ฉินตงเฉี่วยได้ฟังคำตอบของหลิงหยุนก็ถึงกับตกใจจนสั่นไปทั้งร่างและรีบร้องถามออกมาทันที
“เจ้าเด็กดื้อ..สถานการณ์เช่นนี้เจ้ายังจะเร่งพัฒนาขั้น นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรือยังไง”
ไป๋เซียนเอ๋อเองก็รู้สึกกังวลไม่น้อยไปกว่าฉินตงเฉี่วยจึงรีบร้องบอกหลิงหยุนว่า “พี่หลิงหยุน.. พวกเราหาหนทางอื่นไม่ดีกว่ารึ อย่างน้อยตอนนี้ปีศาจภัยแล้งก็ได้ถูกสะกดไว้แล้ว พวกเราค่อยๆ คิดหาวิธีสังหารมันก็ได้..”
หลิงหยุนเม้มริมฝีปากแน่นแววตามุ่งมั่น พร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธความหวังดีของหญิงสาวทั้งสองคน..
โดยปกติทั่วไปของคนที่ฝึกบ่มเพาะพลังนั้นเมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ผู้ฝึกจะต้องรวบรวมและโคจรลมปราณให้นิ่งเสถียรเสียก่อน เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่ขั้นต่อไป และในขั้นตอนที่สำคัญเช่นนี้จึงควรมีผู้ช่ำชองคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ หรือไม่ก็ควรต้องหาสถานที่ลับๆ ที่ไม่มีผู้คนหรือสิ่งใดรบกวนให้เสียสมาธิ เพื่อให้มั่นใจว่าระหว่างกระบวนการพัฒนาเข้าสู่ขั้นต่อไปนั้นจะไม่มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น..
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกำลังจะพัฒนาเข้าสู่ขั้นใหญ่!
และนับตั้งแต่ฝึกฝนบ่มเพาะพลังมานี่เป็นครั้งแรกที่หลิงหยุนกำลังจะข้ามเข้าสู่ขั้นใหญ่ แต่เขากลับเลือกทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่ผ่านมา!
ตลอดระยะเวลาที่หลิงหยุนยังอยู่ในขั้นปรับร่างกายนั้นตั้งแต่ด่านแรก ด่านกลาง จนถึงระดับสูงสุดของด่านสุดท้าย หลิงหยุนฝึกฝนด้วยความระมัดระวังมาโดยตลอด การก้าวเข้าสู่แต่ละระดับขั้นนั้น หลิงหยุนทำไปทีละขั้นตอนไม่เร่งรัด จึงนับได้ว่าพื้นฐานในการบ่มเพาะพลังของหลิงหยุนนั้นมั่นคง และเสถียรยิ่งนัก..
ยิ่งไปกว่านั้น..ตั้งแต่ที่เริ่มเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-7 ซึ่งเป็นด่านสุดท้ายของขั้นปรับร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นปรับร่างกาย-9 หลิงหยุนก็ได้เตรียมความพร้อมเพื่อที่จะสามารถเข้าสู่ขั้นพลังชี่มาโดยตลอด..
ในแหวนพื้นที่ของเขาเวลานี้มีทั้งหญ้าหยิน หญ้าหยาง หญ้าน้ำลายมังกร เม็ดสมุนไพรชีฉียู่ และสมุนไพรพลังชีวิตอีกมากมาย..
เรียกได้ว่าหลิงหยุนได้เตรียมการทุกอย่างไว้อย่างพร้อมเพียงที่สุดแล้ว!
ความจริง..หลิงหยุนตั้งใจว่าจะรอให้จัดการกับศัตรูชุดนี้ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน หลังจากผ่านพ้นคืนนี้ไป เขาก็ตั้งใจว่าจะหาสถานที่ลับๆ สักแห่ง และให้ไป๋เซียนเอ๋อคอยทำหน้าที่คุ้มกันให้ จากนั้นจึงค่อยๆ ฝึกฝนเพื่อให้สามารถพัฒนาเข้าสู่ขั้นพลังชี่ได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย..
แต่ถึงกระนั้น..โลกใบนี้ก็ยากที่จะคาดเดาได้! แม้ว่าหลิงหยุนจะได้เตรียมการ และวางแผนมาเป็นอย่างเป็นอย่างดี เพื่อให้ตนเองสามารถเข้าสู่ขั้นพลังชี่ได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปตามขั้นตอน แต่ปรากฏว่า.. สถานการณ์ในเวลานี้ก็บีบให้เขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้!
เพราะวิชาพลังมังกรที่ทำให้หลิงหยุนแข็งแกร่งขึ้นจากเดิมถึงสิบเท่านั้นแม้ว่าจะสามารถสังหารยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-9 ถึงสองคนได้ภายในพริบตา แต่กลับไม่สามารถสังหารปีศาจภัยแล้งที่ดุร้ายได้..
อย่าว่าแต่จะสังหารมันเลย..หากหลิงหยุนไม่ค้นพบจุดอ่อนเรื่องน้ำของปีศาจภัยแล้ง และไม่มีหนิงหลิงยู่กับหลินเมิ่งหานคอยช่วยในครั้งนี้ เขาก็คงจะไม่สามารถสะกดปีศาจภัยแล้งตนนี้ไว้ได้..
อีกทั้งยังต้องขอบคุณสิ่งล้ำค่าอย่างสมบัติพุทธองค์ขอบคุณสร้อยประคำที่แสดงพลังวิเศษออกมา ทำให้หลิงหยุนสามารถสะกดปีศาจตนนี้ไว้ได้
หลิงหยุนพอจะรู้อยู่แล้วว่าปีศาจภัยแล้งนั้นเป็นปีศาจที่ทั้งแข็งแกร่งและดุร้าย แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะมีพละกำลังที่มากมายมหาศาลเช่นนี้!
เวลานี้แม้ว่าปีศาจภัยแล้งจะถูกแช่แข็งอยู่ใต้พื้นน้ำแข็งและด้านบนมีน้ำแข็งหนาปิดทับไว้อีกหนึ่งชั้น อีกทั้งยังถูกสะกดไว้ด้วยสมบัติพุทธองค์ถึงสองชิ้นคือสร้อยประคำกับตะเกียงน้ำมัน และทั้งหมดนี้ก็คือที่สุดที่หลิงหยุนจะสามารถทำได้ในเวลานี้ แต่ถึงกระนั้นปีศาจตนนี้ก็ยังคงไม่หมดฤทธิ์ และดูเหมือนจะยังสามารถดิ้นรนต่อต้านได้อยู่!
เพราะดวงไฟสีแดงในร่างของมันที่ดับไปนั้นได้เริ่มเปล่งแสงขึ้นมาอีกครั้งแล้ว!
หลิงหยุนรู้ดีว่า..อีกไม่นานน้ำแข็งก็ต้องละลาย และเมื่อถึงตอนนั้นเขาเองก็ไม่รู้ว่าสร้อยประคำจะสามารถสะกดปีศาจดุร้ายตนนี้ไว้ได้อีกหรือไม่ และหากสะกดไว้ไม่ได้ ก็คงจะเกิดหายนะขึ้นอย่างแน่นอน!
และหากปีศาจภัยแล้งสามารถทลายสิ่งที่สะกดมันไว้ในเวลานี้ได้ไม่เพียงบ้านเลขที่-1จะต้องประสบกับหายนะครั้งยิ่งใหญ่ แต่ทั่วทั้งเมืองจิงฉูก็จะเผชิญกับหายนะด้วยเช่นกัน และจะลุกลามใหญ่โตไปทั่วทั้งมณฑลเจียงหนานอีกด้วย..
แน่นอนว่าหลิงหยุนจะปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นไม่ได้อย่างเด็ดขาด!
ในการต่อสู้กับปีศาจภัยแล้งรอบแรกนั้นหลิงหยุนได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถสังหารมันได้ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องเร่งเข้าสู่ขั้นบ่มเพาะที่สูงขึ้นกว่านี้ให้ได้!
ตอนนี้หลิงหยุนจำเป็นต้องทำทุกอย่างแข่งกับเวลาเขาจะต้องเข้าสู่ขั้นพลังชี่ให้ได้ ก่อนที่ปีศาจภัยแล้งจะดิ้นรนหลุดจากการสะกดควบคุมนี้ได้!
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหลิงหยุนเองก็ได้เตรียมพร้อมเพื่อเข้าสู่ขั้นพลังชี่มาโดยตลอดแล้ว และเหลือเพียงแค่เส้นบางๆเท่านั้น เขาก็จะสามารถข้ามเข้าสู่ขั้นพลังชี่ได้แล้ว จึงไม่น่าจะเป็นเรื่องยากเย็นอะไรหากเขาจะเข้าสู่ขั้นพลังชี่ในช่วงเวลานี้!
เสียเพียงแต่ว่า..เวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะนัก หรือค่อนข้างแย่ด้วยซ้ำไป!
เพราะในคืนนี้ก่อนที่จะกลับมายังบ้านเลขที่-1หลิงหยุนก็ได้ประมือกับยอดฝีมือมากมายบนเขาหลงเหมินมาก่อน เข้าไม่เพียงเหนื่อยกาย แต่ยังล้าไปถึงจิตใจด้วย..
หลังจากสะสางปัญหาบนเขาหลงเหมินได้แล้วหลิงหยุนก็ต้องรีบเดินทางกลับมาที่บ้านเพื่อทำการต่อสู้กับศัตรูอีกครั้ง เขาต้องรับมือกับยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-9 ถึงสองคน และปีศาจภัยแล้งอีกหนึ่งตน
และที่หลิงหยุนแข็งแกร่งมีพละกำลังมากมายมหาศาลเช่นนี้ก็เพราะอาศัยการดูดซับเอาพลังชีวิตจากน้ำลายมังกร และหลิวเทวะสองต้นเข้าไป ทำให้สามารถฟื้นฟูร่างกายจนเข้าสู่ระดับสมบูรณ์สูงสุดได้อีกครั้ง แต่ถึงกระนั้น.. ร่างกายของหลิงหยุนก็ยังคงเป็นเลือดเนื้อของมนุษย์ ไม่ได้ทำจากเหล็กไหล!
แต่ที่แย่ไปยิ่งกว่านั้นก็คือ..หลิงหยุนได้ใช้วิชาพลังมังกรเพื่อเพิ่มศักยภาพในการต่อสู้ให้กับตนเองมากขึ้นจากเดิมถึงสิบเท่า
และด้วยเหตุนี้..พลังปราณที่หมุนเวียนอยู่ในร่างกายของเขานั้น จึงหมุนเวียนด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก และไม่แน่ว่าสิ่งนี้อาจจะกลายเป็นอุปสรรคในการเข้าสู่ขั้นพลังชี่ของเขาก็เป็นได้..
การใช้วิชาพลังมังกรนั้นก็เปรียบเสมือนกับการทำให้เครื่องจักรหมุนด้วยความเร็วรอบที่สูงกว่าความเร็วปกติถึงสิบเท่า และเมื่อหมุนด้วยความเร็วมากถึงเพียงนั้น เครื่องจักรก็ย่อมสั่นและไม่เสถียร..
อีกทั้งสภาพร่างกายของหลิงหยุนเวลานี้ก็อ่อนล้าอย่างมากหลิงหยุนเปรียบเสมือนคนที่เบิกเงินเกินบัญชี หากเขายังฝืนใช้พละกำลังเกินจากที่มีไปเช่นนี้เรื่อยๆ ก็ไม่ต่างจากการเดินเข้าหาความตาย!
หรือหากไม่ตาย..ก็คงจะพลาดพลั้งกลายเป็นมารไปอย่างแท้จริง!
การข้ามเข้าสู่ขั้นต่อไปนั้นอาจใช้เวลาเพียงแค่ชั่วลมหายใจแต่เมื่อถึงวินาทีที่สำคัญยิ่งนั้น หากหลิงหยุนไม่สามารถควบคุมพลังปราณที่หมุนอย่างรวดเร็วนี้ได้ จุดตันเถียน และเส้นลมปราณของหลิงหยุนก็อาจจะแตกระเบิด และตายในที่สุด!
การฝึกตนบ่มเพาะนั้นนับว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายสวรรค์มากแล้วแต่นี่หลิงหยุนยังใช้วิชาที่สามารถเพิ่มศักยภาพของร่างกาย ทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นจากเดิมได้ถึงสิบเท่ามาใช้ในการต่อสู้ แต่ไม่เพียงเท่านั้น.. นี่เขายังจะใช้มันในการเร่งฝึกฝนเพื่อเข้าสู่ขั้นต่ออีกไปด้วย!
แต่เมื่อตัดสินใจแน่วแน่ที่จะใช้วิชาพลังมังกรหลิงหยุนก็จำเป็นต้องพยายามอย่างดีที่สุด ที่จะควบคุมพลังปราณภายในร่างกายให้ได้
แต่เมื่อตัดสินใจที่จะใช้วิชาพลังมังกรในการพัฒนาเข้าสู่ขั้นต่อไปหลิงหยุนก็จะต้องระมัดระวัง และควบคุมพลังปราณภายในร่างกายให้ดีที่สุด
ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกตนจนเกือบจะได้เข้าสู่ขั้นอมตะแต่ก็พลาดพลั้งต้องมาเกิดใหม่ในร่างของหลิงหยุนเช่นนี้ เขาจึงเข้าใจเรื่องการบ่มเพาะนี้ดีกว่าใครๆ และรู้ว่ามีอันตรายมากเพียงใด แต่เขาก็จำเป็นต้องทำ!
หลิงหยุนเชื่อมั่นว่า..ดวงจิตอันทรงพลังในขั้นที่ใกล้เข้าสู่อมตะของเขานั้น จะทำให้เขามีความชำนาญ และสามารถควบคุมพลังปราณของตนเอง ให้สามารถข้ามเข้าสู่ขั้นพลังชี่ได้โดยไม่ต้องกลายเป็นมาร..
แต่ถึงแม้ว่าจะพลาดพลั้งธาตุไฟแตกจนต้องกลายเป็นมารไปจริงๆหลิงหยุนก็ยังมั่นใจว่าเขาจะสามารถสังหารปีศาจภัยแล้ง เพื่อปกป้องคนที่เขารักไว้ได้ก่อนที่จะตาย!
และหากเขาต้องตายในครั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาชีวิตของทุกคนที่เขารักไว้นั่นก็นับว่าคุ้มค่ามากแล้ว!
แต่หากหลิงหยุนสามารถเข้าสู่ขั้นพลังชี่ได้สำเร็จแน่นอนว่าเขาจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก และได้รับประโยชน์อย่างมากมายมหาศาล หลิงหยุนจึงคิดว่ามันคุ้มค่าสำหรับเขาที่จะเสี่ยงอันตรายเช่นนี้!
ในเมื่อเกิดเป็นลูกผู้ชายหากตัดสินใจที่จะทำสิ่งใดแล้ว แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ ก็ไม่ควรนึกเสียใจ และจงมุ่งมั่นทำมันอย่างดีที่สุด และสุดความสามารถ!
“น้าหญิงเซียนเอ๋อ ข้าตัดสินใจแล้ว อย่าได้เกลี้ยกล่อมข้าอีกเลย ต่อให้เกิดปัญหาขึ้นจริง ก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนัก!”
“คืนนี้ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องสังหารปีศาจภัยแล้งตนนี้ให้ได้!”
“เอาล่ะ..เวลาก็ล่วงเลยไปมากแล้ว เซียนเอ๋อ.. เจ้าสร้างค่ายกลลวงตาไว้ อย่าให้คนข้างนอกรบกวนข้าได้!”
หลิงหยุนพูดยังไม่ทันจบประโยคดีเขาก็ใช้วิชาดูดลมปราณทำการดูดเอาพลังปราณของซือกงวู่จี๋และนักบวชเลียยื่อเข้าไปทันที!
ไป๋เซียนเอ๋อเห็นว่าหลิงหยุนได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วและรู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเกลี้ยกล่อมเขาต่อ จึงรีบสร้างค่ายกลงลวงตาขึ้นมาปกปิดร่างของหลิงหยุนไว้ อีกทั้งยังทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยให้กับหลิงหยุนอีกด้วย!
และทันทีที่ค่ายกลลวงตาถูกสร้างขึ้นร่างของหลิงหยุน และยอดฝีมือทั้งสองคนก็หายวับไปทันที!
“พลังปราณในขั้นเซียงเทียน-9ช่างแข็งแกร่งและบริสุทธิ์ยิ่งนัก!”
ภายในค่ายกลลวงตานั้นหลิงหยุนนั่งอยู่ในท่าขัดสามาธิ และกำลังดูดเอาพลังปราณของยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-9 ทั้งสองคนเข้าไปอย่างเต็มที่..
ระหว่างการต่อสู้นั้นแม้ว่าหลิงหยุนจะดูดซับเอาพลังปราณของยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนน-8 เข้าไปถึงสามคน แต่หลังจากที่ต่อสู้กับปีศาจภัยแล้ง พลังปราณของเขาก็ถูกใช้ไปมากจนเหลือไม่ถึงยี่สิบส่วนจากร้อย…
หากต้องการผ่านเข้าสู่ขั้นพลังชี่ความเร็วในการหมุนเวียนพลังปราณในร่างกายนั้นเป็นเรื่องสำคัญ แต่ปริมาณพลังปราณในร่างกายก็มีส่วนสำคัญมากด้วยเช่นกัน!
เปรียบเสมือนการยึดเมืองหากนำทหารไปเพียงไม่กี่คน ต่อให้เป็นทหารที่เก่งกาจที่สุด ก็ยากที่จะยึดเมืองได้ แต่หากนำกองกำลังทหารไปเป็นพันๆนาย การยึดเมืองก็เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก..
ด้วยเหตุนนี้..หลิงหยุนจึงได้เตรียมถังลมปราณระดับเริ่มต้นขั้นเซียงเทียน-9 ไว้ให้ตนเองถึงสองถัง และเพื่อป้องกันไม่ให้ยอดฝีมือทั้งสองต้องใช้ลมปราณไปมากมายนัก หลิงหยุนจึงเลือกที่จะจัดการกับคนทั้งคู่ให้จบในเวลาอันรวดเร็ว..
ซือกงวู่จี๋และนักบวชเลี่ยยื่อต่างก็ถูกตัดแขนตัดขาทิ้งทั้งคู่ ทำให้เสียเลือดไปมาก แม้จะได้รับการบำบัดรักษาด้วยยันต์บำบัดไปแล้ว แต่ก็ยังนับว่าอาการสาหัสอยู่ดี ทั้งคู่จึงอยู่ในอาการสลบไสลแน่นิ่ง..
แต่เมื่อหลิงหยุนเริ่มดูดเอาลมปราณของคนทั้งคู่เข้าไปพวกมันก็ถึงกับเจ็บปวดอย่างมากจนตื่นจากอาการสลบไสลทันที!
แต่ทั้งคู่ก็ทำได้เพียงแค่ตื่นขึ้นจากความสลบไสลเท่านั้นไม่สามารถทำอะไรมากไปกว่านี้ได้ เพราะแม้แต่ขยับเขยื้อนร่างกาย หรือกัดลิ้นตัวเองยังไม่สามารถทำได้เลย จึงทำได้เพียงแค่มองดูหลิงหยุนดูดเอาพลังปราณขั้นเซียงเทียนของตนเองเข้าไปเท่านั้น!
แววตาของทั้งคู่ที่มองหลิงหยุนนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ท้อแท้สิ้นหวัง และเคียดแค้น หากสายตาสามารถฆ่าคนได้ หลิงหยุนก็คงถูกสังหารตายไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว!
“เจ้าไม่ต้องมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นเจ้ารนหาที่ตายเอง! แล้วข้าเองก็ได้ขอบคุณเจ้าไปแล้ว!”
หลิงหยุนดูดลมปราณของยอดฝีมือทั้งสองคนอย่างสบายๆไม่รีบร้อนและหันไปมองซือกงวู่จี๋พร้อมพูดคุยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
ดวงตาของซือกงวู่จี๋ที่จ้องมองหลิงหยุนนั้นเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง เขากัดฟันกรอดพร้อมกับร้องตะโกนใส่หน้าหลิงหยุน
“หลิงหยุน..เจ้ามันชั่วช้ายิ่งนัก!”
ซือกงวู่จี๋ได้แต่นึกเสียดาย.. เขามีวิชาพลังมหามารที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนเองได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่น่าเสียดายที่หลิงหยุนไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ใช้พลังวิเศษนี้ตอบโต้ และเวลานี้ก็สายเกินไปแล้ว!
ซือกงวู่จี๋ได้แต่สาบแช่งหลิงหยุนอยู่ในใจ!
หลิงหยุนยิ้มอย่างเย้ยหยันพร้อมกับตอบไปว่า“ข้าชั่วช้างั้นรึ ก็อาจจะเป็นเช่นนั้น.. แต่หากเทียบกับเจ้าแล้ว ข้ายังชั่วช้าเป็นรองเจ้านัก! แต่ข้าเองก็ได้บอกกับเจ้าก่อนแล้วว่า หากเจ้าต้องการทุกอย่างที่เป็นของข้า เจ้าต้องเตรียมตัวจ่ายให้มากพอ!”
“ข้ายังบอกเจ้าอีกว่าข้าไม่ใช่คนโลภมากเหมือนอย่างเจ้า! ข้าไม่ต้องการสิ่งใดมากมาย ขอเพียงแค่ชีวิตเจ้าชีวิตเดียวเท่านั้นพอ! แต่พลังปราณที่บริสุทธิ์ของเจ้านั้น ข้าไม่สามารถปล่อยทิ้งให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ได้! แต่ข้ารับรองว่าจะใช้มันให้คุ้มทุกหยาดหยดเลยทีเดียว..”
จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปทางนักบวชเลี่ยยื่อที่อยู่อีกข้างพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เจ้าเองก็เช่นกัน..เจ้านักบวชชั่วช้า! เจ้าประกาศกร้าวว่าตนเองเป็นผู้ทรงศีลมีหน้าที่ปราบปีศาจ แต่ตัวเจ้าเองกลับเลี้ยงปีศาจภัยแล้งไว้ข้างกาย..”
“เจ้ามันคนชั่วช้าเห็นแก่ตัวใช้ปีศาจภัยแล้งฝึกบ่มเพาะเพื่อคอยดูดเอาพลังหยางจากตัวมันยังไม่พอ เจ้ายังพามันลงเขามาเพื่อสร้างความหายนะให้กับผู้อื่นอีก เช่นนี้แล้วยังกล้าอวดอ้างตนเป็นฝ่ายธรรมะอีกงั้นรึ!”
หลิงหยุนแสยะยิ้มและพูดต่อ“ในความคิดของเข้า.. เจ้ายังชั่วช้ากว่าซือกงวู่จี๋มากนัก! อย่างน้อยซือกงวู่จี๋ก็กล้ายอมรับว่าตนคือคนของพรรคมาร เขายังนับว่ามีศักดิ์ศรีเหนือกว่าเจ้าหลายขุมนัก!”
นักบวชเลี่ยยื่อสัมผัสได้ว่าพลังหยางในร่างกายของตนเองนั้นถูกดูดไปอย่างรวดเร็วแต่จู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า
“ผู้ชนะคือราชา!ข้าไม่มีอะไรจะพูด แต่ข้าขอบอกเจ้าไว้ว่าหากข้าตาย ปีศาจภัยแล้งตนนั้นจะไม่มีผู้ใดควบคุมได้อีก ถึงตอนนั้นทุกคนในที่นี้จะต้องตายกันหมด รวมทั้งเจ้าด้วย!”
หลิงหยุนรู้สึกราวกับกำลังฟังเรื่องที่ตลกขบขันที่สุดในโลกเขาหัวเราะออกมาอย่างนึกหยัน
“เจ้าจิ้งจอกเฒ่า..เจ้าไม่ต้องกลัวไป ข้าจะยังไม่รีบสังหารเจ้า! ข้าจะให้เจ้ามีชีวิตอยู่ได้ดูว่าข้าสังหารปีศาจภัยแล้งตายได้เช่นใด”
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็คร้านที่จะพูดจาไร้สาระอีกต่อไป เขานั่งหลับตาและดูดเอาพลังปราณของทั้งสองคนเข้าไปอย่างต่อเนื่อง..
นับว่าเป็นความโชคดีที่หลิงหยุนฝึกวิชาพลังลับหยิน-หยางเพราะเวลานี้ถังลมปราณคนหนึ่งก็ฝึกวิชาจากพลังหยางบริสุทธิ์ซึ่งก็คือนักบวชเลี่ยยื่อ ส่วนอีกคนก็ฝึกด้วยพลังหยินบริสุทธิ์ซึ่งก็คือซือกงวู่จี๋ และลมปราณขั้นเซียงเทียน-9 ของทั้งคู่นั้นก็บริสุทธิ์มาก ทำให้เมื่อดูดเข้าไปแล้ว ร่างกายของหลิงหยุนสามารถดูดซับไปตามส่วนต่างของร่างกายได้ในทันที
ต้องยอมรับว่าพลังปราณของยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-9นั้นมีมากมายเหลือเฟือจริงๆ หลิงหยุนใช้เวลาดูดไปนานถึงสามนาที ก็เต็มจุดตันเถียนของตนเองแล้ว และท้ายที่สุดลมปราณของทั้งคู่ก็ลดลงมาเหลืออยู่ในขั้นเซียงเทียน-1 เท่านั้น!
ครั้งนี้นับว่าเป็นความตกต่ำของยอดฝีมือทั้งสองคนอย่างแท้จริง!แต่ถึงกระนั้นก็ยังดีกว่าที่ไม่มีพลังปราณเหลืออยู่เลย เพราะหากทั้งคู่ยังไม่ตาย ก็มีโอกาสที่จะฝึกฝนจนจนสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9 เช่นเดิมได้..
เพียงแต่หลิงหยุนจะไม่ปล่อยให้ทั้งคู่ได้มีชีวิตรอดไปถึงพรุ่งนี้เช้าได้ต่างหากเล่า!
สิ่งนี้เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าจุดตันเถียนของหลิงหยุนนั้นน่าอัศจรรย์มากเพียงใด ที่สามารถรองรับพลังปราณของยอดฝีมือขันเซียงเทียน-9 ได้ถึงสองคนโดยไม่เป็นอะไร..
.novel-lucky.
“น่าเสียดายที่ไม่สามารถดูดพลังปราณของพวกเจ้าเข้าไปได้หมด!”
หลิงหยุนพึมพำออกมาอย่างนึกเสียดายและในที่สุดก็ถอนฝ่ามือออกจากจุดตันเถียนของคนทั้งคู่ และเวลานี้เขาก็รู้สึกว่าจุดตันเถียนที่กว้างใหญ่ราวกับท้องทะเลของตนนั้น มีพลังปราณอยู่เต็มไปหมด และกำลังหมุนเวียนไปตามเส้นลมปราณ และจุดฝังเข็มต่างๆทั่วร่างกาย พลังปราณได้แทรกซึมไปทั่วทุกรูขุมขน และทุกอณูในร่างกายของเขา..
หลิงหยุนไม่เคยรู้สึกว่าทั่วทั้งร่างกายมีพลังเต็มเปี่ยมเช่นนี้มาก่อนเขาจึงมั่นใจอย่างมากในการที่จะพัฒนาเข้าสู่ขั้นต่อไป!
หลิงหยุนเหลือบมองไปยังร่างที่นอนสิ้นหวังและเจ็บปวดทั้งสองร่างพร้อมกับพูดขึ้นยิ้มๆ
“ไม่ว่าอย่างไร..ข้าก็ต้องขอบคุณพวกเจ้าสองคนอีกครั้ง และเพื่อเป็นการแสดงความซาบซึ้งใจ ข้ารับปากว่าจะให้พวกเจ้าได้ตายอย่างไม่ต้องเจ็บปวด!”
“เอาล่ะ..เพื่อให้พวกเจ้าสองคนไม่สามารถรบกวนข้าได้ในระหว่างที่ฝึกฝนเพื่อเข้าสู่ขั้นต่อไป พวกเจ้าควรต้องพักผ่อนเสียก่อน!”
หลิงหยุนทำการปล่อยลมปราณผ่านปลายนิ้วจัดการสกัดจุดสำคัญของทั้งสองคนไว้ แล้วทั้งคู่ก็สลบไปในพริบตา..
และเพื่อให้ถูกต้องตามขั้นตอนหลิงหยุนใช้เวลาอีกราวสามนาทีในการเดินลมปราณภายในร่างกาย ภายในสามนาทีนี้หลิงหยุนสามารถโคจรลมปราณได้ถึงสิบสองรอบใหญ่จนกระทั่งมั่นใจว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว! นั่นหมายความว่าภายในหนึ่งนาที หลิงหยุนสามารถเดินลมปราณทั่วร่างกายได้ถึงสี่รอบใหญ่!
ความเร็วในการหมุนเวียนของลมปราณที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้จะช่วยให้หลิงหยุนสามารถเข้าสู่ขั้นพลังชี่ได้อย่างไม่ต้องสงสัย..
เวลานี้การจะทะลุทะลวงเข้าสู่ขั้นต่อไปคงจะไม่ใช่ปัญหาอะไรมีเพียงแค่ต้องคอยควบคุมไม่ให้เกิดความผิดพลาด จนตนเองต้องกลายเป็นมารไปเท่านั้นเอง! และนี่คือจุดสำคัญที่ต้องระมัดระวัง!
จากนั้น..หลิงหยุนก็เริ่มนั่งขัดสมาธิ ปิดสัมผัสการรับรู้ทั้งห้า และเข้าสู่สภาวะที่ลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วค่อยๆเดินพลังปราณทั้งหมดภายในร่างกายเพื่อทะลวงเข้าสู่ขั้นต่อไป..
ตูม!
ภายใต้พลังปราณที่รุนแรงในร่างกายในที่สุดเส้นลมปราณเยิ่น และเส้นลมปราณตูของหลิงหยุนก็เปิดออก..
การที่จะทะลุทะลวงจากขั้นปรับร่างกายเข้าสู่ขั้นพลังชี่ด้วยวิธีการบ่มเพาะที่หลิงหยุนฝึกนั้นก็ไม่ต่างจากที่ชาวยุทธในโลกนี้จะก้าวจากขั้นโฮ่วเทียนไปสู่ขั้นเซียงเทียนเลย สิ่งสำคัญที่สุดคือการเปิดเส้นลมปราณเยิ่นกับเส้นลมปราณตูเสียก่อน!
เส้นลมปราณเยิ่นคือเส้นทางเดินของพลังหยินและเส้นลมปราณตูคือเส้นทางเดินของพลังหยาง..
จากนั้นจึงทำการเชื่อมต่อกันระหว่างเส้นลมปราณเยิ่นกับเส้นลมปราณตูเพื่อให้พลังปราณทั้งสองสามารถโคจรหมุนเวียนหลอมรวมกลมกลืนกัน ประหนึ่งมนุษยชาติได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาตินั่นเอง..
แต่ร่างกายของหลิงหยุนนั้นแตกต่างจากผู้อื่นต่อให้ไม่มีการเปิดเส้นลมปราณเยิ่นกับเส้นลมปราณตู วิชาพลังลับหยิน-หยาง และจุดตันเถียนที่อัศจรรย์ของเขา ก็สามารถสร้างพลังหยิน และหยางให้สมดุลได้เอง ดังนั้นการเปิดเส้นลมปราณเยิ่นกับเส้นลมปราณตู จึงไม่ใช่จุดประสงค์สุดท้ายของหลิงหยุน!
ขั้นพลังชี่นั้นคือการใช้พลังปราณบ่มเพาะจิตวิญญาณและจุดหมายที่แท้จริงของหลิงหยุนนั้นก็อยู่ที่หว่างคิ้วของ
เขา!
หลังจากที่หลิงหยุนทำการเปิดเส้นลมปราณเยิ่นและเส้นลมปราณตูแล้ว ก็ไม่ต่างจากการเปิดประตูเขื่อน พลังปราณในร่างกายต่างก็พากันไหลเวียนรุนแรง และรวดเร็วกว่าเดิมถึงสามเท่า!
และในเวลานั้นเอง..หลิงหยุนก็เริ่มควบคุมพลังปราณที่ไหลเวียนอย่างรุนแรงนี้ได้ลำบากขึ้นมาก ทั้งศรีษะและหน้าผากของเขามีเหงื่อไหลออกมาเต็มไปหมด หลิงหยุนกัดฟันแน่น และพลังข่มความเจ็บปวดที่เกิดจากพลังปราณที่รุนแรงนี้..
นับว่าเป็นผลสืบเนื่องมาจากการฝึกวิชาดาราคุ้มกายจนเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นที่สองเส้นลมปราณของหลิงหยุนจึงค่อนข้างหนาและแกร่ง..
ไม่เช่นนั้น..หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นที่อยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกันนี้ ก็คงไม่สามารถทนทานต่อพลังปราณที่รุนแรงนี้ได้ จนเส้นลมปราณฉีกขาดไปแล้ว!
หลิงหยุนพยายามอดทนต่อความเจ็บปวดอย่างที่สุดเขาพยายามควบคุมความรุนแรงของพลังปราณที่ไหลเวียนอยู่ให้มันพุ่งไปที่หว่างคิ้ว!
เวลานี้พลังหยินและหยางในร่างกายของเขานั้น ไม่ต่างจากมังกรขาว และมังกรดำที่แข็งแกร่ง อีกทั้งยังมีมังกรทองวิ่งคั่นกลางควบคู่ไปด้วย และมังกรทั้งสามก็กำลังพุ่งตรงเข้าสู่หว่างคิ้วของหลิงหยุน!
ตูม!
ในที่สุดพลังปราณทั้งสามสายก็สามารถทะลวงเข้าสู่จุดหว่างคิ้วของหลิงหยุนได้ และผลที่ตามมาคือ หลิงหยุนรู้สึกราวกับกำลังถูกเข็มจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนทิ่มแทงไปทั่วร่างกาย จนเกิดความเจ็บปวดอย่างที่ยากจะทานทนได้!
แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนก็กัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวด และพยายามควบคุมจิตใจของตนเองให้มั่นคง!
และในช่วงเวลาที่อันตรายเช่นนี้หากหลิงหยุนขาดสติไปแม้เพียงแค่เสี้ยววินาทีเพราะความเจ็บปวดที่รุนแรงนี้ จนไม่สามารถควบคุมพลังปราณได้ เขาก็จะกลายเป็นมารไปในทันที!
แต่ดวงจิตที่เคยผ่านด่านทดสอบขั้นอมตะมานั้นย่อมแข็งแกร่งอย่างมากเป็นพิเศษทำให้หลิงหยุนยังสามารถครองสติของตนเองไว้ได้..
เวลานี้หลิงหยุนเพียงแค่ต้องอดทนรอให้พลังปราณที่รุนแรงนี้อ่อนกำลังลง และเมื่อถึงตอนนั้นทุกอย่างก็จะสำเร็จไปได้ด้วยดี!
แต่ในระหว่างที่หลิงหยุนกำลังอดทนรออยู่นั้นพลังทั้งสามสายที่พุ่งขึ้นสู่จุดหว่างคิ้วนั้นก็ยังไม่ยอมหยุดเพียงแค่นั้น แต่ยังพุ่งทะลุหน้าผากของหลิงหยุนออกไป และในขณะที่พลังทั้งสามหมุนวนเพื่อจะกลับเข้าไปในจุดหว่างคิ้วคืนนั้น พลังอมตะสีทองก็พุ่งออกมาขัดขวางไว้ทันที!
พลังอมตะสีทองที่ครอบครองพื้นที่ในจุดหว่างคิ้วของหลิงหยุนนั้นทำตัวไม่ต่างจากอันธพาล ไม่เพียงต้านทานไม่ให้พลังทั้งสามกลับเข้ามาได้แล้ว พลังอมตะสีทองยังเคลื่อนเข้าสู่จุดตันเถียนของหลิงหยุนอย่างรวดเร็ว และทำให้ลมปราณภายในร่างกายของหลิงหุยนหมุนเวียนอีกสิบสองรอบใหญ่ ก่อนจะไหลกลับเข้าไปที่หว่างคิ้วเช่นเดิม..
หลังจากนั้นพลังอมตะสีทองจึงยอมให้พลังหยิน พลังหยาง และปราณมังกร กลับเข้าสู่จุดหว่างคิ้วของหลิงหยุน และเริ่มหล่อเลี้ยงจิตหยั่งรู้ของเขา!
ตูม!
และในที่สุด..หลิงหยุนก็สามารถผ่านเข้าสู่ขั้นพลังชี่ได้สำเร็จ อีกทั้งยังได้ลิ้มรสความสดชื่นอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน!
“สวรรค์!แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวรึ” หลิงหยุนรำพึงรำพันออกมาด้วยความประหลาดใจ!
แต่ยังมีสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจยิ่งกว่านั้นรออยู่..
สิ้นเสียงระเบิดภายใน..จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนก็ขยายของเขตการรับรู้ออกไปไกลถึงหนึ่งหมื่นเมตร เรียกได้ว่าในรัศมีสิบกิโลเมตร หลิงหยุนสามารถรับรู้ได้ราวกับมองเห็นด้วยตาตัวเอง!
หลิงหยุนรู้ว่า..วิชาพลังมังกรของเขานั้นยังคงใช้งานได้อยู่ ทำให้จิตหยั่งรู้ของเขาเวลานี้ขยายจากเดิมได้อีกสิบเท่า นั่นเท่ากับว่าจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนเวลานี้อยู่ในรัศมีหนึ่งร้อยกิโลเมตร!
หลิงหยุนคิดไม่ถึงว่าหลังจากเข้าสู่ขั้นพลังชี่แล้ว จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ และรู้สึกพอใจอย่างมาก!
เมื่อจิตหยั่งรู้ของตนเองแข็งแกร่งและทรงพลังถึงเพียงนี้หลิงหยุนกำลังคิดที่จะสำรวจดูภายในร่างกายของหตนเองอีกครั้ง!