อวี้เฟยเยียนนอนอยู่บนอกของซย่าโหฉิงเทียน กล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
ในตอนที่ซย่าโหวฉิงเทียนยังเป็นเสี่ยวฉิงฉิงอยู่นั้น คนทั้งสองเคยร่วมเรียงเคียงหมอนกันมาแล้ว
ในตอนนั้นเขายังเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ส่วนนางยิ่งไม่รู้เรื่องรู้ราวใดเข้าไปใหญ่!
มาตอนนี้ ที่เบื้องหน้านางคือชายหนุ่มรูปงามทั้งยังเป็นชายที่ตนเองชอบ ตอนนี้ทั้งนางและเขาอยู่ในท่าทางที่แนบชิดสนิทสนม จะไม่ให้หัวใจอวี้เฟยเยียนคึกคะนองราวกับม้าศึกได้อย่างไรกัน มันยากเย็นเสียยิ่งกว่าสิ่งใด!
“เช่นนั้นพี่เล่านิทานให้เจ้าฟังดีกว่า”
ซย่าโหวฉิงเทียนลูบหลังอวี้เฟยเยียนเป็นจังหวะแผ่วเบา ราวกับกำลังกล่อมเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น ทำให้อวี้เฟยเยียนทั้งสบายและผ่อนคลายอย่างที่สุด
“ท่านเล่าเรื่องเมื่อครั้งที่ท่านอยู่ที่ฉินจื้อให้ข้าฟังหน่อยสิ!”
อวี้เฟยเยียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีดำขลับราวหินภูเขาไฟของนาง จ้องมองที่ใบหน้าซย่าโหวฉิงเทียน
“ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วสับเปลี่ยนสถานะกับตัวประกันได้อย่างไร เล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ! ข้าอยากเข้าใจท่านให้มากยิ่งขึ้น…”
“ได้!”
ซย่าโหวฉิงเทียนพยักหน้า
“ปีนั้น พี่อายุสี่ปี คนที่ปกป้องคุ้มครองดูแลพี่ จนหนีมาได้คือบ่าวใบ้ไร้ชื่อแซ่คนหนึ่ง ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเพียงบ่าวที่อยู่ในตระกูลซย่าโหวแต่ก็ดีกับพี่ยิ่งนัก เมื่อเขารู้ว่าซย่าจื่ออวี้ต้องการฆ่าพี่ เขาก็พาพี่หลบหนีข้ามวันข้ามคืนจนออกมาได้”
“ต่อมา เพื่อที่จะหลอกล่อกลุ่มคนที่ตามฆ่าพี่ไปอีกทาง บ่าวใบ้ผู้นั้นซ่อนพี่เอาไว้ในกองฟืน ส่วนตัวเองก็วิ่งไปอีกทาง หลังจากนั้นเขาก็ไม่กลับมาอีกเลย…”
เมื่อเล่าถึงตรงนั้น รอบกายซย่าโหวฉิงเทียนก็อบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความเศร้าโศก
อวี้เฟยเยียนเองก็สามารถเดาได้เลยว่า บ่าวใบ้ผู้นั้นคงจะเจอเหตุร้ายมากกว่าดีเป็นแน่!
นางยื่นมือไปโอบเอวซย่าโหวฉิงเทียนเอาไว้ ส่งกำลังใจให้กับเขาผ่านการกระทำ
“จนกระทั่งพี่ออกมาจากกองฟืน ก็ตามหาเขาอยู่นาน จนในที่สุดก็พบศพของบ่าวใบ้ผู้นั้นในบึงน้ำ”
“หลังจากนั้นพี่ก็เข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านคนเลี้ยงแพะ พี่ซ่อนตัวอยู่ในกองขนแพะเพื่อให้ความอบอุ่น หิวก็ดื่มนมแพะ ง่วงก็นอนหลับเบียดอัดกันกับแพะ”
“หลังจากนั้นพี่ก็ติดตามมากับกลุ่มพ่อค้า จนมาถึงแผ่นดินฉินจื้อนี่ แล้วก็เข้ามาอยู่ในจวนตัวประกันโดยไม่ได้ตั้งใจ และแล้วก็ได้พบกับตัวประกันที่มีตำแหน่งเป็นถึงอ๋อง”
“เขารูปร่างผอมบาง ผมเป็นสีเหลือง พูดจาเชื่องช้าทว่าเขากลับมีจิตใจดียิ่งนัก น่าเสียดายที่คนดีมักจะอายุสั้น ฤดูใบไม้ผลิยังมิทันมาถึงเขาก็ป่วยตายเสียแล้ว”
“ก่อนตายเขาได้ขอร้องพี่ว่า เขาไม่อยากถูกฝังกลบลงใต้ดิน เพราะทำเช่นนั้นเขาจะมิอาจกลับคืนแผ่นดินเกิดได้อีกต่อไป ดังนั้นพี่จึงเผาร่างของเขาจนกลายเป็นเถ้าถ่านเก็บใส่ไว้ในโกศ เมื่อพี่กลับไปยังต้าโจว จึงได้พาเขากลับมาด้วย…”
ซย่าโหวฉิงเทียนใช้ภาษาง่ายๆ เพียงไม่กี่ประโยคก็สามารถบรรยายเรื่องราวที่ตนเองได้ประสบพบเจอมาออกมาได้ทั้งหมดอย่างครบถ้วน
ถึงแม้เขาจะพูดเพียงไม่กี่ประโยค แต่อวี้เฟยเยียนก็สัมผัสได้ถึงความอันตรายที่เด็กสี่ขวบเช่นซย่าโหวฉิงเทียนต้องเผชิญในตอนนั้นได้ดี
ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร ทั้งยังมีคนไล่ฆ่าตามหลัง…
เด็กน้อยอายุเพียงสี่ขวบมีชีวิตรอดมาได้ ช่างมหัศจรรย์เสียจริงๆ!
โชคดีที่ข้างกายของเขายังมีคนดีอยู่บ้าง!
“ซย่าโหวฉิงเทียน ข้าจะดีกับท่านให้มากจริงๆ นะ!”
อวี้เฟยเยียนขยับเข้าไปใกล้เขา แล้วกระซิบแผ่วเบา
“แมวน้อยจอมโง่!”
ซย่าโหวฉิงเทียนหันกลับมาหาอวี้เฟยเยียนแล้วจูบที่ริมฝีปากนาง เมื่อเห็นหางตานางที่แดงก่ำเพียงเล็กน้อย ทว่าใจเขากลับเจ็บจี๊ด
“มันผ่านไปแล้ว พี่ก็สบายดีอยู่ตรงนี้ ขอเพียงเจ้าอยู่เคียงข้างพี่ ก็ดีกว่าอะไรทั้งสิ้น! อย่างร้องไห้นะ…”
“ข้าไม่ได้ร้องไห้สักหน่อย!”
อวี้เฟยเยียนกล่าวเสียงอู้อี้ แล้วซุกหน้าลงที่ลำคอของซย่าโหวฉิงเทียน
ถึงแม้ว่านางจะพูดเช่นนั้น แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยังรู้สึกถึงความอุ่นร้อนของหยาดน้ำตาที่ไหลรดลงบนผิวของเขา
“แมวน้อยจอมโง่เอ้ย…”
ซย่าโหวฉิงเทียนพลิกกายขึ้นมาอยู่ด้านบน แล้วกดอวี้เฟยเยียนเองไว้ใต้ร่าง จ้องมองนางตรงๆ
จริงดั่งที่คาด ดวงตานางแดงก่ำบวมช้ำ ราวกับตากระต่ายน้อยก็ไม่ปาน ซึ่งยิ่งทำให้ผิวอวี้เฟยเยียนซีดขาวเข้าไปอีก
“เจ้าหลั่งน้ำตา ทำให้ใจพี่เจ็บปวดยิ่งนัก!”
ซย่าโหวฉิงเทียนจูบซับน้ำตาที่หางตาอวี้เฟยเยียน ซับเอาน้ำตาลงไปทีละหยดทีละหยด
รสชาติขมแกมฝาด ที่แท้น้ำตารสชาติเป็นเช่นนี้นี่เอง
นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนหลั่งน้ำตาเพื่อเขา ซย่าโหวฉิงเทียนจูบซับน้ำตาให้กับอวี้เฟยเยียนด้วยความซาบซึ้งใจ ราวกับต้องการจะสลักความรู้สึกนั้นเอาไว้ในหัวใจตราบนานเท่านาน
เดิมทีอวี้เฟยเยียนตั้งใจจะปลอบประโลมซย่าโหวฉิงเทียน แต่ท้ายที่สุดกลับเป็นซย่าโหวฉิงเทียนเองที่ต้องปลอบโยนนาง
ทว่าภายหลังจากการปลอบโยนซึ่งกันและกัน กลับกลายเป็นการจุมพิตอันเร่าร้อนเข้ามาแทนที่
แน่นอนว่าเมื่อถึงช่วงสำคัญ ซย่าโหวฉิงเทียนควบม้าจนถึงยอดผาแล้วก็หยุดชะงักลง
“แมวน้อย พี่ทรมานเหลือเกิน…”
ใบหน้าซย่าโหวฉิงเทียนแดงก่ำ เขากำลังจับจ้องมองใบหน้าที่แดงซ่านของอวี้เฟยเยียน
เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนพูดเช่นนี้ ทำเอาดวงหน้ารูปไข่ของนางแดงซ่านราวกับลูกท้อสุกหวานเชื่อมทันทีด้วยความเขินอาย ร่างกายนางก็แข็งทื่อไม่กล้าขยับเขยื้อน ด้วยเกรงว่าหากนางขยับเขยื้อนจะเป็นการไปปลุกสัญชาตญาณความเป็นชายของเขาขึ้นมา
เห็นใบหน้าซย่าโหวฉิงเทียนแสดงอาการอึดอัดด้วยความทรมาน ทว่าใบหน้าที่หล่อเหลาของเขายังคงเกลี้ยงเกลาใสสะอาด อวี้เฟยเยียนเองก็กัดริมฝีปากแน่น
“ไม่เช่นนั้น ท่านลองไปอาบน้ำเย็นสักครู่หรือไม่”
สำหรับพ่อหนุ่มที่ไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง รู้แต่เพียงว่าฝึกร่วมเช่นเขานั้น อวี้เฟยเยียนชักจูงอะไรเขาไม่ลงจริงๆ
รอให้เขาอารมณ์ดี มีสติครบถ้วนสมบูรณ์ทุกประการนั่นแหละ นางจึงจะดำเนินการขั้นต่อไป!
เขาที่ยังไม่เข้าใจอะไรๆ เช่นนี้ กลับทำให้นางรู้สึกผิดขึ้นมาเสียอย่างนั้น
หากเป็นสังคมในยุคปัจจุบัน นางอายุยี่สิบเจ็ด เขาเพิ่งจะยี่สิบสอง เรื่องหลอกล่อชักจูงของวัยหนุ่มสาวพรรค์นั้น นางทำไม่ลงจริงๆ!
“ดี!”
ซย่าโหวฉิงเทียนลุกจากเตียงนอนไป จัดการอาบร่างด้วยน้ำเย็น เพื่อกำราบกำหนัดในร่างของเขาเอาไว้ แล้วกลับเข้ามาอีกครั้ง
เมื่อกลับมาอวี้เฟยเยียนก็ซุกเข้าไปในอ้อมอกเขาอีกครั้ง จากนั้นนางจึงได้ถามสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจนางมานานแสนนานออกมา
“เอ่อ เรื่องฝึกร่วมนั่น ท่านไปฟังใครพูดมา”
“หลิ่วเซิ่ง”
คำตอบของซย่าโหวฉิงเทียน ทำเอาอวี้เฟยเยียนแทบกัดลิ้นตาย
หากว่าซย่าโหวฉิงเทียนไม่เอ่ยขึ้นมาละก็ อวี้เฟยเยียนก็เกือบลืมไปแล้วว่ามีคนผู้นี้อยู่ในโลก
ชายที่เมื่อยิ้มขึ้นมาราวกับจิ้งจอกก็ไม่ปานผู้นั้น กำลังพาซย่าโหวฉิงเทียนไปแบบผิดๆ
“เขาสอนท่านว่าอย่างไรบ้าง”
อวี้เฟยเยียนกล่าวถามขึ้นด้วยความอยากรู้
หลิ่วเซิ่งเป็นชายรูปงามที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง แต่หลิ่วเซิ่งสอนซย่าโหวฉิงเทียนผิดๆ เช่นนี้หรือว่าเขาคิดอะไรกับซย่าโหวฉิงเทียน
ทันใดนั้นในหัวสมองของอวี้เฟยเยียนก็บังเกิดภาพชายคู่รักชั่วชีวิตขึ้นมา ซึ่งภาพที่ปรากฏขึ้นมานั้นให้ความรู้สึกที่ชัดเจนเสียเหลือเกิน
อวี้เฟยเยียนคิดคำตอบเอาไว้หลายแบบ ซึ่งแตกต่างกับคำอธิบายของซย่าโหวฉิงเทียนราวฟ้ากับเหว