ตอนที่ 920 - หิ่งห้อยสะท้อนโลก

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.
  ระหว่างที่อยู่ในป่าปีศาจร้างจุดกำเนิดพลังของซือหยูนั้นใกล้ถึงจุดสูงสุด แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังเติบไม่เต็ม
  การเพิ่มพลังดำเนินต่อไปหนึ่งวันเต็มเช้าวันต่อมา เมื่อฤทธิ์ของโอสถเริ่มหมดลง พลังชีวิตในจุดกำเนิดพลังส่วนในของซือหยูก็ล้นออกมาแล้ว!
  ความเจ็บปวดรุนแรงปะทุจากท้องเขารู้สึกราวกับว่าจุดกำเนิดพลังกำลังถูกฉีกกระชากจากภายใน ไม่นานหลังจากนั้นก็มีเสียงคำรามดังขึ้น จุดกำเนิดพลังของเขาขาดสะบั้นทั้งหมด
  พร้อมกันนั้นมันยังขยายขนาดอย่างต่อเนื่องจนใหญ่กว่าเดิมเป็นสองเท่า! พลังชีวิตปริมาณไร้สิ้นสุดได้อัดแน่นกลายเป็นวารีเกิดเป็นสายธารพลังกว้างใหญ่ สายธารพลังชีวิตนี้ใหญ่โตจนภูติระดับเก้าเทียบไม่ติด
  เมื่อเหล่าภูติกลายเป็นจ้าวเทวะจุดกำเนิดพลังของพวกเขาเหล่านั้นจะกลายเป็นแก้วกำเนิดที่จ่ายพลังชีวิต ยิ่งจุดกำเนิดพลังใหญ่เท่าใด พลังชีวิตก็จะยิ่งมีมากเท่านั้น ดังนั้นแก้วกำเนิดก็จะแข็งแกร่งขึ้นด้วย
  ในระดับของจ้าวเทวะผู้ที่มีแก้วกำเนิดแข็งแกร่งกว่าจะมีพลังชีวิตที่มากกว่า เมื่อใช้วิชาเดียวกันก็ย่อมแสดงพลังได้มากกว่า
  ด้วยเหตุนี้ภูติระดับเก้าหลายคนจึงยังคงอยู่ในระดับนั้นและหาทางชำระล้างพลังเพื่อเตรียมการสร้างแก้วกำเนิดที่แข็งแกร่งกว่าเดิม ส่วนซือหยูที่เป็นภูติระดับหกนั้นมีจุดกำเนิดพลังที่ภูติระดับเก้าทั่วไปเทียบไม่ติด ถ้าหากเขาได้กลายเป็นภูติระดับเก้าก็คงจะจินตนาการไม่ออกว่าจุดกำเนิดพลังของเขาจะกว้างใหญ่เพียงใด!
  เพราะถ้าหากมันเติบโตไปเรื่อยๆจุดกำเนิดพลังของเขาจะขยายไปหลายเท่า ถ้าหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ตอนที่ซือหยูกลายเป็นภูติระดับเก้า จุดกำเนิดพลังของเขาจะเทียบเท่ากับภูติระดับเก้าหกคนรวมกัน!
  จากนั้นถ้าหากเขากลายเป็นจ้าวเทวะด้วยขนาดสายธารพลังขนาดนั้นแก้วกำเนิดของเขาจะแข็งแกร่งจนถึงขั้นที่ผิดธรรมชาติ! ด้วยการทะลวงพลังครั้งนี้ ดวงวิญญาณซือหยูก็ได้แข็งแกร่งถึงภูติระดับเจ็ด!
  กำลังกายของเขาเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงขณะนี้ หากใช้กับกายามังกร ความแข็งแกร่งของเขาจะเทียบได้กับจ้าวเทวะระดับหนึ่ง
  นอกจากนี้ซือหยูยังพบชั้นเนื้อเยื่อบางๆที่มีสามสีในร่างกาย มันเป็นชั้นบางๆระหว่างผิว เนื้อ และโลหิต มันคล้ายกับชั้นป้องกัน มันคตือเกราะที่จะปกป้องสิ่งแปลกปลอมที่จะทำอันตรายต่อร่างกายจากภายนอก
  นี่คงจะเป็นฤทธิ์ต้านพิษของโอสถไร้จันทร์สามวิถี…ซือหยูคิด
  ด้วยทรายดาราทางช้างเผือกซือหยูไม่จำเป็นต้องกลัวยาพิษ แต่สิ่งที่เขากังวลเพียงอย่างเดียวก็คือพิษที่แข็งแกร่งเกินไปจนใช้ทรายดาราทางช้างเผือกไม่ทัน
  การทำงานของชั้นต้านพิษนี้มาชดเชยข้อด้อยของทรายดาราทางช้างเผือกได้พอดีหลังจากบ่มเพาะจบ ซือหยูเข้าไปยังมุกวิญญาณเก้าหยก เป็นเวลาสองเดือนแล้วหลังจากที่เขาไม่ได้เข้าไป เขาไม่รู้เลยว่ากิเลนน้อยหลอมไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ถึงขั้นใดแล้ว
  ในตอนนั้นในมุกวิญญาณใต้ต้นไม้ใหญ่ กิเลนน้อยกำลังนั่งไขว้ขวาราวกับมนุษย์ มันพ่นไฟที่ร้อนที่สุดและน่ากลัวอย่างมากออกมาไม่หยุด
  เหนือหัวของมันมีลูกไฟสีม่วงหนาแน่นที่มีขนาดเท่าหยดน้ำหลายลูกมีหยดสีเงินที่หลอมละลายอยู่ในลูกไฟสีม่วงเหล่านี้
  ในขณะนี้ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ที่อยู่หน้ากิเลนน้อยถูกหลอมจนเหลือแค่ก้านเดียว นั่นหมายความว่ามันหลอมส่วนอื่นหมดแล้ว
  หลังจากพ่นไฟออกมาล้อมหยดสีเงินหยดสุดท้ายกิเลนน้อยก็หยิบก้านไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ปักลงดินเพาะบ่มชั้นสูงเพื่อให้มันเติบโตเป็นต้นใหม่ต่อไป!
  ฟึ่บ!
  กิเลนน้อยรีบปรี่เข้ามากระโดดขึ้นไหล่ซือหยูขาหน้าทั้งสองข้างขยับไปมาอย่างรวดเร็ว ใบหน้ามันดูโศกเศร้า
  “ขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องเหนื่อยอีกเดี๋ยวข้าจะปล่อยเจ้าไปเดินเล่น”
  ซือหยูปลอบกิเลนน้อย
  เขารู้ว่ากิเลนน้อยคิดอะไรมันอยากจะขอโอกาสไปเดินเตร่ข้างนอกบ้าง
  ดังนั้นซือหยูจึงปลอบมันทันทีที่เขาออกจากตำหนัก มันจะได้ออกไปข้างนอกดังปรารถนา กิเลนน้อยกระพริบตาอันงดงามและกระโดดไปมาอย่างตื่นเต้น
  “ถ้าหลอมเสร็จแล้วจะต้องใช้เวลาเท่าใดหรือกว่าจะขึ้นรูปกระบี่ได้?”
  ซือหยูถาม
  กิเลนน้อยนับด้วยเท้าและพูด
  “สิบวันจะได้โครงกระบี่ยี่สิบวันจะได้ตัวกระบี่ ในสองเดือนเราอาจจะตีได้สามเล่ม แต่หลังจากตีเล่มที่สามเสร็จ ข้าอาจจะตีเล่มต่อไปไม่ได้”
  คำพูดของกิเลนน้อยนั้นคล่องแคล่วขึ้นโดยที่มันไม่รู้ตัว
  “โอ้?ตีเล่มที่สามแล้วเจ้าจะเป็นอะไรหรือ? ทำไมเจ้าถึงตีมากกว่านั้นไม่ได้ล่ะ?”
  ซือหยูเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อถาม
  กิเลนน้อยมองไปยังท้องนภาและใช้ขาหน้าชี้หัวตัวเอง
  “ช่วงนี้เสียงในหัวกำลังบอกข้าว่าข้ากำลังจะต้องหลับใหลไปในสองเดือน เสียงนั้นต้องการจะสอนอะไรบางอย่างกับข้า ข้าไม่อยากรู้ แต่เสียงนั่นก็ไม่สนใจข้า!”
  ซือหยูคิดเสียงงั้นรึ? เจ้าของเสียงคือใครกัน? ถ้าหากกิเลนน้อยเชี่ยวชาญการปรุงยาและตีอาวุธได้ ซือหยูก็คิดว่ามันน่าจะเกี่ยวกับเสียงในหัวของมัน
  “ก็ดี…อีกสองเดือนเจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องตีกระบี่ จงตั้งใจเรียนรู้จากเสียงในหัวของเจ้าไปก่อน…”
  ซือหยูบอก
  เพราะเรื่องนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับอนาคตของกิเลนน้อยซือหยูจะไม่ปล่อยให้มันเสียสละอนาคตเพียงเพื่อตีกระบี่ให้เขา! และกระบี่สามเล่มก็ยังคงพอใช้ได้ มันมากพอแล้วที่จะใช้ค่ายกลกระบี่เล็กๆได้! เพียงแค่คิดซือหยูก็ตื่นเต้นแล้ว!
  จากนั้นซือหยูจึงไปหาจางตี๋เก้อนางกำลังบ่มเพาะตราภูติผู้ส่งสารสองเหรียญที่ได้มาจากเขาวิญญาณจรัส นางกำลังศึกษาตราหนึ่งที่เป็นของจ้าวเทวะชั้นต้น แต่ตราอีกชิ้นนั้นยังคงเป็นตราที่นางไม่รู้จัก
  เพราะตราภูติผู้ส่งสารนี้ถูกทิ้งไว้โดยภูติผีอสูรเนรมิตรการเรียนรู้ย่อมซับซ้อน และนางเพียงคนเดียวก็มิอาจไปต่อได้
  ซือหยูไม่คิดจะรบกวนนางเขาจึงออกจากมุกวิญญาณเก้าหยกเงียบๆ หลังจากกลับสู่ร่างกาย เขาก็เริ่มทำสมาธิปรับลมหายใจและปรับพื้นฐานพลังของภูติระดับหกที่เพิ่งได้มา
  เวลาผ่านไปในพริบตากว่าเขาจะรู้ตัวก็ถึงเช้าวันถัดไปแล้ว ในตอนนั้นก็มีพลังสองตำแหน่งปรากฏที่สวน
  เมื่อสัมผัสพลังได้ซือหยูลืมตาออกไปในสวน ปิงหวูชิงกับกงซุนหวูซื่อยืนข้างกันในสวน พวกนางกำลังรอคอยให้ซือหยูตื่นขึ้นมาเงียบๆ พวกนางใบหน้าเย็นชาราวกับมีเกราะกำบังระหว่างซือหยู
  “เจ้าก็ตามข้าไปด้วยรึ?”.novel-lucky.
  ซือหยูถามเมื่อมองกงซุนหวูซื่อ
  กงซุนหวูซื่อชูคอถอนหายใจแรง
  “ข้าตามพี่หวูชิงมาที่นี่ไม่ใช่เจ้า”
  ซือหยูพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีกจากนั้นเขาจึงเดินลงจากเขาอสูร
  เมื่อมาถึงตีนเขาอสูรซือหยูก็หันไปมองสถานที่ที่เขาอาศัยมาครึ่งปี ความเศร้าหมองลอยล่องในใจ
  เมื่อปิงหวูชิงสัมผัสความเศร้านี้ได้นางก็ครุ่นคิด กลิ่นหอมหนึ่งได้เข้ามาในยามนั้นเอง
  ใต้ต้นไม้มีร่างสมส่วนอันสง่างามอยู่ใต้หมอกยามเช้า ท่ามกลางหมอกนั้นดูเหมือนกับมีสตรีลอยมากับหมอก
  “เจ้าจะไปทั้งทีใยไม่มาบอกลาพี่สาวสักหน่อยเล่า?”
  จ้าวหอผู้ยั่วยวนพูดแหย่และเดินช้าๆไปหาซือหยู
  เมื่อนางเข้าใกล้มากพอซือหยูได้เห็นหยาดน้ำค้างคล้อยลงจากขนตายาวของนาง ผ้าคลุมไหล่สีครามของนางเองก็เปียกชุ่มน้ำค้าง ดูเหมือนว่านางจะรอเขามานานแล้ว
  “จ้าวหอ…”
  ซือหยูตกใจเขาพูดด้วยความรู้สึกผิด
  “ข้าต้องรีบไปจนมิอาจบอกลาก่อนได้ขอโทษด้วย…”
  นางกดปลายดัชนีที่ริมฝีปากเขา
  “ไม่ต้องกังวลแต่ข้าอยากจะขออะไรเจ้าสักอย่าง…”
  ขณะที่พูดจ้าวหอก็เรียกแหวนมิติออกมาส่งให้ซือหยู
  “ตอนที่เจ้าออกไปทำภารกิจถ้าหากมีเวลา โปรดช่วงข้าส่งสิ่งนี้ด้วย”
  ซือหยูไม่ลังเลก่อนจะตอบรับ
  “ได้สิ!เจ้าอยากจะให้ข้าไปส่งที่ไหน?”
  “มีหยกสื่อสารอยู่ในแหวนมิติเจ้าจะรู้หลังจากออกจากตำหนัก มีคำชี้แนะอยู่ในนั้น…”
  นางอธิบาย
  ซือหยูเหลือบมองแหวนมิติและเลิกคิ้วเล็กน้อย
  “แก้วสี่ล้านดวง?เยอะพอดูเลยนี่! เจ้าจะเอาไปให้ใครกัน?”
  จ้าวหอผู้ยั่วยวนถอนหายใจเบาๆ
  “เจ้าเห็นแล้วโลภขึ้นมาหรือ?ข้าบอกไว้ก่อนนะ…ถ้าหากหายไปแม้แต่ดวงเดียวล่ะก็…ฮื่ม!”
  ซือหยูกลอกตาเพราะเขายังมีแก้วอีกเจ็ดสิบล้านดวงในแหวนมิติ ดังนั้นแก้วแค่สี่ล้านดวงจึงไม่ได้ล่อตาล่อใจเขาเลย!
  “เจ้าคิดว่าทุกคนรักเงินตราเท่าชีวิตอย่างเจ้าหรือ?”
  ซือหยูโบกมือด้วยความรำคาญใจและหันหลังกลับ
  ปิงหวูชิงกับกงซุนหวูซื่อมองจ้าวหออย่างแปลกใจหลังก้าวออกจากตำหนัก ซือหยูก็หันกลับไปมอง
  ท่ามกลางหมอกร่างอันงดงามยังคงยืนอย่างสงบ ซือหยูรู้ว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขากับนางได้เจอกัน ซือหยูถอนหายใจและก้าวออกจากตำหนักมุ่งตรงไปยังป่ารก
  ครึ่งวันต่อมาทั้งสามมาถึงดินแดนรกร้าง
  “หลังผ่านที่นี่ไปจะถือว่าพวกเขาพ้นเขตตำหนักโลหิตแล้วถึงเวลาที่จะได้ดูเบาะแสที่อาจารย์พรายให้เรามาแล้ว”
  ซือหยูหยิบจดหมายขึ้นมาทันที
  เมื่อทั้งสามร่อนลงปิงหวูชิงนั้นดูมิได้กังวลหรือรีบร้อนที่จะถามเรื่องในจดหมาย นางกล่าว
  “ก่อนจะอ่านจดหมายทำไมเจ้าไม่ดูว่าคนรักของเจ้าอยากจะส่งแก้วให้ใครก่อนเล่า?”
  ซือหยูคิดถึงมันและเห็นด้วยถ้าหากมีโอกาส เขาอาจจะได้ส่งแก้วก่อนแล้วค่อยตั้งใจในการสังหารมั่วหยาง!
  ซือหยูหยิบเอาแหวนมิติออกมาและไม่สนใจแก้วจำนวนมหาศาลในนั้นเขาเรียกหยกสื่อสารออกมาแนบหู ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงอันอ่อนโยนเบาๆ
  เสียงนั้นกล่าว
  “น้องหยูเซี่ยนจงดูแลตัวเองให้ดี ชีวิตยอดฝีมือเป็นดั่งหิ่งห้อยสะท้อนโลก แสงหิ่งห้อยหายไปในพริบตา ข้าหวังว่าในชีวิตนี้เจ้าจะกลับมาเยี่ยมข้าสักครั้ง จะอย่างไร ชีวิตนี้ข้าไม่มีสหายมากนัก แต่เจ้าคือหนึ่งในนั้น แก้วเหล่านี้ก็เพื่อเจ้า ถนอมตัวด้วย”
  ตู้ม!
  เสียงคำรามดังก้องในหัวหัวใจของเขาถูกบางอย่างทุบตีอย่างป่าเถื่อน เขารู้สึกเจ็บปวดและตกใจ!
  หัวใจที่ชินชามานานกลับรู้สึกว่าถูกบางคนเปิดออกความอบอุ่นไร้สิ้นสุดหลั่งใหลสู้หัวใจจนทำให้เขาเหม่อลอย
  นางเดาได้ว่าซือหยูจะไม่กลับไปหลังจากครั้งนี้ดังนั้นนางจึงมารอเขาที่ตีนเขาอสูรตั้งแต่เที่ยงคืนเพียงเพื่อส่งเขา
  น้อยนักที่ชีวิตของยอดฝีมือจะดำเนินไปอย่างเป็นสุขถึงแม้ว่าอายุขัยจะดูยาวนาน มันก็ลอยล่องไปชั่วพริบตาระหว่างการสะสมพลัง ไม่มีใครรู้ว่าความตายจะมาเยือนเมื่อใด
  บางทียอดฝีมือาจตายระหว่างที่บ่มเพาะพลังอยู่หรือ…บางทีอาจตายด้วยน้ำมือศัตรู ร่างกายอาจจมลงสู่กองโลหิต ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้
  หลังจากอำลาครั้งนี้ครั้งต่อไปที่ซือหยูได้เจอจ้าวหอก็อาจจะเป็นที่หน้าหลุมศพอันเปลี่ยวเหงาของนาง เมื่อคิดเช่นนี้ ความโศกเศร้าอันมิอาจระบุนามก็เอ่อล้นในใจของเขา
  “เสวี่ยเหลียน…”
  ซือหยูพูดเบาๆเขาพูดชื่อจริงของนางเป็นครั้งแรก
  ปิงหวูชิงกระชับกระบี่ในมือและพูด
  “หลายวันก่อนนางขายวารีผงกลั่นดวงใจสิบขวดโดยต้องการแก้วพลังกลับมาเท่านั้น ต่อมานางก็ขายคะแนนสามแสนคะแนนทั้งหมดที่นางมีเพื่อแลกกับแก้ว”
  นางหยุดพักเมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อวันก่อนและพูดต่อ
  “ลองคิดย้อนดูแก้วทั้งหมดที่นางได้คงจะอยู่ในนั้น ข้าไม่รู้เลยว่านางมีความสัมพันธ์ตงฉินอ่อนโยนกับเจ้าด้วย”
  ในตอนเช้าเมื่อปิงหวูชิงเห็นจ้าวหอเพลิงคลั่งให้แก้วกับซือหยูในยามลาจาก นางก็รู้สึกแปลก นั่นก็เพราะว่านางเป็นคนที่ซื้อสามแสนคะแนนจากเสวี่ยเหลียนมา
  อะไรนะ?ซือหยูรู้สึกถึงความตกตะลึงอันลึกซึ้งที่กระแทกกระทั้นในหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า…นางถึงกับขายคะแนนของตัวเอง? ทั้งสามแสนคะแนนนั่นน่ะหรือ?
  ด้วยการได้รู้จักนางมาระยะหนึ่งซือหยูรู้สถานการณ์ของเสวี่ยเหลียนมาบ้าง นางต้องเจอกับความยากลำบากทั้งตำหนักนอกใน วิธีหาคะแนนเดียวที่นางมีก็คือการทำงานอันต้อยต่ำอย่างเจ็บปวด
  ซือหยูคิด…ใช่แล้ว…สามแสนคะแนนจะต้องเป็นคะแนนที่นางเก็บมาหลายปี!
  สำหรับสตรีที่รักเงินตราสำคัญพอๆกับชีวิตเช่นนางการให้ทั้งหมดกับเขาทำให้ซือหยูนั้นได้สัมผัสจิตใจของเขาอย่างลึกล้ำ ความรู้สึกที่มิอาจเอ่ยได้ก่อเป็นคลื่นในใจซือหยู
  จากนั้นซือหยูที่ถือแหวนในมือพูดเบาๆ
  “เจ้าของคนรอที่นี่ข้าจะกลับไปสักเดี๋ยว!”