ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นพ้นยอดเขา ผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ก็กลับคืนสู่ความสว่างไสว ซินเย่ว์ยังคงถือกิ๊บติดผมบุษราคัมไว้ในมือขณะที่นางยังหลับอยู่ มุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยยังคงเต็มไปด้วยความหวานชื่น เมื่อคืนนางจินตนาการอยู่ตลอดทั้งคืน คิดตั้งแต่สมัยวัยเด็กตัวเล็กๆ จนกระทั่งถึงตอนนี้ สาวน้อยตัวเล็กๆ ที่ใส่พวงดอกไม้ไว้บนศีรษะถูกเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่น้ำมูกไหลเยิ้มเรียกว่าภรรยา แต่นึกหน้าของเด็กหนุ่มคนนั้นไม่ออกแล้ว นางจึงดึงดันฝืนนำใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยเข้าไปแทนที่
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็สามารถจินตนาการได้ต่างๆ นานา ประเดี๋ยวอวิ๋นเยี่ยกำลังขี่ม้าไม้ไผ่ ประเดี๋ยวก็หยิบกิ่งเหมยสีเขียว ในโลกแห่งจินตนาการอวิ๋นเยี่ยเป็นหุ่นเชิดของนาง ให้นางทำตามใจชอบได้ทุกอย่าง
ฉากเปลือยกายกระโดดน้ำจะขาดไปได้อย่างไรกัน เพียงแต่ซินเย่ว์ต้องการแสดงออกถึงความเขินอายจึงยกมือปิดตา แต่ก็ปล่อยให้เหลือร่องห่างประมาณนิ้วหัวแม่มือและจ้องมองบั้นท้ายที่เปลือยเปล่าของเด็กหนุ่มเหล่านั้นอย่างเงียบ ๆ รวมถึงของแปลกๆ ที่อยู่ตรงกลางระหว่างขาด้วย
ตอนเด็กๆ เคยถามท่านแม่ว่าทำไมนางถึงได้แตกต่างจากเด็กที่ไม่สวมเสื้อผ้าเหล่านั้น นางเองก็อยากเปลือยกายกระโดดน้ำบ้าง ทำให้ท่านแม่ตกใจจนรีบปิดปากอันจิ้มลิ้มของนาง บอกนางว่าเด็กผู้หญิงห้ามเปลือยกาย เพราะจะถูกขังในชะลอมแล้วจับถ่วงน้ำ
คำตอบนี้ทำให้ซินเย่ว์ในวัยเยาว์ใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงมาตลอดชีวิต ในเวลานั้นครอบครัวไม่ได้ร่ำรวยนัก ท่านปู่รับราชการอยู่ในเมืองหลวงที่ห่างไกล เบี้ยหวัดก็น้อยมาก ในครอบครัวมีสมาชิกจำนวนมาก ท่านพ่อต้องดูแลที่นาจึงจะพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องให้ทั้งครอบครัวได้อิ่มท้อง
ตั้งแต่สมัยอายุยังน้อย ซินเย่ว์ก็รู้ว่านางจะแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่ง สำหรับเรื่องที่ว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นคนที่นางไม่รู้จัก ในสายตานางแล้วเลวร้ายยิ่งกว่าการถูกจับขังใส่ชะลอมเสียอีก
เคยเห็นหญิงคนหนึ่งถูกจับเปลือยกายและใส่ชะลอมโดยไม่เหลือแม้แต่ด้ายเส้นเดียวให้นาง หัวหน้าเผ่าบอกว่าในเมื่อไม่มียางอายเช่นนั้นก็ไม่ต้องปกปิดอะไรอีกแล้ว จากนั้นชะลอมก็ถูกโยนลงน้ำ ไม่มีความคิดที่จะหยุดเลยแม้แต่น้อย หลังจากเกิดฟองจำนวนหนึ่งขึ้นมาชะลอมก็จมลงไป หญิงนางนั้นไม่ได้ดิ้นรน เพียงแค่ใช้มือจับหน้าอก ซินเย่ว์ในขณะนั้นคิดว่านางคงเสียชีวิตไปนานแล้วกระมัง
ทุกคนเห็นเรื่องนี้เป็นหัวข้อในการพูดคุย โดยเฉพาะท่านแม่ที่พร่ำบ่นพูดกับลูกสาวเป็นเวลาสามวัน บอกกับซินเย่ว์ว่านี่เป็นจุดจบของหญิงที่ไม่รักษาประเพณี นางหารู้ไม่ว่าลูกสาวของนางตัวสั่นเป็นเวลานานถึงสามวัน
ขณะที่ซินเย่ว์เอนกายอยู่ในอ้อมแขนของอวิ๋นเยี่ยมองดูภูเขาที่อยู่ห่างไกลนั้น ก็เคยถามอวิ๋นเยี่ยเรื่องชะลอมถ่วงน้ำ นางคิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเยี่ยจะให้คำตอบนางอีกอย่างหนึ่ง คำตอบที่ดีเพียงพอจะช่วยดึงนางออกจากฝันร้ายได้
ว่ากันว่าขณะที่เจ้าแม่หนี่ว์วา[1]สร้างคนนั้นได้สร้างผู้ชายขึ้นก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วโลกก็เต็มไปด้วยผู้ชายเพราะชีวิตไม่สามารถเพิ่มทวีขึ้นเองได้ หลังจากคนกลุ่มนี้ล้มตายไปแล้วโลกก็จะไร้ซึ่งมนุษย์อีก
เจ้าแม่หนี่ว์วาได้สร้างมนุษย์อยู่หลายครั้งหลายคราและเหนื่อยกับงานที่ไม่มีที่สิ้นสุดนี้ ดังนั้นหลังจากสร้างกลุ่มผู้ชายขึ้นมาใหม่อีกครั้งก็ได้นำกระดูกหนึ่งชิ้นมาจากร่างของพวกเขาและเลียนแบบรูปลักษณ์ของนางเองสร้างผู้หญิงขึ้น ดังนั้นการที่ผู้ชายตามหาคู่กับผู้หญิงจึงเป็นการที่ผู้ชายแสวงหากระดูกชิ้นนั้นของตนนั่นเอง
บางคนโชคดีมากใช้เวลาไม่นานนักก็ค้นพบชิ้นกระดูกของตนเอง บางคนค่อนข้างโชคร้ายที่ไม่ว่าอย่างไรก็หาไม่พบ ดังนั้นพวกเขาจึงเปลี่ยนคนไปเรื่อยๆ มนุษย์ล้วนแล้วแต่โลภไม่รู้จักพอ พวกที่มีเงินมีอำนาจก็อยากจะหากระดูกไว้หลายๆ ชิ้นเพื่อสำรองไว้จึงแต่งงานกับผู้หญิงหลายคน ผู้หญิงที่ถูกจับใส่ชะลอมคนนั้นก็เพียงแค่ไปอยู่ผิดตำแหน่งเท่านั้นเอง การลงโทษของหัวหน้าหมู่บ้านนั้นรุนแรงเกินไปหน่อย
“เจ้าเป็นชิ้นกระดูกของข้า” นี่คือคำหวานที่ชวนให้หลงใหลมากที่สุดที่ซินเย่ว์ได้ยินมา ประโยคนี้ทำให้ร่างกายอ่อนระทวย รุ่มร้อนไปทั้งร่าง เพื่อประโยคนี้แล้วถึงแม้ต้องตายก็ยินดี
ดวงอาทิตย์ส่องแสงมากระทบเปลือกตา โลกทั้งใบกลายเป็นสีชมพู ซินเย่ว์ไม่อยากที่จะตื่นขึ้นมาเลย ในความฝันนี้นางยังเขียนบันทึกประวัติศาสตร์ความรักของนางไม่เสร็จเลย เพิ่งจะฝันถึงขณะอายุสิบสองที่ได้เรียนหนังสือด้วยกันเพียงเท่านั้น เจ้าเด็กเกเรคนนั้นหยิบหนอนผักมาใส่ผมนางจนตกใจกลัวร้องไห้เสียงดัง และเด็กคนนั้นก็ถูกท่านพ่อที่เข้มงวดตีก้น ตนเองนั้นแอบดูจากร่องประตู
ชายคนนั้นที่ชื่อเหลียงซันปั๋วนั้นโง่มากหรือว่าหญิงที่ชื่อจู้อิงไถน่าเกลียดเกินไป เล่าเรียนด้วยกันเป็นเวลาสามปีจึงดูไม่ออกว่าจู้อิงไถเป็นผู้หญิง ถ้าหากตนเองแต่งตัวเป็นผู้ชายไม่รู้ว่าพี่เยี่ยจะดูออกหรือไม่
คำตอบก็คือดูออก เขาจะต้องดูออกอย่างแน่นอน ซินเย่ว์ดึงปลายผ้าห่มออกแล้วก้มหน้ามองหน้าอกของนาง ดึงคอเสื้อซับชั้นในให้สูงขึ้น หากใช้ผ้ารัดอกเขาก็ต้องดูออกอยู่ดี
เมื่อคิดถึงสองมือที่ซุกซนของอวิ๋นเยี่ย ซินเย่ว์ก็หน้าแดง ยกมือปิดไว้ด้านบนเพื่อไม่ให้หัวใจตนเองเต้นรัวเกินไป
เสี่่ยวชิวเข้ามาสามครั้งแล้ว คุณหนูยังคงหลับอยู่ ไม่กล้ารบกวนเพราะรู้ว่าเมื่อคืนคุณหนูนอนดึกมาก วันนี้จะต้องเป็นวันที่เหนื่อยมากวันหนึ่ง จึงอยากให้นางนอนพักอีกสักครู่ เพียงแต่เห็นคุณหนูเอาหน้าซุกอยู่ใต้ผ้าห่ม ก็รู้ว่านางตื่นแล้ว
“คุณหนูเจ้าคะ วาสนาที่แสนดีมาถึงแล้วกำลังรอให้ท่านต้อนรับอยู่ ตื่นเถอะคุณหนู” นางนั่งลงข้างเตียงและเริ่มเขย่าคุณหนูของงนาง ซินเย่ว์ถีบและเตะจากในผ้าห่มอย่างหงุดหงิดและลุกขึ้นด้วยความรำคาญ ผมยาวสลวยของนางปกคลุมบนไหล่ นั่งขยี้ตาที่ยังง่วงนอนอยู่ เสื้อผ้าไม่ได้รัดแน่นมากจึงเผยให้เห็นเนินอก ทำให้เสี่ยวชิวเห็นแล้วถึงกับตะลึงไป คุณหนูสวยมาก!
นางจ้องเสี่ยวชิวแล้วดึงเสื้อให้มิดชิด วางเจ้ากระต่ายขนปุกปุยตัวใหญ่ที่อยู่ข้างกายให้นั่งให้เรียบร้อย กระต่ายตัวนี้อวิ๋นเยี่ยเป็นคนมอบให้ในวันเกิดนางซึ่งเป็นหัวแก้วหัวแหวนของนาง จากนั้นมองดูกิ๊บติดผมในมือ เมื่อเห็นว่าเหมือนเดิมเป็นปกติดีไม่เสียหาย จึงยอมลุกขึ้นไปอาบน้ำยังถังอาบน้ำที่เสี่ยวชิวได้เตรียมไว้ให้ เพื่อเตรียมต้อนรับวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง
บ้านตระกูลซินครึกครื้นมาก บิดามารดาไม่ได้อยู่ข้างกาย จึงมีแต่พี่ชายคนโตที่รีบร้อนเดินทางไกลนับพันลี้มาจากแดนเสฉวนก็เพื่อแบกซินเย่ว์ออกจากบ้านไปส่งให้อวิ๋นเยี่ย ตอนนี้กลับไม่เจอตัวเขาเพราะหลบอยู่ในสำนักศึกษาเอาแต่นั่งดูโครงกระดูกมังกร ได้ยินว่าดูมาสามวันแล้วทั้งยังขึ้นเขาไปพร้อมกับเว่ยอ๋องอีกด้วย ได้ยินว่าคราวนี้โยนวัวหนึ่งตัวลงมาจากบนเขาด้วย ไม่รู้ว่าวัวที่น่าสงสารตัวนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ล้วนแล้วแต่พวกบ้าทั้งนั้น เพิ่งจะมาสำนักศึกษาได้ไม่กี่วันก็คบหาสหายจำพวกสำมะเลเทเมาจำนวนมาก ไม่รู้จักคิดว่าควรอยู่เป็นเพื่อนท่านปู่ที่บ้าน
นางบ่นไปพลางเดินลงข้างล่างไปพลาง แม่เฒ่าที่ดูใจดีมีเมตตาได้นั่งรออยู่ในห้องโถงเล็กๆ เมื่อเห็นซินเย่ว์ออกมา ก็ยิ้มอย่างมีความสุขมากขึ้น “ช่างเป็นหญิงสาวที่งดงามอะไรปานนี้ โหวเหยียของตระกูลอวิ๋นข้าน้อยก็เคยเห็นมาก่อน ช่างเป็นการจับคู่ที่เหมาะสมอะไรเช่นนี้”
เพียงพริบตาเดียวซินเย่ว์ก็ถูกล้อมรอบไปด้วยบรรดาฮูหยินทั้งหลาย เมื่อมาถึงที่อาบน้ำพวกนางก็ไม่มีทีท่าว่าจะออกไปเลย คนหนึ่งคอยโปรยกลีบดอกไม้ลงในถังอาบน้ำ อีกคนหนึ่งหยิบขวดน้ำหอมเทลงไปในถังอาบน้ำครึ่งขวดเล็ก ส่วนที่เหลือนั้นแน่นอนว่าต้องรีบเก็บเอาไว้ในแขนเสื้อ
เสี่ยวชิวไม่มีโอกาสได้เข้าไปช่วยเลย แม่เฒ่าเริ่มช่วยซินเย่ว์ถอดเสื้อผ้าและใช้ปิ่นปักผมจิ้มลงไปที่แขนของซินเย่ว์หนึ่งครั้ง ท่ามกลางการร้องเสียงหลงของซินเย่ว์ ขั้นตอนของการแต่งงานของนางก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ซินเย่ว์ถูกแทงเพียงเข็มเดียว อวิ๋นเยี่ยก็แทบจะกระโดดออกจากหน้าต่าง แต่กลุ่มฮูหยินห้อมล้อมเขาเอาไว้ ช่วยกันคนละไม้คนละมือถอดเสื้อผ้าเขาออกเหลือเพียงกางเกงขาสั้น แล้วจับใส่ถังอาบน้ำและปล่อยผมของเขาลงมา จากนั้นจึงเริ่มการอาบน้ำ และที่เลวร้ายที่สุดคือการถือก้านของต้นสนฟาดเขา เหมือนกับการถ่ายทำหนังที่ถ่ายฉากซ้อมตีอย่างรุนแรง แม่เฒ่ายืนสองมือวางบนไม้เท้า ยิ้มตาหยีมองดูหลานชายกำลังรับโทษ เฉิงฉู่มั่วเกาะดูอยู่ที่ขอบหน้าต่างมองดูขั้นตอนต่างๆ เตรียมตัวที่จะแต่งงานในอีกสองเดือนข้างหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึง หนิวเจี้ยนหู่เป็นผู้ที่ผ่านมาก่อน จึงมีท่าทีเข้าอกเข้าใจดี เขาเคยรับโทษประเภทนี้มาก่อน
หากไม่เป็นเพราะอวิ๋นเยี่ยริเริ่มประดิษฐ์กางเกงใน ตอนนี้ไม่แน่ว่าคงร่างเปลือยเปล่าไปนานแล้ว แม่เฒ่าที่ผมขาวโพลนอ้าปากกว้างจนเห็นฟันหลอ แต่มือนั้นกลับคล่องแคล่วปราดเปรียว อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าหลังของเขาจะต้องเจ็บหนักเป็นแน่ ทั้งตีและฟาด อย่าว่าแต่ความโชคร้ายเลย หากเป็นวาสนาก็คงถูกฟาดจนหายไปหมดตั้งนานแล้ว เมื่อทรมานเสร็จแล้ว เหล่าฮูหยินก็จากไปด้วยความพึงพอใจ เฉิงฉู่มั่วเกาะขอบถังไม้ มองดูอวิ๋นเยี่ยที่หายใจรวยรินอย่างเวทนา หนิวเจี้ยนหู่นั้นมอบเหล้าอุ่นร้อนหนึ่งขวดให้อวิ๋นเยี่ย หวังว่าเขาจะดื่มเรียกขวัญกลับมาและให้กำลังใจเขา “กัดฟันให้ผ่านพ้นวันนี้ไปได้ วันเวลาแห่งความสุขก็จะมาเยือนแล้ว”
อวิ๋นเยี่ยเป็นเหมือนตุ๊กตาไม้ ปล่อยให้เหล่าฮูหยินที่ดีใจจนออกนอกหน้าทำตามอำเภอใจ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจึงต้องใส่ชุดขุนนาง ทั้งยังต้องเป็นชุดที่ใส่ในการประชุมเช้า
เพื่อไม่ให้เสื้อผ้าขาดๆ นี่ยับจึงต้องเย็บบุหนาถึงแปดชั้น เมื่อวานเพิ่งจะหัวเราะชาวบ้านที่สวมเสื้อผ้าฤดูหนาวไป วันนี้ตนเองก็ถูกห่ออย่างแน่นหนามิดชิด ไม่มีช่องว่างให้อากาศไหลผ่านเลย แดนกวนจงในเดือนสี่ตามปฏิทินจันทรคติและเดือนห้าตามปฏิทินสุริยคติ หากจะเปรียบแสงแดดราวกับเปลวไฟก็ไม่เกินจริงเลย สวมเสื้อผ้าเช่นนี้ไม่มีผดขึ้นก็แปลกแล้ว
การแต่งงานถือเป็นเรื่องรับโทษอย่างหนึ่งจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยโบราณด้วยแล้ว คราวก่อนที่แต่งงานแล้วต้องสวมชุดสูทและเนกไทก็ว่าโง่มากแล้ว คราวนี้ต้องกลับมาสวมชุดเป็นทางการของสมัยถังยิ่งดูโง่กว่าอีก
“มา สวมเสื้อด้านในก่อนแล้วใส่กางเกงซับใน โอ้ ผิดแล้ว ต้องสวมถุงเท้าก่อน เชือกผูกไว้ที่ต้นขา เสื้อผ้าทุกชิ้นต้องผูกด้วยสายเชือก จุๆๆ คนหนุ่มสวมชุดแดงนั้นดูดี ไม่เหมือนตาเฒ่าที่บ้านของข้า เมื่อสวมแล้วดูเหมือนปู” ใช่แล้ว นี่คือคำพูดของเฉิงฮูหยินโดยพูดผ่านป้าสะใภ้ของอวิ๋นเยี่ย แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรอวิ๋นเยี่ยก็คิดว่านางกำลังเก็บประสบการณ์จากเรื่องของตนเอง เพื่อที่จะเตรียมพร้อมสำหรับงานแต่งงานของลูกชายจอมโง่ของนาง
แผ่นทับทรวงรึ ฉันจะแต่งงานไม่ได้ไปรบ แขวนของสิ่งนี้เพื่ออะไร อะไรกัน พวกตระกูลของอู่โหวก็ทำกันเช่นนี้ นี่เป็นประเพณี ที่เอวต้องแขวนจี้หยกสี่ถึงห้าชิ้น ที่คอยังต้องแขวนเครื่องประดับหยกอีกสองเส้น อยู่หน้าผากยังต้องคาดผ้าหนึ่งเส้นที่ประดับด้วยหยกอีกด้วย อวิ๋นเยี่ยคิดว่าเขาสามารถเปิดร้านขายหยกได้
ดาบหนักราวสองกิโลกรัมครึ่งก็ต้องห้อยติดตัว บนศีรษะสวมรัดเกล้าทองคำ หากปักขนไก่เพิ่มก็เป็นหลี่ว์ปู้[2]หลี่เฟิ่งเซียนแล้ว หลังจากทรมานอยู่กับการแต่งกายและกราบไหว้บรรพชน หนิวฮูหยินก็พบข้อผิดพลาดครั้งใหญ่
ไม่มีการผัดแป้ง เช่นนี้ใช้ได้อย่างไรกัน เหล่าฮูหยินต่างยกมือตบหน้าผากลากอวิ๋นเยี่ยกลับมา ถอดหมวกออกแล้วล้างหน้าใหม่ ดอกไม้ผ้าไหมที่ได้รับพระราชทานจากในวังนั้นได้เลือกดอกสีแดงและขนาดใหญ่ เตรียมที่จะปักไว้บนศีรษะ
จากการที่อวิ๋นเยี่ยต่อต้านด้วยการเอาความตายเข้าข่มขู่ เหล่าฮูหยินก็ทาแป้งบางๆ ให้เขาหนึ่งชั้น แต่ดอกไม้พระราชทานนั้นปฏิเสธไม่ได้ จึงถูกปักอยู่ด้านข้างรัดเกล้าทองคำสีม่วงซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าศีรษะ
ตั้งแต่เช้าจรดค่ำไม่ได้ดื่มน้ำและกินข้าวแม้แต่คำเดียว ก็ถูกท่านย่า ป้าสะใภ้และพี่สาวพาออกไปต้อนรับญาติ ผู้ที่นั่งอยู่บนม้าข้างๆ คือเฉิงฉู่มั่วที่สวมชุดธรรมดาสีหน้าซีดเผือดเหมือนผี บนศีรษะก็ปักดอกไม้สีแดงดอกโตไว้หนึ่งดอกเช่นกัน อ้าปากกว้างเหมือนกะละมังราวกับเพิ่งถูกเผาไฟมา ใบหน้าอึ้งทึ่งตกตะลึงดูเหมือนว่าการให้เขารับมือกับเหล่าฮูหยินของฝ่ายเจ้าสาวนั้นดูแล้วไม่น่าจะไหว
โชคดีที่จั่งซุนชงซึ่งรีบกลับมาจากหล่งโย่วนั้นมีความน่าเชื่อถือมากกว่ามาก แม้ว่าจะไม่ได้ดูดีบุคลิกดีทั้งยังถูกดอกไม้บังใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง แต่จากการแสดงสีหน้าที่ภาคภูมิใจของเขาดูเหมือนจะชื่นชอบความรู้สึกที่ต้องถูกสายตาฝูงชนจ้องมองเป็นอย่างมาก
“ฉงจื่อ ประเดี๋ยวคงต้องพึ่งพาเจ้าแล้ว ฉู่มั่วถูกปลดแล้ว” อวิ๋นเยี่ยพูดกับจั่งซุนด้วยความวิตกกังวล
“อีกสักครู่ปล่อยให้เขารับหน้าที่ถูกทุบตีก็พอ ส่วนที่เหลือมอบให้เป็นหน้าที่ของพี่ชายเอง จั่งซุนชงมีความมั่นใจมาก
“ถูกทุบตี ใครจะมาตีพวกเรา” หรือว่าญาติฝ่ายหญิงเห็นผีประหลาดสามตัวกำลังเข้าประตูมา จึงต้องเตรียมปราบผี
“ใช่ ต้องถูกตี ทั้งยังเป็นการรุมตีด้วย!
——
[1] เจ้าแม่หนี่ว์วา เป็นเทพีผู้ให้กำเนิดสรรพสิ่งตามประมวลเรื่องปรัมปราจีน เป็นน้องสาวหรือพี่สาวและเป็นภริยาของฝูซี (伏羲)
[2] หลี่ว์ปู้ คือ ลิโป้ ในวรรณกรรมเรื่องสามก๊ก