บทที่ 539 เขาไม่สามารถชนะได

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

ขณะที่เย่เทียนและหลู่อี้เจอกันนั้น ตู้เคอหลินก็ได้กลับมายังที่ส่วนตัวของเขาบนเกาะนกนางนวล แม้ว่าจะผ่านมาระยะหนึ่งแล้วแต่สีหน้าของเขาก็ยังคงซีดเผือดอยู่

บนเกาะนกนางนวลแห่งนี้ไม่เคยมีใครทำให้เขาต้องเสียหน้า ใครๆก็ต่างพากันเรียกคุณชายตู้กันอย่างเคารพสรรเสริญ?

อย่างไรก็ตามในวันนี้ได้มีชายที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าปรากฏตัวและกล้ามาหักหน้าเขา หากไม่นำศักดิ์ศรีนี้กลับมาแล้วเขาจะมีหน้าอยู่บนเกาะนกนางนวลได้อย่างไร?

“คุณชายตู้ ทำไมสีหน้าถึงดูไม่ได้เช่นนี้?คงไม่ได้ไม่สบายหรอกใช่ไหม?”

ชายหยาบกร้านร่างใหญ่รวมตัวกันเล่นโป๊กเกอร์อยู่ เมื่อสังเกตเห็นตู้เคอหลินเพิ่งเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นจึงถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง

“ป่วยแม่มึงน่ะสิ!”

ตู้เคอหลินยังคงหงุดหงิดเป็นอย่างมาก จะไปอารมณ์ดีได้อย่างไรกัน เขาสบถคำพูดหยาบคายกลับไป

“คุณชายตู้ คุณไม่ได้ไปประมูลหรอกเหรอครับ?มีใครทำอะไรให้คุณต้องขุ่นเคืองใจงั้นเหรอ?พวกเราจะไปตัดตอนมันเดี๋ยวนี้!”

ชายหยาบกร้านสองสามคนที่นั่งเล่นไพ่อยู่ตระหนักถึงสิ่งนี้ดี พวกเขาต่างมองหน้ากันพร้อมกับวางไพ่ลงและคำรามร้องออกมาอย่างผีห่าซาตาน

“ไม่รู้ว่าเป็นพวกอันธพาลจากไหนก็ไม่รู้ถึงได้มากล้าแย่งการประมูลกับฉัน สร้อยคอเส้นเดียวแต่กลับประมูลไปตั้งหนึ่งร้อยสามสิบล้าน น่าโมโหจริงๆ”

“แถมยังมีเสี้ยงเหวินหมารับใช้ตัวนั้นอีกที่กล้าลำเอียงไอ้เด็กเวรนั่น จงใจใช้หลู่อี้มากดดันฉัน ปล่อยมันไปไม่ได้จริงๆ!”

ตู้เคอหลินถือโอกาสหยิบแอลกอฮอล์ออกมาหนึ่งขวดและกระดกลงท้องไปหลายอึกก่อนที่จะกัดฟันค่อนแคะออกมา

“นี่……..”

ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ชายหยาบกร้านร่างใหญ่ที่กำลังโห่ร้องอยู่ก็ถึงกับต้องปิดปาก

แม้ว่าพวกเขาจะเชื่อฟังคำสั่งของตู้เคอหลินแต่พวกเขาก็ไม่ใช่คนบ้า แม้ว่าจะจัดการเอาเถ้าแก่ใหญ่อย่างหลู่อี้ออกไปได้และไปปะทะกับอีกฝ่ายที่ยอมควักเงินถึงหนึ่งร้อยสามสิบล้าน ต่อให้เป็นสมองหมูก็คงรู้ดีว่ามันคงเป็นเรื่องใหญ่มากเป็นแน่

หากต้องการจัดการเก็บกวาดคนรุ่นที่สองเช่นนี้ หากอีกฝ่ายทำให้เป็นเรื่องใหญ่และมาสอบสวนก็คงหนีไม่พ้นตู้เคอหลินอยู่ดี แล้วพวกเขาจะหนีพ้นเหรอ?

“คุณชายตู้ ยังไงซะมันก็เป็นเรื่องที่งานประมูล เดิมทีคนที่เสนอราคาสูงก็ต้องเป็นคนที่ได้อยู่แล้ว พวกเรา….. ”

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ชายหยาบกร้านร่างกำยำก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองกัน จากนั้นก็มีคนลุกยืนขึ้นมาในทันใด

“พวกนายหมายความว่ายังไง?!”

“พวกแกนี่มันไร้ประโยชน์จริงๆ ทุกๆวันกินของของฉัน ใช้ของของฉันแล้วพอตอนนี้ถึงเวลาที่ฉันต้องการใช้งานกลับมาทำตัวขี้ขลาดแบบนี้น่ะเหรอ?!”

“คุณชายตู้ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ความหมายของพวกเราคือ…..”

เมื่อเห็นตู้เคอหลินที่ดูโกรธ ชายหยาบกร้านร่างใหญ่หลายคนต่างก็พากันตื่นตระหนกและพยายามอธิบายออกไป

“ไม่จำเป็นต้องมาอธิบายอะไรกับฉัน หรือว่าพวกแกไม่เคยได้ยินประโยคที่ว่าอธิบายเพื่ออำพรางอย่างนั้นเหรอ?”

น่าเสียดายที่ตู้เคอหลินไม่ยินยอมที่จะฟังพวกเขาพูดแต่อย่างใด เขาพูดด้วยใบหน้าที่โหดเหี้ยมว่า “อย่ามาโทษว่าฉันพูดจาน่าเกลียด ฉันเสียเงินไปมากเพื่อเลี้ยงดูพวกแก หากฉันเอาศักดิ์ศรีนี้กลับคืนมาไม่ได้ พวกแกก็เตรียมตัวสำรอกเอาเงินฉันออกมาได้เลย!”

“นี่……”

ชายหยาบกร้านร่างใหญ่ไม่กี่คนยิ้มออกมาอย่างขมขืื่นพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกมา “คุณชายตู้ วางใจได้เลยครับ เราจะเรียกประชุมทีมและเอาคืนให้คุณให้ได้!”

ขณะเดียวกัน เย่เทียนก็ได้ลาหลู่อี้และกลับไปที่โรงแรมที่พักอยู่

เมื่อเห็นว่าเขากลับมาอย่างปลอดภัย เฉินหวั่นชิงที่ใจเป็นกังวลก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

ระหว่างทางกลับ เจ๊หยกกับเซ่อันก็ได้พูดให้เธอฟังถึงความใจแคบของตู้เคอหลินหรือแม้แต่การยกตัวอย่างออกมาหลายอัน

หลังจากรู้พฤติกรรมแย่ๆของตู้เคอหลินแล้ว เฉินหวั่นชิงก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลเย่เทียน

แม้ว่าเธอจะรู้ว่าเย่เทียนต่อสู้ได้ แต่ก็มีสำนวนที่พูดไว้ อย่าเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง ใครจะไปรู้ล่ะว่าคนไม่ดีอย่างตู้เคอหลินจะไปทำเรื่องอะไร

“เย่เทียน เช่นนั้นเราควรกลับกันก่อนกำหนดดีไหม?”

เฉินหวั่นชิงแนะนำเย่เทียนอย่างเป็นกังวล

เย่เทียนยิ้มพร้อมกับส่ายหัว “ทำไมต้องกลับก่อน?ยังถ่ายรูปแต่งงานไม่เสร็จเลยนะ!”

“นายยังจะมาถามฉันอีกเหรอ?”

เฉินหวั่นชิงขดริมฝีปากอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก “ฉันได้ยินเซ่อันกัยเจ๊หยกพูดมา ตู้เคอหลินเป็นเศรษฐีรุ่นที่สองที่ถูกเลี้ยงมาจนนิสัยเสีย นายดันไปหักหน้าเขาที่การประมูลก่อนหน้านี้ เขาคงไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆแน่”

“ฉันรู้ว่านายไม่กลัวแต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นเกาะนกนางนวล เป็นอาณาเขตของเขา พวกเราก็ควรจะระวังตัวเสียหน่อย!”

“เธอนี่นะ!”

เย่เทียนหัวเราะออกมาอย่างโง่เขลาพร้อมกับก้าวไปสองสามก้าวและจับข้อมือเรียวขาวของเฉินหวั่นชิง เขามองไปที่เฉินหวั่นชิงอย่างจริงใจ “หรือว่าเธอไม่รู้ความสามารถของผู้ชายของเธองั้นเหรอ?วางใจเถอะ มีฉันอยู่ทั้งคน ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”

“แต่ว่า…….”

แม้ว่าจะพูดเช่นนี้แต่เฉินหวั่นชิงก็ยังคงเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย

“พวกเราก็ทำตามแผนกำหนดที่วางเอาไว้นั่นแหละ รอถ่ายรูปแต่งงานเสร็จแล้วค่อยไป”

ไม่ทันรอให้เฉินหวั่นชิงพูดจบ เย่เทียนก็ได้ส่ายหัวขัดจังหวะพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น “เธออย่าคิดมากไปเลย ตู้เคอหลินไม่สามารถสร้างปัญหาอะไรได้หรอก”

เมื่อมองดูท่าทางที่ดูมั่นใจของเย่เทียนที่ดูเหมือนมีวิธีจัดการกับเรื่องนี้จริงๆ เฉินหวั่นชิงจึงไม่ได้พูดอะไรต่ออีก

ยังไงซะตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา เย่เทียนก็ไม่เคยทำอะไรให้เธอผิดหวังและไม่เคยทำให้เธอต้องรู้สึกไม่ปลอดภัยแต่อย่างใด

ในอีกห้องหนึ่งของโรงแรม เจ๊หยกที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จก็ได้ใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดผมที่เปียกชุ่มพร้อมกับเดินไปที่ด้านข้างของเซ่อัน

“หากเย่เทียนกับเฉินหวั่นชิงไม่ยอมไปและขอถ่ายรูปแต่งงานตามแผนเดิมที่วางไว้ นายจะทำอย่างไร? ”

เจ๊หยกนั่งลงพร้อมกับถามเซ่อันอย่างสงสัย

สำหรับปัญหานี้ เซ่อันเองก็สับสนอยู่พักหนึ่งแต่ก็ยังไม่สามารถตัดสินใจได้อยู่ดี

หากไม่ไป ก็เป็นไปได้เป็นอย่างมากว่าคงต้องแหลกกันไปข้าง แต่หากเลือกที่จะจากไปก็จะพลาดการแสดงดีๆอย่างไม่ต้องสงสัย

“นายคิดว่าหากเย่เทียนกับตู้เคอหลินเปรียบเทียบกัน ใครจะชนะและใครจะแพ้?”

เซ่อันที่เลือกไม่ได้ก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่นพร้อมกับหันไปสบตาเจ๊หยก

“ยังต้องถามด้วยเหรอ?”

เจ๊หยกส่ายหัวและพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ถึงแม้ว่าเย่เทียนจะไม่ธรรมดาแต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะยิ้มได้ถึงตอนสุดท้ายหรอกนะ!”

นี่ไม่ใช่เพียงแนวคิดของเจ๊หยกแต่เป็นแนวคิดของคนส่วนใหญ่ที่เข้าใจทั้งสองฝ่าย

ท้ายที่สุด ตู้เคอหลินก็เป็นถึงคุณชายใหญ่ของตู้ซื่อกรุ๊ปแห่งเมืองจินแถมยังมีรากฐานของตัวเองบนเกาะนกนางนวลแห่งนี้อีก หากเอามาเทียบกับเย่เทียนที่เป็นคนนอกแล้วก็คงมีโอกาสชนะมากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

“เป็นไปได้ไหมที่เย่เทียนจะไม่มีทางเอาชนะได้เลย?”

เซ่อันถามออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก

“หากอยู่ที่อื่นล่ะก็ฉันเชื่อว่าเย่เทียนจะสามารถระเบิดลูกชายผู้มีเงินทองอย่างตู้เคอหลินกระเด็นไปได้ แต่หากอยู่บนเกาะนกนางนวลแห่งนี้ ฉันไม่คิดว่าเย่เทียนจะเอาชนะได้เลย”

เจ๊หยกกล่าวอย่างหนักแน่น “ตู้เคอหลินใช้เวลาสองสามปีคลุกคลีบนเกาะนกนางนวลเลยนะ ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเล่นหรือแม่แต่คนท้องถิ่นบนเกาะนกนางนวล ไม่ว่าใครก็ตามหากไปทำให้คนของตู้เคอหลินขุ่นเคืองใจล่ะก็มักจะมีจุดจบที่ไม่ดีทั้งนั้นแหละ!