มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “เมื่อก่อนทำไม่สำเร็จ แต่ตอนนี้ต้องสำเร็จแน่นอน”

“หากพวกเขาสามารถทำสำเร็จในสามเดือน นั่นก็สามารถจบการศึกษาได้แล้ว เมื่อถึงจุดนั้นแล้ว สำนักศึกษาก็ไม่มีสิ่งใดจะสอนแล้ว”

มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “อืม! ตอนนี้หอหมอปีศาจของข้าก็ขาดกำลังคนอยู่บ้าง”

อาจารย์ใหญ่หวงฝู่กล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้าหนูมู่ เจ้าใจร้ายเกินไปแล้ว ที่แท้เจ้าก็วางแผนการไว้แล้ว ซวนเสียของพวกเราชักศึกเข้าบ้านเสียแล้ว”

มู่เฉียนซีกล่าว “หากอาจารย์ใหญ่โกรธเกรี้ยวแล้วล่ะก็ สามารถไล่ข้าออกได้”

“หากข้าไล่เจ้าออก นักเรียนเหล่านั้นของเจ้าไม่เอาข้าตายหรอกรึ ดูท่าข้าคงทำได้เพียงแค่ยอมรับชะตากรรมแล้ว” อาจารย์ใหญ่หวงฝู่กล่าวอย่างจนปัญญา

หลังจากที่นักเรียนจบการศึกษาและต้องการที่จะพัฒนาต่อ สำนักศึกษาซวนเสียของพวกเขาไม่ได้มีการบังคับมาโดยตลอด

ถึงแม้ว่ามู่เฉียนซีจะเป็นคนเจ้าเล่ห์และใจดำอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ฝ่าฝืนกฎของสำนักศึกษา ดังนั้นพวกเขาก็ทำได้เพียงแค่ปล่อยไปตามยถากรรม

“ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว เช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อน” ครั้งนี้มู่เฉียนซีกลับสำนักส่วนในจริง ๆ แล้ว

อาจารย์ใหญ่กล่าว “ใช่แล้ว! มีเรื่องหนึ่งที่ลืมบอกสาวน้อยมู่เฉียนซีแล้ว เจ้าช่วยไปบอกนางแทนข้าหน่อยเถอะ!”

อาจารย์ใหญ่หวงฝู่รู้สึกว่าเจ้าเด็กผู้นี้ใจดำเกินไปแล้ว สาวน้อยผู้นั้นยังน่ารักกว่าอีก ถึงแม้ว่านิสัยของทั้งสองนั้นจะเหมือนกันมากก็ตาม

มู่เฉียนซีชะงักการก้าวเท้าลง และกล่าวถามว่า “ยังมีเรื่องอันใดอีกเหรอ ?”

อาจารย์ใหญ่หวงฝู่กล่าว “การประลองของหอโอสถครั้งนี้ ศิษย์สายตรงของตาเฒ่าแห่งหุบเขาหมอเทวดาผู้นั้นออกมือเอง คนผู้นั้นดูเหมือนว่าจะอายุประมาณยี่สิบเจ็ดปี เกรงว่าพลังความแข็งแกร่งจะไม่ธรรมดา เพราะฉะนั้นการประลองของหอโอสถในครั้งนี้สาวน้อยซีทำทุกอย่างให้เต็มที่ และสุดความสามารถก็พอ ไขกระดูกสีม่วงนั่น ข้าจะหาวิธีแลกมันมาจากหุบเขาหมอเทวดา”

สาวน้อยเป็นตัวแทนของสำนักศึกษาเข้าร่วมการประลอง ต่อให้ไม่ได้อันดับหนึ่งหรือติดสิบอันดับแรก แต่ก็เป็นการนำเกียรติยศมาให้สำนักศึกษาของพวกเขา หน่วยสำนักปรุงยาของพวกเขาก็ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว มอบรางวัลให้นางนั้นเป็นสิ่งที่ควรทำแน่นอน

แสงสลัวแวบผ่านดวงตาของมู่เฉียนซี “ศิษย์สายตรงของปรมาจารย์แห่งหุบเขาหมอเทวดา จะไปเข้าร่วมการคัดเลือกของหอโอสถจริง ๆ เหรอ ?”

“ใช่! ตาเฒ่าประหลาดนั่นได้รับอัจฉริยะคนหนึ่งมาเป็นศิษย์ ไม่ออกมาลองดูกันสักตั้งก็คงจะไม่วางใจหรอก” อาจารย์ใหญ่หวงฝู่แบะปาก

การคัดเลือกของหอโอสถในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ไขกระดูกสีม่วงที่ปรากฏออกมา แต่ยังเป็นการพบกับศัตรูโดยบังเอิญอีกด้วย

มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว แต่สิ่งที่นางอยากจะได้ นางจะเอาชนะมาด้วยตัวเอง เป็นศิษย์สายตรงของปรมาจารย์แห่งหุบเขาหมอเทวดาแล้วยังไง”

อาจารย์ใหญ่กล่าวอย่างจนปัญญาว่า “ฝีมือการปรุงยาของสาวน้อยซีนั้นทำให้ผู้คนต่างต้องตกตะลึงก็จริง แต่ระดับพลังวิญญาณของนางยังไม่พอ การหลอมยาก็มีข้อจำกัด ศิษย์สายตรงของปรมาจารย์แห่งหุบเขาหมอเทวดาผู้นั้นอายุเยอะกว่านางสิบกว่าปี อีกทั้งของล้ำค่าในการปรุงยาที่ตาเฒ่าประหลาดนั่นมอบให้เขาอีก เกรงว่าการจะเอาชนะเขานั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย”

ปรมาจารย์แห่งหุบเขาหมอเทวดาจะจัดเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้กับศิษย์ของเขา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเอาหม้อพิษสามอสูรมาหรือไม่ หากเป็นเช่นนี้แล้วล่ะก็ คงจะดีไม่น้อยเลย

มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “มีข้าอยู่ ของล้ำค่าของนางไม่ขาดตกบกพร่องแน่นอน อาจารย์ใหญ่วางใจเถอะ!”

ในเมื่อจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรู แน่นอนว่ามู่เฉียนซีจะต้องตั้งใจฝึกฝนต่อไปแล้ว

มู่เฉียนซีพรวดเข้าไปที่ชั้นเก้า และท้าประลองกับซวนอี้

ซวนอี้รับคำท้าประลองอย่างสบาย ๆ ไม่นานนักทั้งสองก็เจอกันบนลานประลอง

มู่เฉียนซีกับซวนอี้นั้นได้ต่อสู้กันบ่อยมาก แต่การประลองในทุกครั้งก็มีผู้คนมาชมกันเต็มทุกครั้ง

การชมการต่อสู้ของสองผู้แข็งแกร่งของสำนักศึกษาซวนเสียนั้น สำหรับพวกเขาแล้วช่วยให้พวกเขาปรับปรุงมากเช่นกัน

“เดิมพันกันหน่อยว่าครั้งนี้จะเสมอกันหรือว่าศิษย์พี่ซวนอี้ชนะ!”

“ข้าเดิมพันว่าศิษย์พี่ซวนอี้ชนะ!”

“เสมอกัน!”

นับตั้งแต่การประลองในครั้งนั้นมู่เฉียนซีก็ไม่ได้ใช้พิษอีก นางใช้ทักษะวิญญาณและพลังวิญญาณต่อสู้กับซวนอี้ ดังนั้นส่วนมากนางจึงพ่ายแพ้ และมีบางครั้งที่ชนะ

“เหตุใดถึงไม่มีผู้ใดเดิมพันว่ามู่เฉียนชนะเลยหล่ะ!”

“ระดับพลังวิญญาณของศิษย์น้องมู่เฉียนซีนั้นยังคงห่างชั้นยิ่งนัก หากนางทะลวงพลังวิญญาณขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับสามได้ ข้าจะเดิมพันว่านางชนะ!”

ซวนอี้กล่าว “หากเจ้าต้องการห้องฝึกชั้นที่เก้า ข้ายอมแพ้ให้ได้!”

มู่เฉียนซีกล่าว “ไม่จำเป็นต้องยอมแพ้ ข้าจะทุ่มเทอย่างสุดกำลัง ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกลเพื่อเอาชนะให้ได้”

“เจ้าระวังตัวให้ดีหล่ะ!” ร่างของมู่เฉียนซีพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า

ร่างของนางได้กลายเป็นภาพมายานับไม่ถ้วน ทำให้ผู้คนต่างดูไม่ออกว่าร่างไหนเป็นร่างที่แท้จริง ร่างไหนเป็นร่างมายา

“มังกรวารีพิฆาต!”

“ทักษะเทียนซวน!”

ตูม เปรี้ยง เปรี้ยง!

ร่างของทั้งสองตัดสลับกันไปมา และได้ร่ายเพลงกระบี่สลับกันไปมาหลายต่อหลายรอบ

เข็มยาของมู่เฉียนซีตกกระหน่ำลงมาดุจดั่งสายฝน โจมตีจากทั่วทุกมุม

กระบี่มังกรเพลิงปรากฏขึ้นอีกครั้ง มู่เฉียนซีตะโกนอย่างเย็นชาว่า “มังกรเพลิงสังหาร!”

หลังจากที่มังกรเพลิงสีแดงฉานพุ่งออกไป เสียง แกร๊ง! ก็ดังขึ้น กระบี่เล่มนั้นก็หักลงอีกครั้ง

ซวนอี้เห็นกระบี่เล่มนั้นหักหลายต่อหลายครั้งจนรู้สึกเป็นเรื่องที่คุ้นชินไปแล้ว ทว่า หากเป็นของตนเองหักบ่อยเช่นนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะหลอมอาวุธเป็นแต่ก็รู้สึกจนปัญญาเช่นกัน

ฟึ่บ!

ในขณะที่เข็มยาที่มีขนาดเล็กกว่าเส้นผมเข็มนั้นปักเข้าที่ด้านหลังของซวนอี้ การต่อสู้ก็ได้ตัดสินชี้ขาดแล้ว

ทั่วทั้งร่างกายของซวนอี้ไร้เรี่ยวแรง แม้แต่ยืนก็ไม่อาจยืนได้ ทำได้เพียงค้ำกระบี่นั้นเพื่อทรงตัวให้อยู่

ซวนอี้กล่าว “กลอุบายของเจ้าช่างน่ากลัวยิ่งนัก พิษนี้ แม้แต่คิดจะยับยั้งข้าก็ไม่อาจจะยับยั้งได้”

“มู่เฉียนซีชนะ!”

หลังจากที่ผู้ตัดสินได้ประกาศผลลัพธ์ ทุกคนต่างก็ร้องโหยหวนขึ้น!

ไม่ได้เสมอกัน และซวนอี้ก็ไม่ได้ชนะ การเดิมพันครั้งนี้พวกเขาเดิมพันแพ้แล้ว

มู่เฉียนซีแก้พิษให้เขา และกล่าวว่า “ตอนนี้ห้องฝึกฝนเพียงห้องเดียวของชั้นเก้า ได้เป็นของข้าแล้ว”

ในระหว่างที่อาจารย์ใหญ่หวงฝู่ยังไม่ได้บอกวันเวลาที่จะเดินทางไปยังหุบเขาโอสถที่อวิ๋นโจวกับนาง มู่เฉียนซีก็ได้ฝึกฝนอยู่ในห้องฝึกฝนชั้นที่เก้าตลอดเพื่อจะทะลวงพลังวิญญาณ

ถึงอย่างไรเสียหลังจากที่นางได้ออกมาจากเซี่ยโจว ครั้งแรกกับการเผชิญหน้ากับคนของหุบเขาหมอเทวดา พลังวิญญาณไม่แข็งแกร่งขึ้นหน่อยจะได้อย่างไรเล่า

ในที่สุดข่าวการคัดเลือกของหอโอสถแห่งหุบเขาโอสถที่อวิ๋นโจวก็ถูกเผยแพร่ออกไป สำนักส่วนในไม่ได้สนใจเรื่องของหน่วยสำนักปรุงยาสักเท่าไหร่ ถึงอย่างไรแล้วผลลัพธ์ก็ไม่ได้น่าชมสักเท่าไหร่

ทว่า ตัวแทนของสำนักศึกษาซวนเสียที่เข้าร่วมในครั้งนี้เป็นผู้ใดเล่า ? พวกเขาไม่ได้มองผิดไปใช่หรือไม่ ?

คนจำนวนมากขยี้ตาหลายต่อหลายครั้งและกล่าวว่า “มู่เฉียนซี!”

“เป็นมู่เฉียนซีไปได้ยังไง! มู่เฉียนซีไม่ใช่เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสำนักส่วนในของพวกเราหรอกหรือ ?”

หลังจากที่มู่เฉียนซีได้เอาชนะซวนอี้ไป แน่นอนว่านางต้องกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแล้ว

“คงจะเป็นแค่คนชื่อเดียวกัน แซ่เดียวกันกระมัง! อาจจะไม่ใช่มู่เฉียนซีสำนักส่วนในของพวกเราก็ได้”

ซวนอี้ก็ได้รู้ข่าวนี้แล้วเช่นกัน สัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่าเป็นคนที่เขารู้จัก นั่นก็คือมู่เฉียนซีผู้ที่เขาคุ้นเคยผู้นั้น

ทว่า นี่มันผิดปกติยิ่งนัก มู่เฉียนซีบอกเขาว่านางเป็นนักหลอมอาวุธ เหตุใดถึงยังเป็นนักปรุงยาไปได้

น้อยคนนักที่จะเชี่ยวชาญทั้งสามด้าน อีกอย่างแต่ละด้านนั้นล้วนแต่ดีเลิศมาก นี่ไม่ใช่มนุษย์แล้ว

วันเวลาที่จะเดินทางไปอวิ๋นโจวนั้นได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ก็คือสามวันหลังจากนี้ และแน่นอนว่ามู่เฉียนซีก็ลงมาจากห้องฝึกฝนชั้นที่เก้าแล้ว

เพียงแต่ว่า ทันทีที่เดินออกมาจากหอรวมวิญญาณก็มีคนจำนวนมากที่ยืนอยู่ด้านนอก มู่เฉียนซีเห็นเช่นนี้แล้วก็ตกใจผงะไปครู่หนึ่ง นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น ? หรือว่าวันนี้มีกิจกรรมสำคัญที่หอรวมวิญญาณ ?

ในตอนนี้เองซวนอี้ก็เดินออกไป “มู่เฉียนซี อัจฉริยะนักปรุงยาที่จะไปหุบเขาโอสถที่อวิ๋นโจวเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกของหอโอสถผู้นั้น ใช่เจ้าหรือไม่ ?”

หลังจากที่พวกเขาได้ไปสืบสาวราวเรื่องมา นิสัยและรูปลักษณ์ภายนอกของมู่เฉียนซีก็เหมือนกัน แต่พวกเขาได้ไปสอบถามกับผู้อาวุโสสูงสุดมาแล้ว ผู้อาวุโสสูงสุดกลับบอกว่าไม่รู้ ตอนนี้พวกเขาต้องการจะพิสูจน์เรื่องนี้ให้แน่ชัด ว่ามู่เฉียนซีผู้นั้นใช่คนตรงหน้าผู้นี้หรือไม่