ส่วนที่ 5 ตอนที่ 62 ฝ่าด่านรับเจ้าสาวอย่างมุ่งมั่น

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

เมื่อดวงอาทิตย์ลอยอยู่เหนือยอดเขา ขบวนรับเจ้าสาวที่นำโดยอวิ๋นเยี่ยก็มาถึงเรือนเล็กๆ ของตระกูลซิน อาคารขนาดเล็กในรูปแบบนี้ได้นำความยากลำบากเป็นอย่างมากมาสู่การรับเจ้าสาว นอกจากจะง่ายแก่การป้องกันและโจมตียากแล้ว ในตอนนั้นเพื่อแสดงออกถึงความเป็นส่วนตัวผนังลานกว้างไม่ได้เลือกกำแพงแนวป้องกันที่มีความสูงครึ่งตัวคน ทั้งหมดเป็นกำแพงป้องกันที่สูงถึงสามเมตร ในเวลานั้นยังโดนเหล่าอาจารย์แห่งสำนักศึกษาวิพากษ์วิจารณ์ด้วยวาจาและอักษร

 

บรรยากาศอะไรที่ว่าชื่นชมทัศนียภาพเขาหนานซันนั้นถูกทำลายไปจนหมดสิ้น อาจารย์ทุกคนในสำนักศึกษาล้วนเป็นจอมโจรทั้งนั้น ไม่เช่นนั้นทำไมต้องสร้างกำแพงสูงเช่นนี้ ต่างก็เป็นสุภาพบุรุษใจกว้างกันทั้งนั้น มีอะไรที่เปิดเผยไม่ได้กัน

 

ผู้ที่มีอารยธรรมและผู้หญิงนั้นเหมือนกันตรงที่ว่าเอาใจพวกเขายากมาก แต่ละคนมีอารมณ์แปรปรวนจนน่าทึ่ง หลี่เค่อที่จนด้วยเกล้าภายหลังขณะจะสร้างกำแพงแนวป้องกันที่สูงครึ่งตัวคนและแบ่งเป็นห้องห้องนั้น บรรดาอาจารย์ก็รีบแย่งกันอยากจะได้ลานกว้างที่ก่อกำแพงสูง ไม่ต้องการกำแพงสูงครึ่งตัวคนอีกต่อไป

 

ตอนนี้อั่งเปาที่แจกเพื่อผ่านโซ่กั้นประตูก็แจกไปมากมายแล้ว ประตูใหญ่ที่หนักมากเพิ่งจะเปิดแง้มเป็นร่องให้เห็นและยังต้องอ่านบทกวี จั่งซุนชงเดินหน้าต่อไป เปล่งเสียงให้ดังฟังชัดเริ่มอ่านบทกวีสำหรับผ่านประตูที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมานับร้อยปี

 

หลังจากอ่านบทกวีเสร็จสิ้นประตูก็ปิดลงอีกครั้ง เฉิงฉู่มั่วโกรธมากและตะโกนเรียกคนตัวใหญ่ๆ หนาๆ มาจากนั้นพวกเขาก็เริ่มผลักประตูกันซึ่งพวกเขาล้วนเป็นนักสู้ในกองทัพย่อมรู้วิธีที่จะทำลายสลักประตู เพียงแค่ใช้กลยุทธ์เล็กน้อย สลักประตูที่หนาเท่าท่อนแขนก็พังทลายลงในพริบตาและเปิดออกทั้งสองข้าง ด้านหลังประตูก็มีเสียงร้องโหยหวนดังมาเป็นระยะๆ

 

อวิ๋นเยี่ยเดินหน้าต่อต้องการจะเข้าไปข้างใน จึงถูกจั่งซุนชงเข้ามาลากตัวเอาไว้ ให้หยุดสักครู่ เฉิงฉู่มั่วจึงเป็นผู้นำกลุ่มเข้าไปก่อน เหล่าฮูหยินกลุ่มใหญ่มากแต่ละคนถือกระบองพันผ้าไว้แล้วแห่กรูกันเข้ามากระหน่ำลงมือ หากอยากจะสวนกลับก็ได้กลิ่นของน้ำหอมเพียงอย่างเดียว ยังไม่ทันได้ลงมือก็ได้แต่ต้องยกสองมือกุมศีรษะ และใช้ร่างกายฝืนต้านทานกระบองที่รุมกระหน่ำเข้ามาราวกับห่าฝน

 

จากนั้นจั่งซุนชงจึงพาอวิ๋นเยี่ยเดินเอ้อระเหยลอยชายฝ่าฝูงเหล่าฮูหยินที่ดุดันมาถึงรับแขก หัวหน้าซินมีสีหน้าไม่พอใจ กรงเล็บเหยียดออกจนตึง หากไม่มีอั่งเปาก็ไม่ต้องขึ้นไปข้างบน

 

ว่าที่พี่ภรรยานี่นะ ต้องหาทางจัดการเขาออกไป เห็นเขาเหล่มองจี้หยกที่เอวของอวิ๋นเยี่ยแปลว่าต้องถูกใจแน่ อวิ๋นเยี่ยจึงได้เข้าใจว่าจี้หยกที่ห้อยอยู่ที่เอวของเขานั้นต้องแขวนไว้เพื่อเป็นสินบนพี่ภรรยานี่เอง เมื่อดึงลงมาก็มอบให้ถึงสองอันแล้วใส่ไว้ในมือของหัวหน้าซิน แต่เขายังไม่พอใจยังตั้งใจจะข่มขู่อีกสักเล็กน้อย

 

จั่งซุนชงกระซิบข้างหูหัวหน้าซินอยู่ครู่หนึ่งก็ทำให้เขาดีใจจนเนื้อเต้น อวิ๋นเยี่ยได้ยินรางๆ เพียงสามคำว่าเอี้ยนไหลโหลว

 

ห้องส่วนตัวด้านบนมีเสี่ยวชิวสาวใช้ข้างกายซินเย่ว์ยืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง นับตั้งแต่ที่นางรู้ว่าโหวเหยียไม่ได้สนใจในตัวนาง ต้องการเพียงคุณหนูไม่ต้องการนาง ใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นก็ไม่เคยยิ้มให้อวิ๋นเยี่ยอีกเลย ร้องไห้มาหลายครั้ง แล้วพูดว่าสาวใช้บ้านอื่นเมื่อคุณหนูแต่งงานสาวใช้ก็ต้องแต่งงานกับนายท่านด้วย ตนเองไม่มีใครต้องการ ซึ่งถือเป็นความอัปยศอย่างมากและจะต้องแก้แค้น จนกระทั่งอวิ๋นเยี่ยสัญญาว่าจะหาคนที่ดีให้นาง นางจึงได้ยอมเลิกรา

 

ตอนนี้เมื่อได้เจอศัตรูก็เกิดอาการอิจฉาอย่างมาก โกรธจนกัดฟันกรอดๆ จากนั้นตะกร้าเล็กๆ ก็ถูกยื่นออกมา จั่งซุนชงตกใจมาก สาวใช้เฝ้าประตูของบ้านอื่นเพียงแค่เจ้าบ่าวส่งสายตาให้เล็กน้อยก็ยอมปล่อยให้ผ่านไปได้อย่างง่ายดาย เหตุใดเมื่อถึงคราวอวิ๋นเยี่ยจึงต้องใส่ของในตะกร้าให้เต็มจึงจะยอมปล่อยผ่าน

 

ในฐานะที่เป็นผีจอมเจ้าชู้คุ้นเคยกับเหล่าสาวๆ มานาน เพียงแค่กวาดตามองเรือนร่างที่อรชรอ้อนแอ้นเหมือนปลาดาบของเสี่ยวชิว ก็เข้าใจได้ในทันทีว่าอวิ๋นเยี่ยปฏิเสธนาง ความแค้นนี้จึงใหญ่หลวงมาก ไม่น่าแปลกใจเลยที่จะยื่นตะกร้าออกมา ไม่ได้ใช้ตะกร้าไม้ไผ่สานถือว่าไว้หน้าเจ้าบ่าวมากแล้ว

 

อวิ๋นเยี่ยถูกปลดทรัพย์จนหมดตัว แม้แต่จั่งซุนชงเองก็ไม่รอดจากเคราะห์กรรมนี้ได้จึงถูกรีดไถตามไปด้วย เสี่ยวชิวเดินยิ้มหวานถือตะกร้าจากไป แม้แต่การท่องบทกวีรับเจ้าสาวก็ไม่เรียกให้ท่อง ของในตะกร้าใบนี้มากเพียงพอที่จะให้นางได้เสวยสุขทั้งชีวิตแล้ว

 

ประตูเปิดออกแล้ว ซินเย่ว์ที่กำลังร้องไห้กระซิกอยู่ด้านหลังแม่สื่อ แป้งบนใบหน้าของนางที่ไม่ได้บางไปกว่าแป้งบนใบหน้าของจั่งซุนชงสักเท่าไรถูกน้ำตาชะล้างจนหายไปหมดแล้ว กำลังเอนกายอยู่ในอ้อมแขนของอาจารย์ซินฟังคำปลอบโยนอยู่ อาจารย์ซินเองก็ขอบตาแดงๆ พยายามปลอบใจหลานสาวอย่างเต็มที่ เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยเข้ามาจึงยืนขึ้นแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ดูแลซินเย่ว์ให้ดี นางเป็นเด็กดี” เมื่อพูดจบก็หันกลับเดินลงชั้นล่างไปซึ่งดูเหมือนว่าจะรับไม่ได้กับสถานการณ์เช่นนี้

 

อวิ๋นเยี่ยตกตะลึงเป็นอย่างมาก ลาที่ตนเองเลี้ยงมีหรือจะไม่รู้จักนิสัยมัน ซินเย่ว์อยากจะแต่งงานกับเขามานานแล้ว แม้ว่าความรู้สึกผูกพันกับท่านปู่จะลึกซึ้ง แต่ก็ไม่ได้อยู่ห่างไกลกันสามารถเจอกันได้ตลอดเวลา ยังไม่ถึงขั้นต้องโศกเศร้าเสียหน่อย หลายวันก่อนยังถามตนเองอยู่ว่าหากถึงวันแต่งงานแล้วร้องไห้ไม่ออกจะทำอย่างไร จะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะหรือไม่ ทำไมวันนี้จึงร้องไห้เศร้าโศกเสียใจเพียงนี้ ดูซินเย่ว์ร้องไห้น้ำตาอาบแก้มเช่นนี้ไม่ได้เป็นผลมาจากการใช้ของต่างๆ เช่น หัวหอม ขิง เป็นแน่

 

อวิ๋นเยี่ยจึงได้แต่คิดว่าเรื่องถึงขั้นนี้แล้ว ประตูแห่งความรู้สึกของซินเย่ว์ได้เปิดกว้างออกไม่เป็นตัวของตัวเอง

 

เกี๊ยวที่ถูกส่งเข้ามานั้นยังดิบอยู่ ซินเย่ว์กินเกี๊ยวดิบทั้งน้ำตา ทั้งยังถูกเหล่าฮูหยินรบเร้าถามว่าเกี๊ยว “ดิบ” หรือไม่ ซินเย่ว์ตอบเสียงงึมงำว่า “ดิบ” พวกนางจึงยอมปล่อยนาง

 

เมื่ออวิ๋นเยี่ยเห็นซินเย่ว์ขยับปากขอเวลาอีกสักครู่ ไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงดูลำบากเพียงนั้น แต่ก็ยังบอกกับทุกคนอย่างชัดเจนว่าใกล้จะถึงฤกษ์แล้วต้องรีบออกเดินทาง

 

อวิ๋นเยี่ยนำอยู่ข้างหน้าและอาจารย์ซินแบกซินเย่ว์ตามมาข้างหลัง เมื่อออกมาแล้วใบหน้าที่หัวเราะสนุกสนานก็หายไป ทุกคนต่างมีสีหน้าเศร้าซึม พวกฮูหยินที่ใจอ่อนก็ถึงกับร้องไห้ ไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่ สรุปแล้วมันดูเศร้าโศกมาก

 

เฉิงฉู่มั่วโดนตีมาโดยตลอด ที่จริงแล้วเพียงแค่เขาร้องขอความเมตตาและอ้อนวอนเสียหน่อยเรื่องนี้ก็จะผ่านไปได้ ใครจะรู้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่รู้ว่าอะไรเรียกว่าการยอมจำนนและไม่รู้จักวิ่งหนี เอาแต่นั่งยองๆ อยู่ตรงนั้นให้พวกนางตีจนกระทั่งพวกนางเหนื่อยจึงได้ยอมเลิกรา เฉิงฉู่มั่วจึงได้ยืนขึ้นบิดคอแล้วยิ้มแหะๆ ให้กับฮูหยินเหล่านั้นและตามอวิ๋นเยี่ยออกไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อมาถึงข้างนอกจึงได้รีบนวดแขนแยกเขี้ยวยิงฟันตะโกนร้องว่าเจ็บ เหล่าฮูหยินเห็นว่าเขาไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีจึงลงมืออย่างสุดแรง จั่งซุนชงหัวเราะจนเดินไม่ตรงทาง ในเวลานี้เขาจึงได้สติตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายที่ถูกปล้น เมื่อเห็นสภาพที่น่าอนาถของเฉิงฉู่มั่วในใจก็สงบลงมาก

 

มีขันที่มารอที่นี่ตั้งนานแล้ว และส่งมอบตราแต่งตั้งที่เตรียมไว้ให้กับซินเย่ว์ ท่านปู่ของนางใช้เวลาชั่วชีวิตกว่าจะได้ตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ ซึ่งเทียบไม่ได้กับหลานสาวที่แต่งงานกับคนคนหนึ่ง

 

จมูกของซินเย่ว์เปล่งประกาย ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดทุกครั้งเวลาที่นางตื่นเต้น รับชุดพระราชทานท่ามกลางสายตาที่อิจฉาเป็นที่สุดของเหล่าฮูหยินขึ้นเกี้ยวไป ไม่เช่นนั้นนางจะไม่มีสิทธิ์นั่งเกี้ยวม้าสี่ตัวลากของตระกูลอวิ๋น

 

นางออกเดินทางด้วยการแต่งกายเต็มยศ ทหารองครักษ์ที่สวมชุดเกราะยี่สิบสี่คนเดินเปิดทางอยู่ด้านหน้า ทุกคนล้วนสวมเสื้อคลุมสีแดงดูมีบารมีเป็นอย่างมาก เสียงออกคำสั่งดังขึ้น ขบวนก็ออกเดินทาง การรับเจ้าสาวของตระกูลของผู้เป็นอู่โหวนั้นแตกต่างจากขุนนางฝ่ายบุ๋นและชาวบ้านโดยใช้เสียงกลองรบเบิกฤกษ์ เสียงกลองสามครั้งเพื่อคารวะฟ้าดิน ปีศาจมารร้ายต้องถอยหนี

 

ขณะที่อวิ๋นเยี่ยกำลังเดินทางอยู่บนถนนใหญ่นั้น เขาไม่รู้เลยว่าสองข้างทางของถนนมีร่างเงาที่ว่องไวสิบกว่าคนวิ่งทะลุผ่านป่าบนภูเขาอย่างรวดเร็วทำหน้าที่ตรวจสอบตามเบื้องหน้าของถนนทั้งสองด้าน แน่นอนว่าชายผู้นั้นคือหลิวเซี่ยน ธนูยาวที่อยู่ข้างหลังตอนนี้ถูกถือไว้ในมือ ประสาทสัมผัสทางการมองและฟังต้องใช้งานอย่างเต็มที่ หากจู่ๆ กอหญ้าเกิดเสียงอะไรขึ้น ขณะที่ธนูและหน้าไม้ที่หนักอึ้งจะถูกง้างออกรอที่จะยิง ลูกธนูก็ได้ปักลงที่คอหอยของเขาแล้ว

 

เขาไม่ได้ไปร่วมงานแต่งงานของอวิ๋นเยี่ยโดยอ้างว่าไม่สบาย ชายฉกรรจ์ที่คล่องแคล่วปราดเปรียวราวกับเสือดาวมีอาการป่วยเสียที่ไหนกัน ถึงแม้ว่ารอยเท้าจะเล็ก แต่ความเร็วนั้นกลับเร็วมาก นี่คือนักฆ่าคนที่สี่ที่เขากำจัดทิ้ง ในฐานะหัวหน้าองครักษ์ในวัง คนที่จะสั่งการเขาได้มีเพียงฮ่องเต้และฮองเฮาเท่านั้น

 

ตระกูลซินไม่ได้อยู่ห่างจากตระกูลอวิ๋นสักเท่าไร ตลอดทางมีจุดลอบสังหารที่ดีอยู่ไม่กี่แห่ง พวกนักดาบพเนจรและพวกโจรที่ไม่รู้จักที่ตายเหล่านั้น ฝันที่จะใช้เลือดของคนตระกูลอวิ๋นเพื่อแลกกับเงินก้อนใหญ่ ตอนนี้เงินยังไม่ได้เห็นแต่ชีวิตนั้นหายไปแล้ว

 

จึงเตะเท้าหนึ่งเข้าที่นักฆ่าที่กำลังหายใจหืดหอบอย่างรุนแรงจนพลิกคว่ำ ฉีกเสื้อของเขาออกเห็นรอยสักลายเสือ หลิวเซี่ยนพูดเบาๆ ว่า “พรรคเหมิงหู่จอมวายร้าย คิดว่าพวกเขาสามารถอาละวาดในฉางอันได้อย่างนั้นหรือ” เมื่อพูดจบเหล็กแหลมของรองเท้าก็เตาเข้าอย่างแรงที่ช่วงกระหม่อมของนักฆ่า

 

อวิ๋นเยี่ยประเมินความโกรธแค้นของโต้วเอี้ยนซันที่มีต่อตนเองต่ำเกินไป เงินห้าพันก้วนทำให้ผู้ที่ถวายชีวิตเพื่อเงินเกิดความบ้าคลั่ง ในเมืองฉางอันที่เจริญรุ่งเรืองก็ต้องมีบางสถานที่ที่ดวงอาทิตย์ไม่สามารถส่องแสงเข้าถึงได้และคนที่ทำงานแลกชีวิตก็จะเดินอยู่ในมุมที่มืดมิดนั้น

 

ภายใต้การอนุญาตอย่างลับๆ ของฮ่องเต้ จั่งซุนจึงมีคำสั่งลงมาให้หลิวเซี่ยนนำทหารราชองครักษ์ห้าสิบคนคอยป้องกันอวิ๋นเยี่ยอย่างลับๆ หลายวันนี้นักฆ่าที่ถูกกำจัดไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่ใช่พวกโง่เง่าที่เปิดเผยให้รู้เหล่านั้น

 

หลังจากหลิวเซี่ยนนำองครักษ์มุ่งหน้าต่อไป ศีรษะของเหล่าเจียงก็โผล่ออกมาจากกอหญ้าและโบกมือ ชายชราอีกคนที่แบกธนูสั้นไว้อีกคนหนึ่งก็ไหลตัวลงมาจากต้นไม้ ชายชราที่แบกธนูสั้นเบ้ปากใส่ทิศทางที่หลิวเซี่ยนมุ่งหน้าห่างออกไปและพูดกับเหล่าเจียงว่า “หัวหน้าเจียง เจ้าเด็กบ้าคนนี้เป็นลูกของหน่วยข่าวกรองหรือ ทำไมทำอะไรไม่เรียบร้อยเลย ท่าทางก็ดูดีแต่ทำไมดูไม่มีสมองเอาเสียเลย หากเราสองคนลงมืออย่างเ**้ยมโหด เด็กหนุ่มทั้งหกคนนี้จะสามารถมีชีวิตรอดกลับไปได้อีกหรือ ชายหนุ่มที่เป็นที่หวาดเกรงของทุกคนเมื่อสมัยก่อนหายไปไหนแล้ว ตอนนี้กลายเป็นพวกเด็กฝึกหัดไปเสียแล้ว”

 

“โหวเหยียอายุน้อยและไม่มีประสบการณ์ นี่เป็นโอกาสที่ชายชราอย่างพวกเราจะออกโรงแล้ว เรื่องฆ่าคนไม่จำเป็นต้องให้มือโหวเหยียเปรอะเปื้อน โหวเหยียเพียงแค่นำพวกชาวบ้านคอยแย่งกันเก็บเหรียญก็พอแล้ว สำหรับหน่วยข่าวกรอง ตาเฒ่าเหล่านั้นต่างก็ไปนั่งเสพสุขกันหมดแล้ว ตอนนี้จะรำดาบได้หรือไม่ยังไม่แน่เลย ความร่ำรวยคือดาบที่ฆ่าคน วันนี้เป็นวันดีที่ฮูหยินน้อยจะแต่งเข้าบ้าน สองมือของพวกเราก็เปื้อนเลือดให้น้อยลงหน่อยถือเป็นการสะสมบุญให้กับโหวเหยีย”

 

คนเขลานั้นมักจะมีความสุข อวิ๋นเยี่ยรับซินเย่ว์กลับบ้าน ป้าสะใภ้และอาหญิงยืนอยู่หน้าประตูใหญ่รอต้อนรับ ชายชราที่สูงวัยที่สุดในหมู่บ้านคว้าสายบังเ**ยนม้าไว้ กระแอมแล้วตะโกนว่า “ถึงบ้านแล้ว! “

 

พรมสักหลาดสองผืนที่ปักลวดลายดอกโบตั๋นแห่งความมั่งคั่งก็ถูกปูไว้ที่ด้านหน้ารถม้า เสี่ยวชิวพยุงซินเย่ว์ให้เหยียบลงบนพรมนั้น เดินหนึ่งก้าวแล้วจึงหยุดเหล่าฮูหยินที่อยู่ด้านหลังนั้นก็นำพรมมาปูไว้ใต้ฝ่าเท้าของซินเย่ว์อีกครั้งและตั้งชื่ออันไพเราะว่า ‘ก้าวหน้าทุกย่างก้าว เท้าไม่เปรอะเปื้อน ไม่มีวันโชคร้าย’ 

 

หลังจากเข้าบ้านก็ต้องเดินข้ามอานม้า กระถางไฟ สามีภรรยากราบไหว้ฟ้าดินและบรรพบุรุษเสร็จแล้วจึงคารวะท่านย่า ภายใต้การเป็นสักขีพยานของท่านย่าที่ยิ้มจนมองไม่เห็นดวงตาสองสามีภรรยาคารวะซึ่งกันและกันเสร็จสิ้น จากนั้นให้แม่สื่อตัดปอยผมของทั้งสองลงมาหนึ่งกำ และถักเป็นเปียวางไว้ในกล่องเล็กๆ แล้วส่งให้ซินเย่ว์ กล่าวว่าอยู่คู่กันเป็นสามีภรรยา จากนั้นก็ส่งซินเย่ว์เข้าห้องหอ

 

อวิ๋นเยี่ยนั้นยังไม่ทันจะได้วิ่งหนี ก็ถูกหนิวเจี้ยนหู่คว้าตัวเอาไว้อย่างดุดัน เมื่อคิดถึงการทำงานที่เลวร้ายของตนเองในงานแต่งงานของหนิวเจี้ยนหู่แล้ว ขาและท้องของอวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกบีบเกร็งขึ้นมา

 

โชคดีที่คนรับใช้ของตระกูลอวิ๋นมักจะรู้จักแก้ไขสถานการณ์เสมอ เหล้าสองไหก็วางอยู่ตรงหน้าพวกเขาและไม่ยอมจากไป ยืนดูสองพี่น้องด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกใดๆ คนรับใช้เปิดเหล้าออกหนึ่งไหแล้วยกดื่ม แล้วนำเหล้าสองไหมาวางไว้ด้านหน้าพวกเขาแล้วพูดว่า “ข้าน้อยวันนี้จะเป็นราชาขี้เมา อวี้ฉือเหล่ากั๋วกงนั้นเมาไปแล้ว เขาบอกว่าเหลือเพียงโหวเหยียและหนิวโหวเหยียน้อยเท่านั้นที่สามารถมอมเหล้าข้าน้อยได้ ดังนั้นจึงตั้งใจมาที่นี่เพื่อขอการชี้แนะ”

 

ตระกูลหนิวไม่มีเมล็ดพันธุ์ที่ใช้การไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยเห็นเลข ‘หกสิบ’ สองตัวบนไหเหล้า ก็ปิดตาทนดูต่อไปไม่ได้