ตอนที่ 921 - อสูรจันทร์ม่วง

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.
  ซือหยูไม่รอช้าเขาทะลวงขอบนภาปล่อยตัวหูหวังกุย จากนั้นจึงขี่หลังจ้าวเทวะระดับห้าไป
  ครึ่งชั่วยามต่อมาในตำหนัก ที่เรือนของจ้าวหอเพลิงคลั่ง…
  มันเงียบสนิทแม้แต่ห้องที่เสวี่ยเหลียนฝึกฝนก็ว่างเปล่า ดูเหมือนว่านางคงจะถูกบางคนพาตัวไปแล้ว
  “นางอยู่ไหนกัน?”
  ซือหยูถามข้ารับใช้ของนาง
  ข้ารับใช้มองเขาอย่างแปลกใจ
  “เอ๋?ข้าคิดว่าได้ยินนางพูดว่าออกไปทำภารกิจกับท่านนะ! ท่านยังไม่พบนางหรือ?”
  อะไรนะ?ซือหยูตัวแข็งทื่อ เขารีบไปที่หอภารกิจเพื่อตรวจดูภารกิจที่ถูกรับ และก็เป็นอย่างที่เขาคิด ซือหยูเห็นชื่อนาง…เสวี่ยเหลียน!
  ภารกิจนั้นเกี่ยวข้องกับการเดินทางไปที่ดินแดนมีดสวรรค์เพื่อแอบหาข้อมูลสำคัญจากสายลับที่ตำหนักโลหิตส่งไปยังดินแดนมีดสวรรค์นางออกจากตำหนักไปเพื่อทำภารกิจที่อันตรายอย่างมาก!
  ดินแดนพรสวรรค์กับดินแดนมีดสวรรค์นั้นมีสายลับที่ซ่อนตัวอยู่ในดินแดนของกันและกันดังนั้นพวกเขาจึงมักจะต้องมีการสืบสวนสอบสวนเพื่อกำจัดสายลับเหล่านั้นออกไป เช่นเดียวกับการลงโทษสายลับเหล่านั้น หากมีใครถูกเจอตัว คนผู้นั้นก็ย่อมไร้โอกาสมีชีวิตรอด!
  ดังนั้นภารกิจประเภทนี้จึงนับว่าเป็นภารกิจสำคัญและมีคนรับภารกิจไม่ถึงสามในสิบที่มีชีวิตรอดกลับมา เมื่อมองโอกาสอันน่ากลัวก็ทำให้ซือหยูคิด…เหตุใดนางถึงต้องเสี่ยงเช่นนี้กัน?
  จากนั้นซือหยูจึงไปดูรางวัลของภารกิจที่มีค่าสามแสนคะแนนซือหยูเข้าใจแล้ว แต่หัวใจยังคงเจ็บปวด
  เพราะนางแลกคะแนนทั้งหมดมาเป็นแก้วให้ซือหยูและตอนนี้นางกำลังเสี่ยงตัวเองเพื่อให้ได้คะแนนกลับมาจากที่เสียไป
  ซือหยูคิดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง…ข้ายังควรออกจากตำหนักอยู่ไหม?
  บางทีอาจจะเป็นอย่างที่นางพูด…ชีวิตของยอดฝีมือเป็นเพียงแสงหิ่งห้อยสะท้อนมายังโลกแสงนั้นจางหายในพริบตาเดียว ครั้งต่อไปที่ซือหยูกลับมา เขาอาจจะได้แต่มองหลุมศพอันเปลี่ยวเหงาของนาง!
  “สบายใจได้นางเคยทำภารกิจแบบนี้มามากแล้ว นางคือเจ้าหน้าที่ที่ฉลาดที่สุดในตำหนักโลหิต นางจะไม่เป็นอะไร”
  เสียงดังมาจากเหนือซือหยูมันเป็นเสียงของเจ้าตำหนักนอก!
  ซือหยูคิดขึ้นมาทันที…เขาเห็นมากเท่าใดกันแล้วเขารู้อะไรบ้าง?
  เมื่อซือหยูเงยหน้ามองก็พบแต่เพียงเสียงแต่ไร้เงาผู้พูดหลังจากเงียบไปนาน ซือหยูเดินออกจากตำหนักเงียบๆ ตลอดทาง เขาคิดตัดสินใจอย่างเคร่งเครียด…
  ไม่มีทางอื่นนอกจากหนีไปอีกแล้วหรือ?ซือหยูกำหมัด ความชิงชังก่อเกิดภายใน
  ตั้งแต่ที่เขามาถึงจิวโจวองครักษ์แสงกระจ่างได้ไล่ล่าเขามาติดๆ เขารอดพ้นความตายได้หวุดหวิดมาหลายครั้ง และสุดท้ายเขาก็ได้แต่หนีดั่งสุนัขไร้บ้าน
  …ทางเดียวของข้ามีแค่การหนีอย่างนั้นหรือ?
  เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ความเยือกเย็นอันคมกริบก็ได้ก่อตัวในแววตา เขาตั้งมั่นในใจ…การหนีไม่ใช่ทางแก้อีกแล้ว!
  ครึ่งชั่วยามต่อมา…
  ซือหยูกลับไปยังแดนรกร้างเพื่อเจอกับปิงหวูชิงและกงซุนหวูซื่ออีกครั้งจากนั้นเขาก็มองไปยังแดนห่างไกล เขาพูด
  “ไปเร็ว!พวกเราต้องรีบแล้ว!”
  ปิงหวูชิงรู้สึกแปลกเมื่อจ้องมองแผ่นหลังซือหยูบางอย่างได้เปลี่ยนแปลงซือหยูไป
  ไม่นานหลังจากพวกเขาไปแสงสีม่วงก็ได้แล่นผ่านขอบนภาด้านบน ที่หน้าตำหนักโลหิต ในป่าขังภูติ ลำแสงสีทองห้าสายพุ่งผ่านลงสู่ป่า
  ห้าคนเปล่งแสงสีทองปรากฏตัวพวกเขามีมงกุฎสุริยันจันทราบนศีรษะ มงกุฎเหล่านี้มอบบรรยากาศที่ทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตสั่นผวา
  “ตรงนี้แหละ!สัมผัสของข้าไม่ผิดแน่”
  “มันซ่อนอยู่ในตำหนักโลหิตจริงๆ”
  เขาบ่มเพาะหัวใจวิบัติอัคคีสำเร็จแล้วเขาจึงระบุตำแหน่งของซือหยูได้โดยใช้ตำแหน่งวิบัติอัคคีที่ซือหยูทิ้งเอาไว้ในร่างกาย ดังนั้นเขาจึงติดตามได้มาถึงตำหนักโลหิต!
  องครักษ์แสงกระจ่างอีกสี่คนใบหน้าเย็นชาหนึ่งในนั้นกล่าว
  “เราตามล่ามันมาครึ่งปีแล้วในที่สุดก็จบลงเสียที หัวหน้า มาจบเรื่องนี้กันเถอะ!”
  หัวหน้าองครักษ์แสงกระจ่างพยักหน้าบนอกของเขานั้นมีลูกไฟที่คล้ายหัวใจเต้นอยู่ มันปล่อยวิบัติอัคคีสีดำออกมา
  “ชั่วยามก่อนมันอยู่ที่หน้าประตูสำนักมันน่าจะออกจากสำนักแล้วมุ่งหน้าไป…”
  หัวหน้าองครักษ์แสงกระจ่างสามารถบอกที่อยู่ของซือหยูได้แม่นยำแม้กระทั่งเวลา!แต่คำพูดของเขาก็ถูกขัดขึ้น
  “เดี๋ยวสิ!ใครมาขวางสัมผัสของข้ากัน?”
  หัวหน้าพูดขึ้นมา
  องครักษ์แสงกระจ่างคนอื่นๆงุนงงเช่นกันเพราะคนที่สามารถทำลายสัมผัสของหัวหน้าพวกเขาได้นั้นจะต้องแข็งแกร่งอย่างปฏิเสธไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องแกร่งกว่าหัวหน้าของพวกเขา!
  “ม่อเทียนฉวนงั้นรึ?”
  พวกเขาดูหวาดกลัวตอนที่สู้กับม่อเทียนฉวนคราวที่แล้ว ถ้าหากนางไม่ถูกบังคับให้ถอยเพราะร่างเงาของราชาเขตกลาง พวกเขาหลายคนก็คงจะตายไปแล้ว คนที่รอดก็คงจะสาหัส! เพราะพลังการต่อสู้ของม่อเทียนฉวนนั้นมิอาจมีใครเทียบได้นอกจากราชาเขต
  แม้ว่าทั้งห้าจะร่วมมือกันพวกเขาก็ไม่ใช่คู่มือของม่อเทียนฉวน ดังนั้นถ้าหากพวกเขาต้องเจอกับม่อเทียนฉวนที่นี่ พวกเขาจะเสียเปรียบอย่างมาก
  “ไม่สิ!ถ้าหากเป็นผู้หญิงคนนั้นล่ะก็ นางคงจะพุ่งออกมาแล้ว!”
  หัวหน้าองครักษ์ส่ายหน้า
  “จะต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งมากถ้าข้าคิดไม่ผิด นั่นจะต้องเป็นคนเดียวกับที่ลบวิบัติอัคคีของเจ้านั่นไปครึ่งส่วนจนทำให้พวกเราล่าล้มเหลว!”
  เขาพูดต่อ
  “ไอ้เด็กนั่นถูกยอดฝีมือปกป้องอยู่เราต้องระวัง!”
  หนึ่งในสี่พูด
  “แต่…พวกเราระบุที่อยู่ของมันไม่ได้”
  หัวหน้าตอบ
  “วางใจได้ถึงสัมผัสตำแหน่งที่ชัดเจนจะหายไป แต่ข้าก็ระบุบริเวณได้ แค่ต้องใช้เวลาหาสักหน่อยเท่านั้น”
  เขาพูด
  “ไปกันเถอะถ้านังบ้านั่นเจอเราจะเป็นเรื่องใหญ่แน่”
  หัวหน้านำองครักษ์ที่เหลือออกไปไม่นานพลังอสูรก็ไล่พุ่งพล่านเข้ามา สตรีผู้มีพลังสีดำรอบตัวก้าวออก นางคือม่อเทียนฉวน!
  “องครักษ์แสงกระจ่างรึ?มันกล้ามาตำหนักโลหิตอีกแล้วหรือ?”
  จิตสังหารเดือดพล่านในแววตาม่อเทียนฉวนนางพูดออกมาอย่างประหลาดใจ
  “พวกมันมาทำอะไรกัน?มันกำลังตามหาบางสิ่งอยู่รึ?”
  นางคิด…ทำไมองครักษ์แสงกระจ่างต้องไปปรากฏตัวที่เขาวิญญาณจรัสแล้วตอนนี้ยังมาอยู่ที่ตำหนักนอกอีก? ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกมันทำดูเป็นความลับไปเสียหมด ราวกับว่ากำลังแอบตามหาบางอย่างอยู่
  นางรู้สึกว่าการที่ห้าองครักษ์แสงกระจ่างถูกส่งตัวมาจะต้องเป็นเพราะเรื่องที่สำคัญมาก
  “ข้าคงต้องสืบเรื่องในตำหนักดูว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกมันแค่ไหน”
  เมื่อพูดจบม่อเทียนฉวนก็กลับไปในรอยแยกมิติ
  ก่อนจะไปนางหันไปมองทิศที่องครักษ์แสงกระจ่างทั้งห้าหายตัวไปและถอนหายใจอย่างเยือกเย็น
  “พวกเจ้าโชคดีที่หนีเร็ว!”.novel-lucky.
  ห้าวันต่อมาในเมืองขนาดกลาง ทั้งสามมาถึงตำแหน่งที่ระบุไว้ หนึ่งในนั้นมีเส้นผมสีเงินและรังสีของความยิ่งใหญ่ราวกับไม่ใช่มนุษย์ อีกหนึ่งคนเป็นสตรีที่งดงามถึงขีดสุด ส่วนคนสุดท้ายนั้นเป็นเด็กสาวน่ารักอ่อนหวานราวกับภูติตัวน้อย!
  ทั้งสามทำให้หลายคนสนใจเมื่อมาถึงจากที่เขียนไว้ในจดหมายของอาจารย์พราย มันคีอเมืองเทียนหยวนที่เจ้าเมืองพบเบาะแส
  เขาเคยเป็นนักปรุงยาของพันธมิตรปรุงยาและได้รับการตอบแทนจากเจ้าพันธมิตรโจวเมื่อเขารู้ร่องรอยของมั่วหยาง เขาก็แจ้งเจ้าพันธมิตรโจวทันที เจ้าพันธมิตรโจวจึงบอกอาจารย์พรายในเวลาต่อมา
  “ไปหาเจ้าเมืองกันเถอะ…”
  ปิงหวูชิงกล่าว
  ซือหยูมองดูรอบๆและขมวดคิ้วเล็กน้อย
  “เดี๋ยวจะไปเฉยๆแบบนี้ไม่ได้ เมืองเทียนหยวนอยู่ใต้การปกครองของตำหนักชิงวิญญาณ มียอดฝีมือหลายคนประจำการอยู่ มันอาจจะจำพวกเราได้ ถ้าหากถูกเผยตัวเมื่อไหร่ การจับตัวมั่วหยางจะยากขึ้น”
  “ฮื่ม!พวกข้าไม่ต้องให้เจ้าเตือนหรอกน่า!”
  กงซุนหวูซื่อไม่พอใจและลากปิงหวูชิงไปยังซอยเล็กๆ
  ซือหยูส่ายหน้า…ถ้าข้าไม่เตือนพวกเจ้าก็คงจะเดินไปเฉยๆแล้ว!
  เขาตามพวกนางไปเมื่อมาถึงซอยที่ไม่มีคน พวกเขาก็หาทางไปยังเรือนเจ้าเมืองเทียนหยวนด้วยกัน ทั้งสามมาถึงที่และหลีกเลี่ยงคนคุ้มกันมากมายอย่างเฉลียวฉลาด พวกเขามาถึงจุดที่เจ้าเมืองเทียนหยวนฝึกฝน แต่เขาก็ไม่อยู่ที่นี่
  ซือหยูใช้เนตรวิญญาณมองหาทั่วเรือนทุกสิ่งกีดขวางย่อมมิอาจขัดขวางเนตรวิญญาณได้ ทุกความเคลื่อนไหวในเรือนนั้นอยู่ในสายตาของซือหยู
  ในตอนนั้นเมื่อซือหยูมองที่ตำหนักด้านข้าง เขาก็พบผู้เฒ่าสองคน หนึ่งในนั้นเป็นจ้าวเทวะระดับสี่ที่มีแผลเป็นน่าเกลียดที่หน้าผาก หูเขาขาดไปครึ่งใบ
  เขาคือเจ้าเมืองเทียนหยวนเขาแน่ใจก็เพราะว่าคนที่เป็นจ้าวเทวะนั้นสามารถหาโอสถที่จะรักษาบาดแผลบนร่างกายได้ง่ายๆ ต่อให้แขนหรือขาขาดก็ยังมีโอกาสที่ช่วยให้ฟื้นฟูได้ ดังนั้นจ้าวเทวะอย่างเจ้าเมืองเทียนฉวนที่ยังมีบาดแผลให้เห็นจึงหายากอย่างมาก
  อีกคนคือชายวัยกลางคนที่เป็นจ้าวเทวะระดับห้าเขามีรูปลักษณ์ธรรมดาและมีดวงตาคู่ที่เฉียบคมดั่งเหยี่ยว สิ่งที่เป็นเครื่องหมายชัดเจนก็คือจันทร์เสี้ยวสีม่วงที่อยู่ระหว่างคิ้วของเขา
  ทั้งสองอยู่ตำหนักข้างขณะที่ประตูหลักปิดสนิทแสดงว่าทั้งสองกำลังหารือเรื่องที่เป็นความลับสุดยอดอยู่
  จู่ๆชายวัยกลางคนที่มีรอยจันทร์เสี้ยวสีม่วงก็สัมผัสบางอย่างได้และหันมามองในทิศซือหยูจันทร์เสี้ยวสีม่วงของเขาส่องแสง ซือหยูเจ็บแปลบที่ดวงตาและเลิกใช้เนตรวิญญาณทันที
  ใครกัน?เขาสัมผัสเนตรวิญญาณ แล้วยังทำลายมันได้…ซือหยูตกใจ
  หลังจากครุ่นคิดซือหยูถาม
  “เจ้ารู้จักคนแบบนี้จากเมืองเทียนหยวนหรือไม่?”
  เขาอธิบายรายละเอียดรูปลักษณ์ของชายวัยกลางคนหลังจากได้ข้อมูล ทปิงหวูชิงคิดไม่นานก่อนจะตอบ
  “เจ้ากำลังพูดถึงอสูรจันทร์ม่วงผู้เฒ่าลำดับสามแห่งตำหนักชิงวิญญาณใช่ไหม?”
  ผู้เฒ่าจากตำหนักชิงวิญญาณรึ?ซือหยูตื่นตัวขึ้นทันที
  ผู้เฒ่าจากตำหนักชิงวิญญาณทั้งหมดได้เห็นรูปลักษณ์แก่เฒ่าและเด็กหนุ่มของซือหยูแล้วดังนั้นผู้เฒ่าลำดับสามก็ต้องรู้แน่นอน! หากเขาได้เจอซือหยูตอนนี้ เขาก็จะต้องบอกได้แน่นอนว่าเขาคือหยินหยู อาชญากรที่เขตกลางต้องการตัว! หลังจากถูกเปิดโปง รูปลักษณ์แก่เฒ่าของซือหยูก็จะใช้ปลอมตัวไม่ได้อีก!
  “ทำไมอยู่ดีๆเจ้าถึงถามเล่า?”
  ปิงหวูชิงไม่ได้สังเกตว่าซือหยูแปลกไป
  ซือหยูรีบอธิบายเพื่อไม่ให้นางสนใจ
  “โอ้…ข้าบังเอิญเห็นเขาบนถนนน่ะ”
  “อย่างนั้นรึไม่แปลกหรอก อสูรจันทร์ม่วงกำลังรับหน้าที่ดูแลพื้นที่ตรงนี้…”
  ปิงหวูชิงกล่าว
  ซือหยูไม่คิดอะไรและรอเงียบๆไม่นาน ชายแก่จ้าวเทวะระดับสี่ที่หูขวาขาดก็รีบเดินออกมา
  หลังจากเห็นซือหยูกับอีกสองคนจากระยะไกลเขาก็ทำใบหน้ายินดีในทันทีและเดินเร็วขึ้น เขาพูด
  “ข้ากำลังสงสัยอยู่พอดีว่าใครผ่านเรือนข้า!เป็นท่านทูตสามคนจากตำหนักโลหิตนี่เอง ขออภัยที่มารับพวกท่านช้า!”
  เขาเหลือบมองทั้งสามและจ้องมองปิงหวูชิงอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นความหวาดกลัวก็แสดงอยู่ในดวงตา ราวกับว่าเขารู้ถึงพลังของปิงหวูชิง
  “เจ้าคือเอ้อหลิงเจ้าเมืองเทียนหยวใชาหรือไม่?”
  ปิงหวูชิงมองประเมินชายแก่
  “ใช่แล้วโปรดเข้าไปกับข้าก่อน ข้ารอพวกท่านมานานแล้ว…”
  เอ้อหลิงกล่าวขณะที่นำทั้งสามไปที่ห้องลับห้องลับนี้คือห้องเดียวกับที่ซือหยูเห็นเขากับอสูรจันทร์ม่วง
  เอ้อหลิงมีน้ำใจกับพวกเขามากเขาไม่ดูถูกแม้จะมีภูติมาด้วย
  “ท่านทูตนี่เป็นชาวิญญาณที่ข้าเตรียมมมาอย่างพิเศษ ข้าซื้อมาจากเมืองเทียนหยา มันเป็นชาราคาแพงมาก มันมีฤทธิ์ทำให้คลายกังวลและเพิ่มอายุขัย…”
  เอ้อหลิงอธิบายขณะรินชาให้พวกเขา
  แต่ซือหยูกับอีกสองคนไม่ได้รับแก้วเพราะพวกเขาไม่คิดจะดื่มชา
  “เจ้าเมืองเอ้อคงจะดีกว่าถ้าบอกเราเรื่องข้อมูลของมั่วหยางตอนนี้ พวกเรากำลังทำภารกิจสำคัญ ไม่มีเวลารีรอแล้ว”
  ปิงหวูชิงพูดอย่างเย็นชา
  เอ้อหลิงอับอายเล็กน้อยเขาปรบมือ สาวใช้คนหนึ่งเดินถือกล่องไม้สีเข้มที่ปล่อยพลังหยินรุนแรงออกมา
  “ท่านทูตนี่คือร่องรอยของมั่วหยางที่ข้าพบ”
  เอ้อหลิงวางกล่องยาวลงบนโต๊ะและเปิดช้าๆ
  จู่ๆคลื่นพลังหยินก็พุ่งออกมา ซือหยูกับอีกสองคนย่นจมูกและใช้พลังชีวิตออกมาป้องกันพลังหยินเข้าสู่ร่าง
  เมื่อพลังหยินสลายไปก็ได้พบกับของในกล่องมันคือแขนดำที่ขาดและมีสีคล้ายถ่าน!
  ด้านในแขนนั้นกลวงเปล่านั่นหมายความว่าสิ่งนี้มีแต่ผิวหนัง
  กงซุนหวูซื่อกล่าว
  “ตาแก่พวกข้าจะรู้อะไรจากแขนคนตายเล่า? เจ้ากำลังจะหลอกข้าเรอะ?”
  ปิงหวูชิงพูดขัด
  “ไม่ใช่!นี่ไม่ใช่แขนธรรมดา มันคือผิวที่ลอกมาจากการบ่มเพาะวิชาอสูร”
  “ผิวที่ลอกออกมาหรือ?”
  กงซุนหวูซื่อตัวแข็งทื่อ
  “เหมือนกับ…งูลอกคราบน่ะหรือ?”