มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 549
หลัวซิวไม่ปฏิเสธและไม่ได้ยอมรับ เขาเองก็รู้ว่าความเร็วที่ตนเองแสดงออกมาอย่างกะทันหัน ทำให้ทั้งสิบอสูรกายไม่ทันได้ตั้งตัว ถ้าหากถูกปิดล้อมอีกครั้ง ภายใต้สถานการณ์ที่มีการเตรียมพร้อม วิธีการแบบนี้ไม่สามารถทำให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน

ภายใต้สถานการณ์ที่พลังถูกค่ายกลจำกัด อานุภาพของค่ายกลที่เกือบเทียบเท่าระดับเจ็ด ไม่ใช่สิ่งที่สามารถฝ่าไปได้อย่างง่ายดาย

เพื่อปกป้องความลับศิลามรณะ เผ่ามารของที่นี่ยอมทำทุกวิถีทาง

“ตราธรรมจุติมรณะ!”

มือทั้งสองข้างของหลัวซิวกลายเป็นภาพเงาติดตา ปลดปล่อยพลังตราประทับนับร้อยออกมาด้วยความเร็วของร่างกายและตัวสำนึกตามไม่ทัน

เงาลวงวัฏจักรความเป็นตายที่สูงใหญ่หลายฟุตปรากฏขึ้นเหนือหัว เมื่อมีพลังของกฎการเวียนว่ายตายเกิดหนุนเสริม ทำให้เงาลวงวัฏจักรความเป็นตายครั้งนี้ยิ่งดูเหมือนจริงมากขึ้น

โครม……

เงาลวงวัฏจักรความเป็นตายระเบิดออกไป ความว่างเปล่าของทุกจุดที่พุ่งผ่านเกิดการแตกร้าว นี่เป็นการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของหลัวซิวแล้ว ถ้าหากไม่สามารถฝ่าค่ายกลอัสนีขั้นเจ็ด ก็เท่ากับว่าเขาไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว

บูม! บูม! บูม! ……

สายฟ้าส่องสว่าง ลำแสงระเบิด เจ้าแห่งอสูรกายทั้งสิบที่ถูกนำโดยสาวมังกรแห่งเผ่ามังกรและชายร่างใหญ่เผ่ามาร สีหน้าของทุกตนตกตะลึง

“จบแล้ว!”

ไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดขึ้น สีหน้าของแต่ละคนมืดมนและน่าเกลียดจนถึงขีดสุด

เพราะพวกเขาคิดไม่ถึง เผ่ามนุษย์คนนั้นถึงขั้นสามารถบุกเข้าไปถึงในเขตแดนของศิลามรณะ ด้วยการทำลายค่ายกลอัสนีระดับเจ็ดโดยการโจมตีเพียงครั้งเดียว

เมื่อมองไปทางตำแหน่งของค่ายกลอัสนีระดับเจ็ด มีหลุมขนาดใหญ่ที่น่าตกใจปรากฏขึ้น และยังมีประกายของสายฟ้าแลบส่องสว่าง

ส่วนนักยุทธ์เผ่ามนุษย์คนนั้นได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยนานแล้ว

ศิลามรณะตั้งอยู่ที่นี่มาอย่างยาวนานนับไม่ถ้วน แต่อสูรกายที่อาศัยอยู่ที่นี่กลับไม่สามารถเข้าใกล้ภายในรัศมีแปดร้อยเมตรของศิลามรณะ

แต่อสูรกายพวกนี้กลับรู้ดี บนศิลามรณะมีการบันทึกความลับที่เป็นภัยคุกคามต่อเผ่าใหญ่ จำเป็นต้องหยุดสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่เข้าใกล้สถานที่แห่งนี้

เวลานี้ กลับมีเผ่ามนุษย์คนหนึ่งบุกเข้ามา มันทำให้ภายในใจของเจ้าอสูรพวกนี้ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอก เริ่มเกิดความรู้สึกกระสับกระส่าย

ซ่า!

หลัวซิวอาศัยพลังของตราธรรมจุติมรณะพุ่งผ่านค่ายกลอัสนีระดับเจ็ด ไปหยุดอยู่ตรงเชิงของแผ่นศิลาสีดำขนาดใหญ่

เขาพลิกมือเรียกยาเม็ดออกมาหลายเม็ดกลืนลงท้อง เพราะทุกครั้งที่ใช้ตราธรรมจุติมรณะ ล้วนแต่เกือบจะทำให้ปราณแท้ของเขาถูกเผาผลาญจนหมด

ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อยคือ อสูรกายพวกนั้นกลับหยุดไม่ได้ไล่ตามมา

“สถานที่แห่งนี้มีวิชาห้ามค่ายกลปกคลุม ถึงว่าพวกเขาไม่ไล่ตามมา” ตัวสำนึกของหลัวซิวกระจายไปโดยรอบ ค้นพบเบาะแสบางอย่าง

อะไรกันแน่ที่ถูกบันทึกไว้บนแผ่นศิลา ทำให้อสูรกายพวกนี้ปกป้องอย่างสุดชีวิต แต่กลับไม่สามารถเข้ามาตรวจดู?

หลัวซิวเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเพียงบนแผ่นศิลาสีดำมีตัวอักษรถูกแกะสลักไว้นับไม่ถ้วน เขาหรี่ตาลงเพื่อต้องการมองให้ชัดเจนมากขึ้น กลับเห็นตัวอักษรที่อยู่ด้านบนเรืองแสงพร้อมกันทั้งหมด

ตัวอักษรทั้งหมดหลุดออกจากแผ่นศิลา หลังจากนั้นมันรวมกันที่กลางอากาศ กลายเป็นภาพเงาของมนุษย์ขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว

ร่างเงาของคนคนนี้เป็นสีทองทั้งหมด มีวงแหวนศักดิ์สิทธิ์ลอยอยู่ตรงหลังศีรษะ สายตามองมาทางหลัวซิว หลังจากนั้นยกนิ้วมือขึ้นชี้ไปที่กลางหว่างคิ้วของเขา

เห็นภาพนี้ หลัวซิวกำลังจะหลบตามสัญชาตญาณ แต่กลับมีกลิ่นอายที่รุนแรงสายหนึ่งพันธนาการทำให้ไม่สามารถขยับตัว

บูม!

ทันทีที่นิ้วมือจิ้มลงกลางหว่างคิ้วของหลัวซิว หลัวซิวรู้สึกว่าภาพตรงหน้าของตนเองเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ประกายแสงที่เจิดจรัสปะทุขึ้น กลืนกินร่างกายของเขาหายไป

มีข้อมูลนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่ตัวหยั่งรู้ ชั่วขณะ ทำให้หลัวซิวขมวดคิ้ว แสดงสีหน้าของการเข้าถึงออกมาเป็นครั้งคราว

ส่วนจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำที่อยู่ในร่างกายของเขา ถูกพลังสายหนึ่งปิดกั้น วินาทีนี้กลับเข้าสู่สภาวะจำศีล ไม่สามารถรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกภายนอก

“ข้านามเจ้ามรณะ สงครามระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่ามาร ข้าเปิดทางสายใหม่ ต่อกรเผ่ามาร คิดค้นวิชาลับสามแขนง”

“วิชาคุมมาร ใช้พลังแห่งกฎสร้างขีดจำกัด ทะลวงสู่ร่างเผ่ามาร สามารถควบคุมดั่งใจปรารถนา!”

“วิชาสยบมาร หมื่นอสูรก้มกราบ ข้าผู้ไร้เทียมทาน!”

“วิชากลั่นมาร ผนึกมารด้วยค่ายกล สังหารเพื่อรับลูกแก้ว……”

ข้อมูลที่หลั่งไหลเข้าไปในหัว เป็นบันทึกชีวิตของผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ที่ชื่อเจ้ามรณะ