติธรรมเพราะการเดิมพันของพวกเขา หากมีอาจารย์มู่หรงชายหนุ่มคนนี้จะต้องรักษา กู่ เฉิงหยา ได้อย่างแน่นอน

ในขณะที่ชายทั้งสองคนเข้าไปในห้องสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการฝังเข็มตามตำแหน่งอย่างถูกต้อง  เหตุผลที่ ซู ฉิวไป่ ขอให้อาจารย์มู่หรงเข้ามาด้วยนั้นเพราะเขาต้องการรู้จุดฝังเข็มที่แน่นอนจากนั้นเขาจะควบคุมการฝังเข็มโดยใช้ทักษะสังเกตพลังฉีของเขา

อาจารย์มู่หรงไม่ได้ปฏิเสธ เขาหยิบเข็มทองคำจาก ซู ฉิวไป่ แล้วสอดเข้าไปในจุดฝังเข็มอย่างแม่นยำ

ในที่สุดเข็มทั้งหมดก็ถูกแทรกเข้าไปในจุดชีพจรที่จำเป็นตามหนังสือทางการแพทย์ อาจารย์มู่หรงนั่งอยู่ข้าง ซู ฉิวไป่ ในขณะเดียวกัน ซู ฉิวไป่ ใช้ทักษะสังเกตพลังฉี ของเขาเพื่อมองภาพที่แตกต่างในร่างกายของ กู่ เฉิงหยา  มันทำให้เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าทำไม กู่ เฉิงหยา ถึงป่วย

—————————————————————-