ส่วนที่ 5 ตอนที่ 59 ชะตากรรมที่อี๋เจิ้นเฟิงประสบพบเจอ

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ร้านน้ำชาเงียบสงบมาก อี๋เจิ้นเฟิงเบิกตากว้างจ้องมองโก่วจื่อที่เดินเข้ามา เส้นเลือดที่คอก็ปูดเนินขึ้น แต่ร่างกายไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เม็ดเหงื่อใหญ่เท่าเม็ดถั่วไหลลงมาจากหน้าผาก อ้าปากกว้างแต่กลับไม่ได้ส่งเสียงอะไร

 

 

โก่วจื่อวางนิ้วชี้ไว้ที่ปากส่งสัญญาณบอกให้เขาเงียบๆ แล้วย้ายอี๋เจิ้นเฟิงลงจากเก้าอี้และใช้เชือกหนังวัวเปียกที่ไม่ได้ใช้เป็นเวลานานมาวัดเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา เชือกหนังวัวเปียกนั้นมีข้อดีคือมันจะเลื่อนไหลไปตามปริมาณน้ำดังนั้นยิ่งมัดจึงยิ่งแน่นมากขึ้น

 

 

หลังจากทำทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว โก่วจื่อก็ใช้มีดแทงที่ต้นขาของอี๋เจิ้นเฟิงสองครั้ง แล้วจึงพันผ้าพันแผลให้อย่างระมัดระวัง เขาเคยได้รับการฝึกฝนงานเช่นนี้เป็นเรื่องง่ายดายมากสำหรับเขา

 

 

 จากนั้นตรวจสอบเชือกอีกครั้งจึงค่อยโล่งใจ การทำอะไรไม่ควรลำพองใจจนเกินไป สิงโตจับกระต่ายยังต้องออกแรงสุดกำลังเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตนเองนั้นกำลังเผชิญหน้ากับมือสังหาร

 

 

จับศีรษะของอี๋เจิ้นเฟิงกดลงไปในบ่อน้ำนานเป็นเวลานาน อี๋เจิ้นเฟิงจึงค่อยรู้สึกว่าลิ้นของตัวเองนั้นสามารถขยับได้แล้ว จึงรีบอ้าปากพูดว่า “พี่ชายท่านนี้ ทรัพย์สินเงินทองบนตัวข้าขอมอบให้ท่านทั้งหมด รวมทั้งวัวด้วย ขอให้เจ้าเมตตาปล่อยข้าไปเถิดหนา ที่บ้านข้ายังมีแม่และลูกที่ต้องดูแล ถ้าเจ้าฆ่าข้าก็เท่ากับว่าฆ่าข้าทั้งครอบครัว”

 

 

 โก่วจื่อยิ้มตาหยีดูการเล่นละครของอี๋เจิ้นเฟิง ทันใดนั้นกพูดว่า “ไม่น่าแปลกใจที่โหวเหยียมักพูดว่าพวกนักดาบพเนจรนั้นโง่เขลา จะพูดอะไรสักคำก็พูดไม่เป็น เจ้าควรจะพูดว่า นายท่านได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ข้ายังมีแม่อายุแปดสิบและลูกที่เป็นทารกแบเบาะที่ต้องดูแล ขอให้ท่านได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย เจ้าเห็นไหมว่าการพูดเช่นนี้ดูมีความสามารถทางวรรณกรรมมากมายเลย หากพบคนใจอ่อนบางทีเขาอาจจะยอมปล่อยเจ้าก็ได้”

 

 

“ข้าไม่ได้เป็นนักดาบพเนจรแต่เป็นชาวนา พี่ชายจำคนผิดแล้ว” อี๋เจิ้นเฟิงรีบพูดขึ้น

 

 

“ชาวนารึ ถ้าเจ้าแกล้งเป็นคนอื่นบางทีอาจจะพอปิดบังข้าได้ แต่เจ้ากลับแกล้งทำเป็นชาวนาต่อหน้าคนที่อาศัยการเพาะปลูกเลี้ยงชีพมาหลายชั่วอายุคน เจ้าไม่รู้สึกว่ามันขาดอะไรไปหน่อยหรือ ชาวนาคนหนึ่งที่ไม่รู้จักทะนุถนอมแม้แต่วัว มีชาวนาคนไหนบ้างที่ไม่ได้ดูแลวัวให้ดีเป็นสิ่งแรกก่อนแล้วจึงดูแลตัวเอง คราบดินโคลนบนตัววัวยังไม่ทำความสะอาดให้ ยังไม่ได้ให้อาหาร ไม่ได้ถอดรถออก เจ้ากลับรีบเรียกข้าให้รินน้ำให้เจ้า ให้ตายสิ ดังนั้น วัวที่ดีเช่นนี้ติดตามเจ้า ช่างน่าสังเวชสิ้นดี” โก่วจื่อโกรธเคืองอย่างมาก เขาชอบวัวและมักจะหวังว่าตนเองจะมีสักตัว รังเกียจพวกสวะที่โหดร้ายทารุณสัตว์เป็นที่สุด

 

 

“วัวนั้นข้ายืมมาแน่นอนว่าจึงไม่ค่อยใส่ใจ เมื่อใช้เสร็จก็ส่งคืนเจ้าของก็เสร็จเรื่องแล้ว ” โก่วจื่อจึงฟาดแส้เข้าที่ศีรษะของอี๋เจิ้นเฟิงหนึ่งครั้ง รอยแส้สีม่วงก็ปรากฏขึ้นบนศีรษะของอี๋เจิ้นเฟิงทันที “ดูสิ เจ้านี่มันสัตว์เดรัจฉาน สัตว์ใหญ่อย่างวัวหากอยู่ในครอบครัวชาวนายังมีความสำคัญมากกว่าชีวิตของพ่อเสียอีก ให้ตายสิ เจ้ายังพูดคำพูดที่ไม่มีความเป็นคนเช่นนี้ออกมา ลงแส้ให้ตายเลยก็สมควรแล้ว ยังจะบอกว่าอยากไปหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นเพื่อหางานทำอีก ให้ตายสิ เจ้าจะสามารถแต่งเรื่องโกหกพกลมให้ดีกว่านี้หน่อยได้ไหม

 

 

ในเมืองสร้างอาคารสร้างกันจนบ้าไปหมดแล้ว ผู้ดูแลหวังแทบอยากจะลากเอาเด็กทารกที่อยู่ในเดือนไปทำงานที่สถานที่ก่อสร้างเสียด้วยซ้ำ ให้ดิ้นตายสิ เจ้ากลับรีบเร่งขับเกวียนมา อยู่ในเมืองจะหางานทำไม่ได้เลยหรือ”

 

 

โก่วจื่อเตะเขาสองครั้งอย่างรุนแรงจึงค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมาก ระยะนี้โหวเหยียอารมณ์ไม่ค่อยดี เมื่อเจอตนเองสองครั้งก็เตะเขาทั้งสองครั้ง ก็ไม่รู้ว่าทำอะไรผิดไป แววตาที่มองดูตนเองก็ดูแปลกๆ จนชวนให้รู้สึกกลัว

 

 

จากนั้นก็หยิบหน้าไม้เล็กๆ ที่ดึงสายออกแล้วออกมาจากอกเสื้อของอี๋เจิ้นเฟิง แล้วเทลูกดอกขนาดเล็กหลายอันออกมาจากกระบอกไม้ไผ่ที่ยาวประมาณหนึ่งฟุต เมื่อเห็นหัวลูกดอกมีสีดำหยิบพวกมันขึ้นมาดมก็โกรธมาก ใช้แส้ฟาดใส่อี๋เจิ้นเฟิงอย่างคลุ้มคลั่ง เพียงพริบตาเดียวอี๋เจิ้นเฟิงก็ถูกฟาดจนเนื้อแตกไปทั่วร่าง ร้องครวญน่าสังเวช  โก่วจื่อขมวดคิ้วกังวลว่าจะทำให้แม่ตื่นขึ้น จึงดึงผ้าเช็ดตัวออกมาบีบกรามของอี๋เจิ้นเฟิงแล้วยัดผ้าเข้าไปในปากเขา อี๋เจิ้นเฟิงได้แต่ส่งเสียงอู้อี้ๆ อยู่ในปาก คิดว่าคงต้องกำลังร้องขอความเมตตาเป็นแน่

 

 

“คนอย่างเจ้าควรจับใส่กระทะน้ำมัน ทายาพิษไว้บนหัวลูกดอกทั้งยังเป็นพิษอูโถวอีกด้วย เจ้าไม่คิดจะให้แม่เฒ่าตระกูลอวิ๋นมีชีวิตรอดเลยนี่ แม่เฒ่าที่เป็นคนดีเช่นนั้น เจ้ากลับใช้ของที่รุนแรงเพียงนี้มาลงมือ เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่”

 

 

หลังจากค้นร่างกายอี๋เจิ้นเฟิงจนทั่วแล้ว โก่วจื่อก็หัวเราะไม่ยอมหยุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อค้นเจอแผ่นเงินขนาดใหญ่สองอันออกมาจากเป้ากางเกงเขาแล้วจึงยิ่งหัวเราะดังมากขึ้น เขาเห็นชีวิตที่มีความสุขของตัวเองกำลังโบกมือเรียกเขาอยู่

 

 

“ยอดฝีมือ เจ้าเป็นคนแรกที่สามารถซ่อนแผ่นเงินไว้ที่เป้ากางเกงได้ ไม่กลัวว่าจะทำร้ายน้องชายของเจ้าหรืออย่างไร” พูดพลางปัดผมเขาจนกระเซิงซึ่งก็พบใบเลื่อยเล็กๆ หนึ่งเส้นและเข็มเหล็กสองอันจากผมของเขา แม้แต่พื้นรองเท้าก็ไม่ปล่อยให้หลุดรอดจึงใช้กริชกรีดหนังวัวซึ่งก็พบมีดเล็กด้ามหนึ่งจากในนั้น อี๋เจิ้นเฟิงจึงก้มศีรษะลงอย่างหมดหวัง ของที่ติดตามตัวขึ้นเหนือล่องใต้เมื่ออยู่ต่อหน้าชายหนุ่มคนนี้แล้วราวกับไม่เป็นความลับใดๆ

 

 

“ไม่ต้องแปลกใจ ข้าเติบโตขึ้นมาในค่ายทหาร ของแปลกๆ ต่างๆ ที่เคยเห็นนั้นเจ้าคิดไม่ถึงหรอก จะเล่นละครต่อหน้าข้า ถ้าเจ้าทำได้ก็เล่นต่อไป”

 

 

ในขณะที่คุยกันอยู่ ชาวนาชราคนหนึ่งแบกจอบพาดไหล่กลับมาจากที่นา เดินตรงมาที่ร้านน้ำชารินชาสมุนไพรหนึ่งชามแหงนหน้าขึ้นแล้วกระดกดื่มลงไป ดูเป็นธรรมชาติมากเหมือนกลับบ้านของตนเองเลย ราวกับว่าเขาไม่ได้เห็นบนพื้นขยับเขยื้อนไม่ยอมหยุด อี๋เจิ้นเฟิงที่หวังว่าชาวนาชราจะสังเกตเห็น แต่เขาดึงชายเสื้อขึ้นเพื่อโบกลม ถึงแม้ว่านี่เพิ่งจะย่างเข้าเดือนสี่ แต่แสงอาทิตย์ในแดนกวนจงก็เริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ  

 

 

โก่วจื่อจึงรีบวิ่งเข้าไปหยิบพัดมาให้ชาวนาชราและคอยพัดให้เขาอย่างตั้งอกตั้งใจ ชาวนาชราพักอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงดื่มน้ำชาอีกชาม ชี้ไปที่อี๋เจิ้นเฟิงที่อยู่บนพื้นแล้วถามว่า “นี่ก็คือเศษสวะที่โหวเหยียพูดถึงหรือ”

 

 

“ใช่ขอรับ ท่านอา เจ้าหมอนี่ยังอ้างตัวว่าเป็นชาวนา คิดจะมาหลอกข้า ตั้งแต่แรกข้าก็ไม่คิดว่าเขาดูเหมือนคนเร่งรีบเดินทาง แต่ก็ไม่มั่นใจดังนั้นจึงแกล้งทำเป็นทำน้ำชาหกลงบนเอวเขาโดยไม่ตั้งใจ ขณะที่เช็ดน้ำจึงพบว่าเขามีของติดกายมา ดังนั้นจึงใช้ยาชาที่ได้จากท่านซุนผสมในน้ำชาแล้วให้เขาดื่มจึง้จับเขาได้”

 

 

โก่วจื่อเอนตัวพิงร่างชาวนาเหมือนเด็กน้อยที่รายงานความดีความชอบต่อผู้ใหญ่ด้วยความภาคภูมิใจ แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันเก่งกาจอย่างเต็มที่ เงยหน้าขึ้นมองเพื่อรอคำยกย่องจากชาวนาชรา ใครจะรู้ว่าจะถูกตบเข้าให้ที่ศีรษะหนึ่งฝ่ามือ นวดศีรษะแล้วมองท่านอาอย่างไม่เข้าใจ

 

 

“สิ่งที่เคยสอนเจ้านั้นป่านนี้กลายเป็นอาหารอยู่ในท้องสุนัขไปหมดแล้ว ยังจะอวดเก่งอีก ทั้งยังไม่มั่นใจอีก เจ้าดูรองเท้าของเขาว่าเหมือนชาวนาเขาสวมกันหรือ เจ้าดูมือของเขาแล้วมองมือของอาเจ้า ด้านบนมีเนื้อด้านเหมือนกันหรือไม่ ดูที่เนินเนื้อระหว่างนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ของเขา ข้อมือของเขา โก่วจื่อ นี่คือยอดนักดาบมือดีคนหนึ่ง เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา หากไม่ได้เป็นเพราะเจ้าใช้ยาชากับเขาและเจ้าหมอนี่เองก็ดูถูกเจ้า เมื่อข้ากลับมาก็คงจะเห็นแต่ศพของพวกเจ้าสองแม่ลูกเท่านั้น”

 

 

 เมื่อชาวนาชราพูดจบก็ลุกขึ้นใช้เท้าเตะเข้าที่ขากรรไกรของอี๋เจิ้นเฟิง ดึงผ้าออกมาจากนั้นหยิบตะขอออกมาหนึ่งอันแล้วเกี่ยวไปที่ขากรรไกรของอี๋เจิ้นเฟิง เพียงพริบตาก็ง้างปากของเขาออกมาจนกว้างและหันไปพูดกับโก่วจื่อว่า “เอาลิ้นของเขาออกมา”

 

 

โก่วจื่อไม่เข้าใจแต่ก็ยังใช้คีมหนีบถ่านดึงลิ้นของอี๋เจิ้นเฟิงออกมาตามคำสั่ง “ดึงออกมาให้ยาวกว่านี้”ชาวนาชราเร่งเขาอีกครั้ง โก่วจื่อจึงออกแรงดึง ลิ้นสีแดงเลือดของอี๋เจิ้นเฟิงก็ยื่นออกมายาวๆ “ดูว่าใต้ลิ้นเขามีมีดเล็กๆ อยู่หรือไม่” โก่วจื่อจึงม้วนลิ้นของอี๋เจิ้นเฟิงขึ้นซึ่งพบว่ามีใบมีดบางอยู่ใต้ลิ้นของหมอนี่จริงๆ จึงถึงกับผงะและหยิบใบมีดออกมาแล้วลองนำมาตัดผ้า ผ้าก็กลายเป็นสองส่วนในทันที ช่างเป็นมีดเล็กที่แหลมคมมาก “หากสายลับถูกจับก่อนการสู้รบของทั้งสองกองทัพ ข้าจะตรวจสอบแม้แต่ทวารของเขาด้วย โก่วจื่อตัดเส้นเอ็นมือของเขา สุนัขตัวนี้ไม่ประสงค์ดี ไม่ได้ตามขบวนทัพของทางการไป คิดว่าคงต้องการจะมาหาเรื่องเจ้าสองแม่ลูกและเตรียมที่จะลอบสังหารแม่เฒ่าในวันพรุ่งนี้”

 

 

ดวงตาของโก่วจื่อแดงก่ำ ในบ้านมีแค่หญิงชราคนเดียวทั้งยังตาบอด ไม่มีภัยคุกคามต่อเขาแน่นอน แต่เจ้าหมอนี่ก็ไม่ยอมละเว้น เขาจึงใช้มีดเล็กกรีดลงไปที่ข้อมือของอี๋เจิ้นเฟิงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เส้นสีแดงสองเส้นค่อยๆ ไหลออกมา สองมือของเขาห้อยลงอย่างหมดแรง เมื่อเห็นทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ท่านอาจึงนั่งกลับลงบนเก้าอี้แล้วพูดกับโก่วจื่อว่า “ตอนนี้ผู้ชายคนนี้สิจึงจะเป็นแหล่งเงิน ประเดี๋ยวเจ้ากับเลิ่งจื่อนำตัวเขาไปส่งที่หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นและพูดกับแม่เฒ่าว่าหลายวันนี้อย่าออกไปข้างนอก ข้าจะบอกพวกพี่น้องให้คอยระมัดระวังคนนอกให้มากขึ้น”

 

 

พอนำแผ่นเงินและเงินเหรียญทองแดงที่ค้นตัวออกมาได้ทั้งหมดกองรวมกันไว้บนโต๊ะแล้ว โก่วจื่อก็วิ่งออกไปหาเลิ่งจื่อ เตรียมจะใช้เกวียนเทียมวัวส่งอี๋เจิ้นเฟิงไปยังหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น ลิ้นของอี๋เจิ้นเฟิงยังคงห้อยอยู่นอกปาก โคนลิ้นนั้นถูกโก่วจื่อดึงจนได้รับบาดเจ็บจนเก็บกลับเข้าไปไม่ได้

 

 

ท่านอาใช้คีมหนีบถ่านเคาะที่ลิ้นพลางพูดกับอี๋เจิ้นเฟิงว่า “หลายปีที่ผ่านมาข้าเคยพบเห็นคนร่ำรวยมามากมายนัก หากเจ้าไปหาเรื่องกับตระกูลอื่น ข้าจะแกล้งทำเป็นไม่เห็น แต่กับคนเช่นตระกูลอวิ๋นนี้ ข้าหวังว่าตระกูลของเขาจะสืบทอดชั่วลูกชั่วหลาน ตระกูลที่มีแต่คนดี แม้แต่คุณหนูเล็กคนสุดท้องของตระกูลที่ถูกตามใจก็ยังรู้ว่าควรหลีกทางให้ชายชราที่เก็บมูลขายเลย ทั้งยังช่วยคิดบัญชีให้หญิงขายของในตลาดที่คิดบัญชีไม่เป็นอีกด้วย เจ้าอย่าหาว่าข้าโกหกเพราะข้าเห็นด้วยตาตัวเอง ม้าของเขาก็รู้ว่ากินของแล้วต้องจ่ายเงิน พวกที่ตั้งแผงลอยหน้าจวนโหวเมื่อฝนตกและไม่มีที่หลบฝนก็ไปยืนหลบอยู่ใต้หลังคาประตูใหญ่ได้ เจ้าลองไปยืนหลบที่ประตูใหญ่ของตระกูลเศรษฐีคนอื่นดูสิ หากไม่ปล่อยสุนัขออกมากัดเจ้านั้นนับว่าเจ้าโชคดีแล้ว แต่ตระกูลอวิ๋นยังต้มน้ำขิงให้ดื่มด้วย ชีวิตของชาวบ้านในระยะหลายสิบลี้นี้เริ่มดีขึ้น นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่ตระกูลอวิ๋นนำมาให้ เจ้าฆ่าคน ลองถามชาวบ้านในละแวกนี้ดูก่อน”

 

 

อี๋เจิ้นเฟิงเจ็บปวดไปทั้งร่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเจ็บปวดที่ลิ้นซึ่งปวดกระตุกเป็นระยะขึ้นไปถึงสมอง เริ่มหูอื้อ เห็นเพียงปากของชาวนาชราขยับไปมาแต่ไม่รู้ว่าพูดอะไร เขารู้เพียงแค่ว่าครั้งนี้เขาจบสิ้นหมดทุกอย่างแล้ว

 

 

โก่วจื่อกลับมาอย่างรวดเร็วด้านหลังมีลูกของชาวนาที่ร่างกายกำยำตามมาด้วย เพียงแต่เสื้อผ้าของพวกเขาขาดวิ่นมากเหลือเกิน ใบหน้าก็สกปรกเลอะเทอะ ไปหมด เมื่อมาถึงร้านน้ำชาก็ไม่พูดอะไรใช้มือป้ายเลือดของอี๋เจิ้นเฟิงมาทาบนร่างของตัวเอง คราวนี้ถึงคราวที่ท่านอาไม่เข้าใจแล้วถามขึ้นบ้าง “ทำเช่นนี้เพื่ออะไรกัน เสื้อผ้าดีๆ ไม่สวม ตั้งใจหาเสื้อผ้าที่ขาดๆ เก่าๆ มาใส่ เพราะเหตุใดกัน”

 

 

“ท่านอา คราวนี้ท่านไม่รู้แล้วสินะ ก่อนหน้านี้โหวเหยียเคยพูดว่าของทุกอย่างจะต้องแต่งแต้มสร้างขึ้นเอง ผลงานก็เหมือนกัน ข้ากับพี่เลิ่งจื่อไปที่จวนอวิ๋นโดยที่แต่งกายเรียบร้อย บางทีคนที่จวนอาจคิดว่าพวกเราจับมือสังหารได้ง่ายก็เป็นได้ รางวัลที่มอบให้ก็จะน้อยลง ตอนนี้พวกเราป้ายเลือดเอาไว้ ไม่ว่าให้ใครดูก็รู้ว่าพวกเราพี่น้องต้องผ่านการต่อสู้นองเลือดจึงจะจับเจ้าหมอนี่ได้ ข้าคาดเดาว่าถ้าเป็นเช่นนี้อาจจะได้รางวัลเพิ่มขึ้นอีกสามส่วน เงินที่พี่เลิ่งจื่อจะแต่งงานก็มีทางออกแล้ว”

 

 

 โก่วจื่อดึงรูที่ชายเสื้อให้ใหญ่ขึ้นหน่อย ซึ่งก็ทำให้ดูสภาพน่าสงสารมากขึ้นไปอีก สุดท้ายกัดฟันพูดกับเลิ่งจื่อว่า “พี่ชาย ท่านต่อยที่จมูกข้าสักหมัด อย่าให้หนักเกินไป ให้มีเลือดออกก็พอ”

 

 

หลังจากพูดจบแล้วก็กังวลว่าเลิ่งจื่อจะไม่ยอมลงมือ เขาจึงต่อยเข้าที่จมูกของเลิ่งจื่อก่อนหนึ่งหมัด เลิ่งจื่อที่เลือดกำเดาไหลย่อมต้องไม่ละเว้นเขาแน่นอน ซึ่งหมัดนี้ก็ต่อยได้สมจริงเป็นที่สุด ท่านอายืนอยู่ใต้เพิงร้านน้ำชามองดูเด็กสองคนที่กำลังค่อยๆ จากไกลออกไปเรื่อยๆ เขาส่ายศีรษะไม่เข้าใจคนหนุ่มสาวสมัยนี้ ไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรกัน

 

 

จนกระทั่งเงาของพวกเขาหายลับไปจนมองไม่เห็นจึงได้เอามือไพล่หลังกลับบ้านไปหาภรรยาเพื่อให้นางไปดูแลแม่ที่ชราและตาบอดของโก่วจื่อ