DND.
“ใช่ตำหนักโลหิตมีวิชาอสูรระดับตำนานที่เรียกว่า ‘หลักธรรมอสูรศักดิ์สิทธิ์’ มีการฝึกอยู่สามระดับ ทุกครั้งที่ฝึกฝนสำเร็จ คนที่บ่มเพาะจะพบกับความเปลี่ยนแปลง มันเหมือนกับการเกิดใหม่ มันคือการเกิดใหม่จริงๆ!”
ปิงหวูชิงอธิบาย
นางพูดต่อ
“ตั้งแต่กระดูกไปจนถึงโลหิตรูปลักษณ์ ทั้งหมดจะเปลี่ยนแปลงอย่างน่าตกตะลึง พลังก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน ในอดีตมันเป็นวิชาที่นิยมมากในตำหนัก แต่ก็น่าเสียดายที่มั่วหยางชิงมันไปด้วยในตอนที่ทรยศสำนัก มั่วหยางเลยเป็นคนเดียวที่บ่มเพาะวิชานี้”
ปิงหวูชิงพูดต่อ
“ถ้าหากแขนนี่เป็นของมั่วหยางจริงข่าวเรื่องมั่วหยางก็ต้องเป็นเรื่องจริงแน่นอน”
ซือหยูเพิ่งจะรู้ว่ามีวิชาที่ทำให้ยอดฝีมือลอกคราบได้เหมือนสัตว์ในโลกนี้ด้วย!
“ถ้าอย่างนั้นมั่วหยางในตอนนี้ก็ดูไม่เหมือนกับเมื่อสิบปีก่อนแล้วสินะ?”
ซือหยูถาม
ปิงหวูชิงพยักหน้าอย่างหนักแน่น
“ใช่เขาถึงหนีจากการตามสังหารตลอดสิบปีมาได้ ไม่มีใครรู้ว่าเขาบ่มเพาะหลักธรรมอสูรศักดิ์สิทธิ์ถึงขั้นไหน และเขาลอกคราบไปกี่ครั้ง ไม่มีทางรู้รูปลักษณ์ในตอนนี้เลย”
ซือหยูขมวดคิ้วจ้องมองแขนที่ขาด
“ทางเดียวที่จะหามั่วหยางเจอก็คือแขนนี่เจ้าเมือง เจ้าได้แขนนี้มาจากไหน?”
พวกเขาทำได้แค่สืบหาสถานที่ที่พบแขนข้างนี้เพื่อที่จะไปตรวจสอบต่อว่ามีเบาะแสทิ้งเอาไว้หรือไม่
“ฮ่าๆๆๆไม่ต้องห่วง ก่อนพวกท่านจะมา ข้าแอบส่งคนแอบไปสืบแล้ว ตอนนี้พวกเราพบที่ซ่อนของมั่วหยางแล้ว!”
เจ้าเมืองยิ้มแม้ว่าใบหน้าเขาจะดูดุ เขาก็เป็นคนเอาใจใส่มาก
ปิงหวูชิงตาเป็นประกาย
“จริงรึ?ที่ไหนกัน?”
“ท่านสงสัยข้าหรือ?ข้าเป็นเพียงเจ้าเมืองเล็ก ข้าจะกล้าโกหกท่านได้อย่างไร? ข้าเพียงแค่หวังให้พวกท่านกล่าวชมข้าในตำหนักโลหิตบ้างเท่านั้น…”
เจ้าเมืองกล่าว
ถ้าหากเขาได้ช่วยเหลือและได้รับคำชมจากตำหนักโลหิตตำหนักชิงวิญญาณที่ปกครองเขาอยู่ก็น่าจะให้รางวัลกลับมาบ้าง
ปิงหวูชิงพยักหน้า
“แน่นอนแล้วมันซ่อนอยู่ที่ไหนล่ะ?”
“จากที่คนของข้าไปสืบมามั่วหยางอ่อนแอมากหลังจากลอกคราบ เพื่อที่จะเลี่ยงความสนใจ เขาซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ไร้ผู้คน ซึ่งที่นั่นก็คือหมู่บ้านเล็กๆ…”
ใบหน้าเจ้าเมืองเศร้าหมองขณะที่อธิบาย
เขาพูดต่อ
“แต่คนของข้ามิอาจเข้าใกล้ได้มั่วหยางขี้ระแวงมาก หากเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้เขาเปลี่ยนที่ซ่อนแล้ว คนเกาะรอยที่ข้าจ้างมาคลาดเขามาหลาครั้งแล้ว หากพวกท่านอยากจับตัวมั่วหยางจริงๆก็ควรจะเตรียมตัว เพราะถ้าล่าตรงๆก็อาจจะทำให้มั่วหยางอยากหนี”
ปิงหวูชิงตาลุกวาว
“โอ้?ถ้าเช่นนั้น…เจ้าคิดว่าพวกเราควรทำยังไง?”
เจ้าเมืองแนะนำ
“คงจะดีมากถ้าพวกท่านปลอมตัวเป็นครอบครัวที่ผ่านหมู่บ้านมาถ้าท่านสามคนปลอมตัวเป็นครอบครัวคนธรรมดาที่ลี้ภัย มั่วหยางก็ไม่น่าจะสงสัย”
เมื่อได้ฟังปิงหวูชิงตกใจ
“ครอบครัวคนธรรมดาลี้ภัยรึ?พวกข้า…กับเขาน่ะนะ?”
นางพูดและชี้ซือหยูเซี่ยน
“ใช่แล้วข้ามีเครื่องรางพิเศษที่จะช่วยปกปิดฐานพลังของพวกท่าน มันจะทำให้พวกท่านเหมือนคนธรรมดาที่ไร้พลัง พวกท่านจะไม่เป็นที่สงสัยจากมั่วหยาง…”
เจ้าเมืองกล่าว
เขาพูดต่อ
“ตราบเท่าที่พวกท่านเข้าหมู่บ้านได้สำเร็จและถามคนรอบๆดูพวกท่านก็น่าจะเจอตำแหน่งที่แน่นอนของมั่วหยาง มันเป็นแค่หมู่บ้านเล็กๆที่ไม่ค่อยมีคน หากมีคนแปลกหน้าเข้ามาก็ย่อมมีคนสังเกตเห็น”
พอเขาพูดจบกงซุนหวูซื่อก็กระโดดโหยงขึ้นมา
“ข้าไม่เอาแผนนี้!ถ้าปลอมตัวเป็นครอบครัว แล้วข้าต้องปลอมเป็นอะไรเล่า?”
ปิงหวูชิงตอบอย่างไม่แยแส.ไอลีนโนเวล.
“เจ้าก็เป็นน้องสาวข้าสิ!นี่ไม่ดีรึ? หรือเจ้าเป็นลูกข้าก็ไม่เป็นไรนะ”
“ไม่ได้!ข้าไม่อยากเป็นลูก! ข้าอายุสิบแปดแล้วนะ!”
กงซุนหวูซื่อกระโดดยกร่างเล็กๆไปรอบๆนางหน้าแดง
“แล้วเขาล่ะ?”
นางชี้ซือหยู
ซือหยูตอบโดยไม่ใส่ใจนัก
“ข้าเป็นปู่เจ้าก็ได้”
“หุบปาก!”
ปิงหวูชิงกับกงซุนหวูซื่อตะโกนขึ้นพร้อมกัน
เมื่อเห็นว่าสตรีทั้งสองไม่ยอมเจ้าเมืองออกความเห็นอีกครั้ง
“แล้วถ้าพวกท่านปลอมตัวเป็นเจ้าเมืองแล้วพวกผู้หญิงก็แสร้งเป็นภรรยากับภรรยาน้อยเล่า? นอกจากนั้นก็แทบไม่มีทางเลือกแล้ว…”
ปิงหวูชิงนั้นไม่ได้คิดมากกับแผนการเพราะนางไม่เคยคิดถึงเรื่องชื่อเสียงแต่กงซุนหวูซื่อนั้นโกรธเกรี้ยวกับการแนะนำนี้ นางคิด…ทำไมถึงเป็นแบบนั้นไปได้?
แต่เอ้อหลิงพูดถูกความแตกต่างของอายุนั้นทำให้ยากที่พวกเขาจะปลอมตัวในฐานะที่เหมาะสมสำหรับคนปกติที่ไร้พลังได้
ความห่างระหว่างอายุของทั้งสามทำให้การเป็นปู่และหลานสาวนั้นไร้เหตุผลเกินไป แต่คงจะเข้ากันถ้าหากเป็นเจ้าเมืองแก่ที่แต่งงานกับภรรยางดงามสองคน
“ก็ได้แต่ถ้าเจ้ากล้าจรดแม้แต่ปลายนิ้วกับพวกข้าก็อย่ามาบอกว่าพวกข้าโหดร้าย!”
ปิงหวูชิงกล่าวอย่างเยือกเย็น
ซือหยูตอบเรียบเฉย
“ตามใจเจ้าข้าไม่เคยคิดเรื่องแบบนี้กับเจ้าสองคนอยู่แล้ว!”
ทั้งสามจ้องมองกันตาเขม็ง
“เอาล่ะพวกเราจะช้าไม่ได้แล้ว ข้าจะพาพวกท่านไปหมู่บ้านนั้น ถ้าหากต้องการอะไร พวกท่านเรียกข้าได้ทุกเมื่อ…”
เอ้อหลิงกล่าว
ซือหยูพยักหน้าเขารู้สึกขอบคุณมากเมื่อรู้ว่าจะมีจ้าวเทวะระดับสี่คอยช่วยในเวลาสำคัญ ทั้งสามออกจากเมืองเทียนหยวนและมุ่งหน้าไปที่ภูเขาลูกใหญ่ลูกหนึ่งอย่างรวดเร็วด้วยการนำของเอ้อหลิง พวกเขาเห็นเมืองเล็กมากมายในตลอดทาง แทบทุกเมืองถูกปกครองโดยคนธรรมดา
“ข้างหน้าพวกท่านคือภูเขาแสนนามทั้งเทือกเขามีภูมิประเทศซับซ้อน มนุษย์มากมายจึงต้องอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตโดยหนีไปไหนไม่ได้…”
เอ้อหลิงอธิบาย
เขาพูดต่อ
“แล้วพวกเขายังต้องเจอกับการขาดแคลนทรัพยากรมันจึงแทบจะไม่มียอดฝีมืออยู่เลย มั่วหยางเลือกสถานที่ฟื้นฟูตัวได้ดีนัก”
ภูเขาแสนนาม?ซือหยูมองด้านหน้า แสงกระจ่างสะท้อนดวงตา
แม้ว่าจะผ่านไปสามวันพวกเขาก็ยังไม่ผ่านภูเขาแสนนามไปได้แม้จะเดินทางด้วยความเร็วสูง และขณะนี้ พวกเขาก็ได้มาถึงนอกหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
เอ้อหลิงใบหน้าเคร่งเครียดขึ้นเมื่อนำทั้งสามร่อนลงเขาพูด
“เราถึงแล้วที่ซ่อนของมั่วหยางอยู่แค่ข้างหน้า นี่เครื่องรางสามชิ้นที่จะช่วยปกปิดพลังพวกท่าน”
ขณะที่พูดเขาหยิบเอาเครื่องรางสีม่วงแดงสามชิ้นออกมา ปิงหวูชิงกับกงซุนหวูซื่อตกใจเล็กน้อย เพราะแม้ว่าพวกนางจะรอบรู้ พวกนางก็ไม่รู้จักสิ่งนี้
“มันคือของล่าสุดที่เพิ่งจะถูกขุดขึ้นมาจากซากโบราณมันชื่อว่าสร้อยสุเมรุใจหาย เมื่อฝังเข้าสู่ร่างกาย มันจะปกปิดพลังไว้ได้…”
เจ้าเมืองอธิบายขณะที่วางหนึ่งเส้นที่อกของตัวเอง
เครื่องร่างเริ่มโปร่งใสพลังของยอดฝีมือทั้งหมดถูกกดลงไป เขายืนหน้าซือหยูและคนอื่นๆ พวกซือหยูสัมผัสพลังจากยอดฝีมือของเขาไม่ได้แม้แต่น้อย!
“ว้าว!ยอดเยี่ยมมาก!”
กงซุนหวูซื่อเป็นคนที่สงสัยที่สุดนางหยิบมันมากดไว้ที่หน้าผากของตัวเอง จากนั้นพลังของนางก็สลายไปอย่างรวดเร็ว นางได้กลายเป็นเด็กสาวสิบขวบธรรมดาๆ!
ปิงหวูชิงหยิบขึ้นมาแนบเอวพลังภูติระดับเก้าของสตรีทั้งสองสลายไป
ซือหยูเป็นคนสุดท้ายเขารับมันมาแนบอก ทั้งสามจึงได้กลายเป็นคนธรรมดา
“ไปกันเถอะ”
ปิงหวูชิงถือกระบี่นำทางไป
ด้านหลังซือหยูตามนางอย่างไม่รีบร้อน
“อะไรกัน?ข้าเป็นสามีเจ้า แต่ข้ากลับถูกทิ้งไว้ข้างหลังแบบนี้รึ? พวกเราดูไม่เหมือนเจ้าเมืองกับภรรยาเลย!”
ปิงหวูชิงแววตาเย็นชานางหันไปกัดฟันและหยุดรอเขาก่อนจะตอบ
“นายท่านไปกันเถอะ”
ซือหยูยิ้ม
“ภรรยาที่รักของข้าตามมา”
“ไอ้แก่นี่!”