เวลานี้หลิงหยุนนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในสวนบ้านเลขที่-1เขาทำการเปิดเนตรหยิน-หยางออกดู และพบว่าตนเองสามารถมองทะลุกำแพงบ้านเข้าไปเห็นเฟอร์นิเจอร์ภายในห้องรับแขกได้อย่างชัดเจน!
  “เยี่ยม!”
  จากนั้นหลิงหยุนจึงทดสอบเนตรหยิน-หยางขั้นสุดต่อและพบว่าดวงตาของตนเองนั้นสามารถมองทะลุกำแพงได้ถึงเจ็ดแปดชั้น จากตำแหน่งที่หลิงหยุนนั่งอยู่นั้น เขาสามารถมองทะลุผ่านกำแพงไป และสามารถมองเห็นห้องเก็บของเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลังได้..
  แต่เวลานี้หลิงหยุนใช้เนตรหยิน-หยางภายใต้วิชาพลังมังกรแต่ต่อให้ไม่มีวิชาพลังมังกร ด้วยพลังของเนตรหยิน-หยางในขั้นพลังชี่นี้ หลิงหยุนก็สามารถมองทะลุกำแพงหินได้อย่างไม่มีปัญหา..
  “โอ้..นี่มันดวงตาทิพย์ชัดๆ!”
  หลิงหยุนยิ้มกว้างมากยิ่งขึ้นและเริ่มรู้สึกคุ้นเคยกับความสามารถที่เพิ่มขึ้นในขั้นพลังชี่ จากนั้นจึงถอนสายตากลับมา และเริ่มหลับตาทำความคุ้นเคยกับความสามารถอื่นๆ ที่เพิ่มสูงขึ้นในขั้นพลังชี่ไปเรื่อยๆ!
  เป็นเพราะเข้าสู่ช่วงเวลาคับขันหลิงหยุนจึงต้องเร่งเข้าสู่ขั้นพลังชี่เพื่อให้มีพลังความสามารถที่เพิ่มสูงขึ้น จุดประสงค์ก็เพื่อสังหารปีศาจภัยแล้ง!
  สิ่งแรกที่เขาสัมผัสได้เมื่อเข้าสู่ขั้นพลังชี่ก็คือ..พละกำลังที่เพิ่มขึ้น!
  และหลังจากที่ผ่านเข้าสู่ขั้นพลังชี่ได้แล้วก็แทบไม่ต้องพูดถึงหมัดปีศาจเถียนกัง เพราะแค่กำลังแขนของหลิงหยุนเพียงอย่างเดียวในขั้นนี้ ก็มีพลังรุนแรงถึงเก้าพันกิโลกรัมแล้ว!
  แต่กำลังแขนขนาดเก้าพันกิโลกรัมนั้นเป็นกำลังในขีดจำกัดสูงสุดที่จะทำได้และใช่ว่าหลิงหยุนจะสามารถใช้พละกำลังขนาดนี้ได้ตลอดเวลา เพราะทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีขีดจำกัดของมัน..
  ขั้นพลังชี่นั้น..คือการใช้พลังปราณบ่มเพาะจิตวิญญาณ จึงมุ่งเน้นการฝึกเพื่อให้จิตหยั่งรู้ และพลังจิตของผู้ฝึกมีกำลังแก่กล้า นับจากนี้ไป.. การฝึกฝนผ่านไปในแต่ละระดับนั้น จิตหยั่งรู้และพลังจิตของหลิงหยุนก็จะเติบโตแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และในขั้นนี้จะให้ความสำคัญกับร่างกายน้อยลงมาก..
  และแน่นอนว่า..เมื่อพลังจิตของหลิงหยุนค่อยๆ แก่กล้าขึ้น พละกำลังของร่างกายก็ย่อมต้องเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน..
  ยกตัวอย่างเช่น..หากให้หลิงหยุนเข็นรถที่บรรทุกหินไว้จนเต็มไปในระยะทางหนึ่งกิโลเมตร ในขั้นปรับร่างกายนั้นหลิงหยุนอาจจะใช้เวลาเพียงชั่วหนึ่งลมหายใจก็เหนื่อยมากแล้ว แต่เมื่อเข้าสู่ขั้นพลังชี่ เพียงแค่หนึ่งชั่วลมหายใจ เขาจะสามารถเข็นรถบรรทุกหินคันเดียวกันไปได้ไกลถึงสามกิโลเมตร หรืออาจจะถึงห้ากิโลเมตรเลยก็เป็นได้..
  พละกำลังที่ใช้ในการต่อสู้ก็เป็นเช่นเดียวกัน!
  แต่ถึงกระนั้นขั้นพลังชี่นี้ก็ไม่มีผลกับความแข็งแกร่งของร่างกาย ไม่มีผลต่อการฝึกวิชาดาราคุ้มกาย ถึงแม้ว่าหลิงหยุนจะเข้าสู่ขั้นพลังชี่ แต่วิชาดาราคุ้มกายของเขาก็ยังคงมีความแข็งแกร่งเท่าเดิม!
  ส่วนเรื่องความรวดเร็วนั้นคงต้องรอดูจากการต่อสู้กับศัตรู!
  หลิงหยุนรู้สึกมีความสุขอย่างที่สุด!เพราะในขั้นปฐมชี่นี้ จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนก็ขยายรัศมีการรับรู้ออกไปไกลถึงหนึ่งพันเมตรเลยทีเดียว แม้แต่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ น้อยนักที่จะหาใครมีจิตหยั่งรู้ที่ทรงพลังเช่นนี้ได้!
  แต่เวลานี้หลิงหยุนยังคงอยู่ในช่วงเวลาของการใช้วิชาพลังมังกรจิตหยั่งรู้ของเขาจึงขยายรัศมีการรับรู้ออกไปไกลถึงหนึ่งหมื่นเมตร ส่วนความแข็งแกร่งนั้นเทียบเท่าระดับสูงสุดขั้นตรีชี่ หรืออาจจะถึงระดับเริ่มต้นของขั้นจตุชี่ก็เป็นได้..
  หลิงหยุนใช้เวลาในการดูดลมปราณของยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-9ไปสามนาที ใช้เวลาในการเดินลมปราณก่อนเข้าสู่ขั้นพลังชี่อีกราวสามนาที และใช้เวลาสำรวจดูภายในร่างกายของตนเองไปอีกราวสามนาที รวมแล้วหลิงหยุนใช้เวลาไปทั้งหมดเก้านาที และเวลานี้เขาก็เหลือเวลาที่จะจัดการกับปีศาจภัยแล้งอีกเพียงแค่แปดหรือเก้านาทีเท่านั้น..
  เวลานี้นักบวชเลี่ยยื่อได้ถูกหลิงหยุนสกัดจุดจนสลบไสลไปจึงไม่มีใครคอยควบคุมปีศาจภัยแล้งไว้ได้ มันจึงดุร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ และเวลานี้ตั้งแต่ผมลงมาจนถึงเท้า ทั่วทั้งร่างของปีศาจภัยแล้งก็ได้กลายเป็นสีแดง ส่วนน้ำแข็งที่อยู่รอบตัวมันก็ค่อยๆละลายกลายเป็นน้ำ เหลือเพียงชั้นบางๆห่อหุ้มไว้เท่านั้น!
  ภายในสระว่ายน้ำที่กลายเป็นน้ำแข็งหนานั้นดวงตาสีแดงของปีศาจภัยแล้งก็กำลังกระพริบขึ้นลงพร้อมกับดิ้นรนไป..
  สร้อยประคำที่สวมอยู่ในลำคอของปีศาจภัยแล้งนั้นเริ่มทอประกายแสงสีทองเข้มขึ้น เห็นได้ชัดว่าการถูกสะกดไว้ด้วยสร้อยประคำนั้น ได้สร้างความเจ็บปวดให้กับปีศาจภัยแล้งอย่างมาก และสิ่งที่ประสบกับสายตาทุกคนนั้นทำให้เห็นว่าวิชาพลังเย็นของหลิงหยุนไม่สามารถควบคุมปีศาจภัยแล้งต้นนี้ไว้ได้ มันดิ้นรนไปมาอย่างรุนแรง และพยายามใช้กรงเล็บที่ยาวตะกุยทำลายชั้นน้ำแข็งเหนือศรีษะ..
  น้ำแข็งหนาหนึ่งฟุตยังไม่สามารถทานทนต่อความร้อนจากร่างของปีศาจภัยแล้งได้และในเวลานั้นตะเกียงวิเศษก็เริ่มทำการเปล่งรัศมีสีเขียวออกมา แทรกซึมผ่านชั้นน้ำแข็งลงไปกระทบกับกรงเล็บของมัน..
  ทันทีที่กรงเล็บของปีศาจภัยแล้งปะทะเข้ากับรัศมีสีเขียวจากตะเกียงวิเศษดูเหมือนว่ามันจะได้รับความเจ็บปวดอย่างที่สุด ภายใต้ชั้นน้ำแข็งจึงมีเสียงกรีดร้องดังสนั่น และร่างของปีศาจภัยแล้งก็กำลังดิ้นรน จนน้ำด้านล่างกระเพื่อมเป็นคลื่นขนาดใหญ่ และกระแทกเข้ากับชั้นน้ำแข็งด้านบนจนเริ่มแตกร้าว..
  หลิงหยุนรู้ดีว่าแม้พลังวิเศษจากสมบัติพุทธองค์จะแข็งแกร่งทั้งสร้อยประคำและตะเกียงน้ำมันต่างก็มีพลังอำนาจมากก็จริง แต่ก็ไม่สามารถควบคุมปีศาจภัยแล้งได้ ทำได้เพียงแค่สะกดมันไว้เท่านั้น และปีศาจภัยแล้งก็สามารถที่จะดิ้นหลุดออกมาเมื่อไหร่ก็ได้!
  ปีศาจภัยแล้งกรีดร้องเสียงดังและดิ้นรนอยู่ใต้น้ำ ทุกคนในบ้านก็ได้แต่ตกตะลึง และพากันตกใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร จึงได้แต่พร้อมใจกันหันมองไปทางไป๋เซียนเอ๋อ..
  หากหลิงหยุนยังไม่สามารถผ่านเข้าสู่ขั้นพลังชี่ได้ในเวลาอันสั้นนี้ก็จะเหลือเพียงแค่ไป๋เซียนเอ๋อกับแวมไพร์สองตนเท่านั้น ที่พอจะสามารถรับมือกับปีศาจภัยแล้งได้! แต่ก็เพียงแค่ชั่วเวลาสั้นๆเท่านั้น..
  หลิงหยุนยิ้มออกมาอย่างมีความสุขแต่ในขณะที่เขากำลังจะกระโดดออกมาจากค่ายกลลวงตานั้น จู่ๆ เขากก็หันหน้าไปทางทิศเหนือพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า..
  ท้องฟ้ายามค่ำคืนทางด้านทิศเหนือเวลานี้มีค้างคาวสีดำหกตัวที่จู่ๆก็โผล่เข้ามาในรัศมีจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุน และพวกมันทั้งหมดก็กำลังบินตรงมาที่บ้านหลังนี้!
  และแน่นอนว่าพวกมันคือเหล่าแวมไพร์นั่นเอง!
  “ตระกูลเฉินยังจะส่งแวมไพร์มาที่นี่อีกงั้นรึนี่พวกเจ้าต้องการช่วยเฉินเจี้ยนกุ่ยถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
  ค้างคาวทั้งหกตัวบินฝ่าความมืดของท้องนภามาด้วยความเร็วอย่างน่าตกใจและเพียงแค่พริบตาเดียวพวกมันต่างก็บินมาได้ไกลราวสองสามร้อยเมตรแล้ว และเวลานี้ทั้งหมดก็อยู่ห่างจากบ้านเลขที่-1 ของหลิงหยุนไปเพียงแค่ห้ากิโลเมตรเท่านั้น ระยะทางสั้นๆแค่นี้เหล่าแวมไพร์บินไม่กี่นาทีก็ถึงแล้ว..
  “ดูเหมือนแวมไพร์ทั้งหกตนนี้จะแข็งแกร่งมากทีเดียวเพียงแค่อึดใจเดียวพวกมันก็บินมาได้ไกลถึงเพียงนี้!”
  ระหว่างที่เหล่าค้างคาวทั้งหกบินเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆนั้นหลิงหยุนได้แต่ขมวดคิ้วแน่น เพราะสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวของพวกมัน และอันตรายที่กำลังเข้าปกคลุมบ้านเลขที่-1 อีกครั้ง!
  แม้หลิงหยุนจะเคยสังหารเหล่าแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสมาแล้วแต่ก็ไม่เคยสัมผัสถึงบรรยากาศที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้มาก่อน..
  เพราะครั้งนี้ดยุคแดร็กคิวล่าบุกมาด้วยตัวเอง!
  หลังจากที่หลิงหยุนสังหารแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสเคานต์ ไวส์เคานต์ และบารอนไปตั้งมากมาย ในที่สุดดยุคแดร๊กคิวล่าก็ทนนิ่งเฉยต่อไปอีกไม่ได้ และต้องปรากฏตัวออกมาจัดการกับหลิงหยุนด้วยตัวเอง..
  หลังจากที่คาดเดาว่าครั้งนี้ดยุคแดร๊กคิวล่าจะต้องมาล้างแค้นให้กับลูกหลานแวมไพร์ด้วยตัวเองแล้วหลิงหยุนจึงร้องตะโกนออกไปทันที..
  “เมิ่งหาน..คุณไม่ต้องกังวลเรื่องปีศาจภัยแล้งแล้ว เดี๋ยวผมจะออกไปจัดการกับมันด้วยตัวเอง!”
  “เซียนเอ๋อ..เจ้ารีบสร้างค่ายกลลวงตาที่แข็งแกร่งที่สุดขึ้นมา และให้ทุกคนเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในค่ายกลนั้น!”
  หลิงหยุนตะโกนสั่งออกมาจากค่ายกลลวงตาหลินเมิ่งหานได้ยินก็รีบลุกขึ้นไปรวมกับทุกคนทันที ในขณะเดียวกันก็ร้องถามหลิงหยุนด้วยความเป็นห่วง
  “เกิดอะไรขึ้นกับนายหรือเปล่านายทำไม่สำเร็จงั้นเหรอ?”
  หลินเมิ่งหานไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ภายในค่ายกลลวงตาได้จึงไม่รู้ว่าหลิงหยุนเป็นเช่นไรบ้าง และเริ่มรู้สึกเป็นห่วงเขาอย่างมาก..
  “ผมไม่เป็นอะไรทุกอย่างเรียบร้อยดี!
  “น้าหญิงศัตรูที่แข็งแกร่งของข้ากำลังบุกมาแล้วท่านรีบทำตามที่ข้าบอกเร็วเข้า..”
  หลิงหยุนยังคงไม่ออกมาจากค่ายกลลวงตาแต่เขาไม่มีเวลาที่จะอธิบายให้ทุกคนฟังว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเวลานี้ท้องฟ้าเริ่มมืดมิดกว่าเดิมมาก..
  ทุกคนในบ้านต่างก็ได้ยินคำสั่งของหลิงหยุนกันถ้วนหน้าจึงรู้ดีว่ากำลังจะมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน!
  อะไรกันยังไม่ทันจะได้สังหารปีศาจภัยแล้ง แต่ศัตรูใหม่ที่แข็งแกร่งกว่ากำลังจะปรากฏตัวอีกงั้นหรือ?
  จะตำหนิว่าทุกคนกังวลมากจนเกินเหตุนั้นก็ไม่ถูกนักเพราะคนอย่างหลิงหยุน.. ไม่บ่อยครั้งนักที่เขาจะรู้สึกเป็นกังวลได้มากเช่นนี้!.novel-lucky.
  ศัตรูที่กำลังจะปรากฏตัวนั้นแข็งแกร่งมากเพียงใดเชียวหรือ ถึงได้ทำให้หลิงหยุนเป็นกังวลได้มากมายเสียยิ่งกว่าปีศาจภัยแล้งได้..
  ไป๋เซียนเอ๋อยังคงนิ่งไม่พูดไม่จาและรีบสร้างค่ายกลลวงตาทำการซ่อนทุกคนไว้ด้านในทันที เวลานี้ด้านนอกค่ายกลนั้นมีเพียงไป๋เซียนเอ๋อ พอล เจสเตอร์ และฉินตงเฉี่วยเท่านั้น..
  ฉินตงเฉีว่ยย่อมไม่ยอมเข้าไปด้านในค่ายกลอย่างแน่นอนนางยืนอยู่นอกค่ายกลพร้อมกับร้องตะโกนถามหลิงหยุนด้วยความกระวนกระวายใจ..
  “เจ้าเด็กดื้อ..ในเมื่อเจ้าทำสำเร็จและไม่มีปัญหาอะไร เหตุใดเจ้าจึงยังไม่ออกมาจากค่ายกลอีกเล่า เวลานี้ดูเหมือนปีศาจภัยแล้งใกล้จะหลุดออกมาได้แล้ว!”
  “ข้า..ข้ายังต้องรออีกสักครู่!”
  หลิงหยุนเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย..
  เวลานี้บนท้องฟ้าเหนือบ้านเลขที่-1นั้น มีทางช้างเผือกปรากฏขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ และมีกลุ่มเมฆสีดำที่ไม่อาจอธิบายได้ปรากฏขึ้นด้วย..
  และกลุ่มเมฆดำทมึนเหล่านั้นก็คือทัณฑ์เมฆานั่นเอง..
  หลิงหยุนเข้าสู่ขั้นปร่างกาย-7ได้ และต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์ที่ลึกลับมาแล้ว แต่หลังจากเข้าสู่ขั้นปรับร่งกาย-8 และ 9 กลับไม่ปรากฏทัณฑ์ใดๆเลย..
  แต่เมื่อหลิงหยุนเข้าสู่ขั้นพลังชี่ได้เวลานี้จึงมีทัณฑ์เมฆาปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้าบ้านเลขที่-1!
  เวลานี้แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวกำลังปรากฏขึ้นระหว่างสวรรค์กับผืนโลกและได้ปกคลุมบริเวณบ้านเลขที่-1 ไว้ทั้งหมด หลิงหยุนรู้ว่าแรงกดดันนี้มีขึ้นสำหรับเขาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น!
  แต่ค่ายกลลวงตาของไป๋เซียนเอ๋อนก็ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก!สามารถปิดบังร่างของหลิงหยุนจากทัณฑ์เมฆาได้ และตราบใดที่หลิงหยุนไม่ออกไปจากค่ายกลนี้ ทัณฑ์เมฆาก็จะไม่กดทับลงมา..
  พรึบ..พรึบ.. พรึบ..
  ระหว่างนั้น..ในที่สุดค้างคาวสีดำทั้งหกตัวก็บินมาถึงบ้านเลขที่-1 และห้าในหกก็ได้กลายร่างเป็นนกยักษ์ทันที
  “จัดการพวกมัน!”
  พอลกับเจสเตอร์ไม่รีรอทั้งคู่ตรงเข้าจัดการกับแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสที่ทรงพลังทั้งห้าตนทันที!
  ส่วนค้างคาวที่เหลืออีกหนึ่งตนและดูเหมือนจะเป็นผู้นำของเหล่าค้างคาวทั้งหมดนั้น ค่อยๆกลายร่างเป็นชายชราชาวตะวันตกที่มีใบหน้าหล่อเหลา แต่ก็เหี่ยวย่นซีดขาว จมูกของเขาโด่งแหลม ส่วนดวงตามีสีฟ้าเข้ม สวมชุดทักซีโด้ดูช่างสง่างามยิ่งนัก!
  และแวมไพร์ตนนี้ก็คือท่านดยุคแดร๊กคิวล่านั่นเอง!
  ความน่าสะพรึงกลัวของดยุคแดร๊กคูล่านั้นอยู่ที่..เขาสามารถลอยอยู่กลางอากาศได้โดยที่ไม่ต้องกลายร่างเป็นนกยักษ์ด้วยซ้ำ!
  ทันทีที่ดยุคแดร๊กคูล่าปรากฏตัวบรรยากาศภายในบ้านเลขที่-1 ก็เย็นยะเยือกขึ้นมาทันที กลิ่นอายแห่งอันตรายก็เพิ่มขึ้นหลายสิบเท่า และได้ปกคลุมไปทั่วบริเวณ จนทุกคนต่างก็สัมผัสได้อย่างชัดเจน!
  “เหตุใดแวมไพร์สองตนนี้จึงได้กลายเป็นบริวารของมนุษย์ตนนั้นได้”
  ทันทีที่มาถึงดยุคแดร๊กคูล่าก็ไม่สนใจมนุษย์ใดๆไม่สนใจแม้แต่ปีศาจภัยแล้งที่กำลังร้องคำราม แต่กลับมองไปทางพอลและเจสเตอร์อย่างสนอกสนใจ!
  แวมไพร์เห็นแวมไพร์ด้วยกันก็ไม่ต่างจากมนุษย์เห็นมนุษย์ด้วยกัน แต่เมื่อดยุคแดร๊คคูล่าสังเกตเห็นดวงตาสีม่วงคู่นั้นของพอลกับเจสเตอร์ ก็ถึงกับอุทานออกมาอย่างตกใจ!
  “เป็นไปได้อย่างไรกัน!”
  ภายในบ้านเลขที่-1ปีศาจภัยแล้งก็กำลังร้องคำราม ดยุคแดร๊กคูล่าก็กำลังลอยอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าตกอกตกใจ ในขณะที่ทัณฑ์เมฆาก็ลอยอยู่เหนือท้องฟ้า..
  ส่วนหลิงหยุนนั่งขัดสมาธิอยู่ในค่ายกลลวงตาพร้อมกับยิ้มออกมา..