SD:บทที่ 63 : การทดสอบเริ่มต้น
เพียงชั่วกะพริบตา คาร์ลเบลอไปชั่วขณะหนึ่ง เมื่อได้สติ เขาพ่นลมออกจมูกแล้วหัวเราะออกมาดังลั่นก่อนที่เขาจะคิดเหยียบเบรกรถสักที!
เอ๊ะ… เบรกมันหายหัวไปอยู่ไหนนะ
ด้วยความคิดเช่นนั้นเอง เขายันตัวถอยหลัง ทั้งที่ร่างเขาควรจะชนกับพนักที่นั่ง ทว่าหลังของชายหนุ่มสัมผัสได้แค่เพียงอากาศ และพบว่าตนเองกลับล้มก้นจ้ำเบ้าลงกลางแอ่งน้ำโคลน ชายชาวต่างชาติเงยหน้าขึ้น เขาสังเกตเห็นชายเปลือยกายไปไม่ไกลนักพร้อมกับหอกในมือมัน ใบหน้าของชายแปลกหน้าถูกแต่งแต้มด้วยสีสันสดใสอันไม่เข้ากับความตึงเครียดของเขาในตอนนี้เลย ชายตรงข้ามกันยังจ้องมองเขาโดยไม่ขยับเคลื่อนไหวใด ๆ
มันอะไรกันวะเนี่ย
คาร์ลงงงวยไปโดยฉับพลัน…
ณ สนามแข่งที่เคยอึกทึก บรรยากาศงานกลับเงียบลงอย่างแปลกประหลาด สาเหตุมาจากความฉงนของผู้คนต่อฉากอันน่าพิกลตรงหน้า รถของคาร์ลซึ่งมีโอกาสจะเข้าชนะอยู่แล้ว กลับไม่ไปถึงเส้นชัยเสียอย่างงั้น รถแข่งของฝ่ายตรงข้ามเขาชะงักหยุดข้างรถ ซู ฉิวไป่ เลยด้วย
ชายหนุ่มนั้น ด้านหนึ่งก็ไม่ได้เอาใจใส่กับการแข่งนี้เท่าไหร่นัก เขาเพียงประหลาดใจที่แม้เขาจะทำการเริ่มต้นการทดสอบอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
หากคาร์ลทราบเข้าว่าเขาทำอะไรล่ะก็ ชายหนุ่มชาวต่างชาติคงด่าเขาเสียยับแน่
ไอ้เวรนี่…. แกเป็นคนที่รับการทดสอบบ้าบออะไรไม่รู้ แต่ไหงฉันโดนลากหว่านแหเข้าไปด้วยล่ะวะ
หลังจากการรอคอยอย่างยาวนานอย่างไร้ประโยชน์ ซู ฉิวไป่ ไม่มีทางเลือกนอกจากขับรถเข้าเส้นชัยเสียเอง ผู้ชมโห่ร้องลั่นขณะที่พวกเขาเฝ้าดูรถเฟอร์รารี่เข้าในอุโมงค์ แม้ทุกคนจะยังสับสนตลอดทั้งการแข่งขัน แต่ก็นะ… ช่างเถอะ ยังไงฝ่ายเราก็ชนะล่ะ*!*
ไม่มีใครทราบเลยว่าคาร์ลหายตัวจนกระทั่งจอร์จวิ่งออกไปกลางสนามแข่ง อย่างไรก็ดี จอร์จคิดไปว่าคาร์ลคงหลบหนีไปเนื่องจากกลัวบทลงโทษที่ตนจะได้รับ สิ่งที่ชายวัยกลางคนไม่รู้ก็คือ… ณ ตอนนั้นเอง คาร์ลกำลังร้องไห้อย่างหนักระหว่างที่เสื้อผ้าของเขาถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ
ซู ฉิวไป่ คืนรถเฟอร์รารี่ให้ทางสมาคมนักแข่งรถ ก่อนจะจากไปทันทีในรถแท็กซี่ของตัวเอง จนถึงขณะนั้นเอง มีน้อยคนนักที่จะทราบตัวตนของนักแข่งนิรนามที่เข้าร่วมในการแข่งขัน
ตลอดทาง ความกังวลของชายหนุ่มก่อตัวขึ้นมาเรื่อย ๆ จากการทดสอบของระบบเฮงซวยนี่
ฉันมั่นใจว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ ๆ ตอนฉันเริ่มทำการทดสอบ แต่… มันคืออะไรเนี่ยสิ
คำตอบถูกเปิดเผยขึ้นมาก็จนเมื่อเมื่อเขาเดินทางจะถึงโรงพยาบาลอยู่แล้ว อันที่จริง เขาได้รับสายโทรเข้าจากทางสมาคมว่าเขาเห็นคาร์ลบ้างหรือไม่ ซู ฉิวไป่ ตะลึงงันไปชั่วขณะหนึ่งเพราะคำถามนี้ แม้แต่ชายที่โทรมาถามเขาก็สับสนไม่ต่างกัน เจ้าตัวเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจอร์จถึงตัดสินใจโทรถามพวกเขา
นักแข่งของฝั่งนายหายไป แล้วจะมาถามเราเพื่อ?
ซู ฉิวไป่ ตอบปฏิเสธไปตามความจริงอย่างลืมตัว ทว่าทันทีที่เขาวางสาย คนขับรถพลันได้สติ เขาเหยียบเบรกรถโดยฉับพลัน
คาร์ลหายไปแล้ว*!*
ชายหนุ่มรีบตรวจสอบระบบการนำทางเพื่อหาข้อความแจ้งเตือนความผิดพลาดทันที การหายตัวไปของ กู่ ชิงเหมย ทำให้เขาทราบว่าระบบจะทำการบันทึกและรายงานข้อผิดพลาดทุกครั้ง หลังจากที่เขาเปิดมันขึ้น เขาตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
เป็นอย่างที่เขาคาดการณ์ มีข้อความแจ้งเตือนขึ้นมาจริงแท้เชียว
เนื่องจากความไม่เสถียรของช่องทางการข้ามเวลาจากการเปิดระบบการสอบในครั้งที่แล้ว*: คาร์ล?*
ไอ้เครื่องหมายคำถามนี่อีกแล้ว! แต่กับคนแบบนี้ล่ะก็… ใครสนล่ะ ปล่อยมันไปเผชิญชะตากรรมเองเหอะ
แต่กระนั้น เมื่อ ซู ฉิวไป่ ออกจากระบบ พอดีที่ปุ่มการทดสอบก็กะพริบแสงสีแดงวาบขึ้น
“ความผิดพลาดถูกแก้ไขเรียบร้อยแล้ว การทดสอบเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ! ภารกิจแรก: ในเวลาที่กำหนด จงตามหาบุคคลห้าคนซึ่งหลงเข้ามาในมิติห้วงเวลาปัจจุบันจากความผิดพลาด”
ทั้งหมดมีเพียงแค่นั้น
ซู ฉิวไป่ แอบประหลาดใจเล็กน้อย เดิมที เขานึกว่าการทดสอบจะยุ่งยากกว่านี้ แต่ดูเหมือนว่ามันคล้ายคลึงกับภารกิจตามปกติของเขามากกว่าที่คิด!
เขาผ่อนคลายลงเป็นอย่างมากเมื่อเหลือบเห็นจุดสีแดงห้าจุดปรากฎขึ้นบนหน้าจอ ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็มีแค่ต้องไปยังห้าสถานที่นี้แล้วก็ส่งคนทั้งห้ากลับ การทดสอบก็จะเสร็จสมบูรณ์!
ต่อมา เขาสังเกตเห็นสัญลักษณ์ของนาฬิกาจับเวลาแบบดิจิตอลสว่างวาบขึ้นบนหน้าจอของระบบการนำทาง
สิบวัน เขาต้องทำภารกิจให้เสร็จสิ้นภายในสิบวัน!
ชายคนขับรถถอนหายใจ ก่อนที่รถแท็กซี่จะพุ่งทะยานออกไปข้างหน้า!
สิ่งที่ ซู ฉิวไป่ ไม่ได้คาดการณ์ไว้เลย… คือความยากของภารกิจที่ไม่ง่ายอย่างที่คิด!
…..
เมื่อการทดสอบของ ซู ฉิวไป่ เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ ทันใดนั้น ชายในชุดเสื้อคลุมยาวซึ่งร้อยปักประดับประดาไปด้วยลายมังกร ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ร้านอาหารเล็ก ๆ แห่งหนึ่งข้างแม่น้ำ รูปลักษณ์อันพิศดารอย่างเห็นได้ชัดของเขา แน่นอนว่าดึงดูดสายตาจากคนรอบข้างได้ไม่น้อย
“คนหาม”
ชายในเสื้อคลุมปักลายมังกรหันมองไปรอบตัว แล้วตะโกนมาทางทิศของพนักงานเสิร์ฟหนุ่มคนหนึ่ง
เด็กเสิร์ฟคนดังกล่าว ผู้ซึ่งกำลังนั่งเคี้ยวเมล็ดแตงโมอบแห้งด้วยความสบายอกสบายใจอยู่ ณ ตอนนั้น หลงนึกไปว่าลูกค้าคนนี้คงเป็นนักแสดงที่ไหนสักแห่งแน่ แต่เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็กลับนึกสงสัยขึ้นมาอีก มันมีกองหนังย้อนยุคที่ไหนมาถ่ายแถวนี้เรอะ ไม่เห็นรู้เลย แล้วนี่ไม่ต้องคืนชุดหลังถ่ายเสร็จอีกรึไง
ด้วยความคิดเช่นนั้น เขาเดินก้าวไปทางโต๊ะของชายประหลาดคนนั้น
“นี่เมนูครับ เลือกเอาตามที่อยากกินได้เลยครับ” พนักงานวางเมนูลงบนโต๊ะ แล้วควักเอาปากกาออกมาเตรียมจดรายการอาหารของผู้มาเยือนคนนี้
“นำอาหารเลี้ยงฉลองมาให้ข้าอย่างเต็มที่!”
ชายคนดังกล่าวมองไปที่รายการอาหารแล้วประกาศกร้าว
ลูกค้าคนอื่นในร้านส่งสายตาให้กันจากความประหลาดใจ มันบ้ารึไง มื้ออาหารเลี้ยงฉลองอะไรของมันน่ะ
“ล้อเล่นรึเปล่าครับ” เด็กเสิร์ฟตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบรับคำสั่งของอีกฝ่ายด้วยคำถาม
“ข้าบอกว่าข้าต้องการอาหารงานเลี้ยงเฉลิมฉลองอย่างเต็มที่ วันนี้ข้าอารมณ์ดี แจ้งห้องปรุงอาหารของราชวงศ์เสียด้วยว่าเตรียมมื้ออาหารให้ข้าได้แล้ว” ชายคนนั้นจ้องมองพนักงานหนุ่มอย่างเหลืออด พลางสั่งเขาอีดครั้งด้วยน้ำเสียงที่เริ่มโกรธขึ้นมา
ตอนนั้นเองที่พนักงานเสิร์ฟประจักษ์ชัดว่าชายคนนี้เพิ่งสั่งอะไรไป เขาอดไม่ได้ที่จะเหลือกตามองบน
อาหารเลี้ยงฉลองอย่างเต็มที่? บ้าบอ จะทำให้ก็ได้อยู่หรอก แต่ต้องกินให้หมดให้ได้ด้วยละกัน*!*
“ตอนนี้เราไม่มี…”
เด็กเสิร์ฟทึกทักสรุปเอาจากสารรูปกับพฤติกรรมของลูกค้าคนนี้ หากไม่มาสร้างปัญหา ก็คงไม่เต็มสถานเดียว ฉะนั้นแล้ว เด็กหนุ่มจึงเอ่ยปฏิเสธเขาโดยไม่ลังเล
ชายคนนั้นขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ เขาเงยหน้าเพื่อพินิจดูพนักงานเสิร์ฟให้ชัดเจนขึ้น
“เจ้าเป็นใครกัน ขันทีอู่ไปอยู่ที่ใดเล่า เรียกเขามาพบข้าที… เจ้ามันแค่ขันทีแต่กลับไว้หนวดไว้เครา! ข้าคาดเดาได้เลยว่าเจ้ายังไม่ได้รับการชำระล้าง! แต่เจ้ากลับนึกกล้ามารับใช้ข้าในสภาพเช่นนี้ นี่เจ้ากำลังนึกอยากขอรับการลงโทษหรืออย่างไร!”
แรกเริ่มเดิมที พนักงานหนุ่มแค่คิดจะหาทางไล่ชายคนนี้ไปจากร้าน แต่นี่เขากลับได้ยินชายประหลาดคนนี้เรียกเขาว่าขันทีจริง ๆ !
ไอ้นี่หาว่าเราไม่ได้รับการชำระล้างอะไรอีก… นี่มันเรื่องบ้าบอคอแตกอะไรของมันเนี่ย ถ้างั้น แกช่วยได้โปรดชำระล้างตัวเองไปพ้น ๆ หน้าเราซักทีเลยเหอะ*!*
“แหม่ ท่านจักรพรรดิ ยังเล่นหนังไม่จบอีกเรอะ ราชวงศ์ชิงน่ะตายกันไปหมดละ ป่านนี้คงกลับชาติมาเกิดได้ซักสองสามครั้งแล้วมั้ง นี่คิดจะหลอกใครกัน”
เด็กเสิร์ฟกล่าวเย้ยอย่างเย็นชา แล้วจึงบังคับตนเองให้ใจเย็นลง เขาคงมีปัญหาแน่หากเขาทะเลาะเบาะแว้งกับลูกค้าแบบนี้
“เจ้ากล้าเอ่ยวาจาละลาบละล้วงราชวงศ์เช่นนี้ได้เยี่ยงไร! ราชวงศ์ชิงสิ้นซากแล้วรึ เป็นไปไม่ได้! ข้าเพิ่งกลับมาจากการประชุมรอบเช้านี้เอง! ปากเจ้าสามหาวยิ่งนัก!”
ชายแปลกหน้าตกอยู่ในสภาวะงงงันไปชั่วขณะ ในไม่ช้า ความงุนงงพลันเปลี่ยนเป็นความเดือดดาล เขาลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ มืออันใหญ่โตทั้งสองของเขาคว้าจับเข้าที่ร่างของพนักงานเสิร์ฟ เด็กหนุ่มไม่สามารถขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย ทันใดนั้น ความโกลาหลก็ก่อตัวขึ้นในร้านอาหาร ชายผู้ถูกลูกค้าคนอื่นสงสัยว่ามีบางอย่างผิดปกติเป็นแน่ ได้ก่อเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วโดยแท้จริง!
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าเข้าไปหยุดการต่อสู้นี้ ชายในเสื้อคลุมปักลายมังกรนั้นบ้าคลั่งอย่างเห็นได้ชัด สิ่งแรกที่เขาพูดทันทีที่เขาเข้าไปในร้านอาหาร คือเขาต้องการทานอาหารงานเลี้ยงเฉลิมฉลองอย่างเต็มรูปแบบจากนั้นเขาก็เริ่มทำตัวรุนแรงขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินว่าราชวงศ์ชิงตายแล้ว มันอันตรายเกินไปที่จะเข้าไปขัดขวางการต่อสู้นี้
คนที่ประหม่าที่สุดคงเป็นพนักงานเสิร์ฟ เขาพยายามกระเสือกกระสนให้ตนหลุดพ้นจากเงื้อมมือของชายคนนั้น แต่อีกฝ่ายนั้นแข็งแรงเกินไป เด็กหนุ่มไม่สามารถหลบหนีได้เลย และตอนนี้เขาก็แทบจะหายใจไม่ออกแล้ว
ในที่สุด เจ้าของร้านอาหารก็ได้รับการแจ้งเตือนถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เขารีบเร่งฝีเท้ามาทางต้นกำเนิดของความวุ่นวาย
เมื่อเขาเห็นความเป็นไปของสถานการณ์ตรงหน้า ชายเจ้าของร้านลองเข้าไปช่วยเด็กเสิร์ฟ แต่กลับถูกชายประหลาดผลักออกมา
“ไอ้เขลานี่กล้ากล่าวว่าราชวงศ์ชิงนั้นสิ้นเสียแล้ว! ข้าต้องการประหารทั้งโคตรเหง้าของมันให้สิ้นซาก!”
ชายในเสื้อคลุมยาวโกรธจัด ดวงตาของชายคนนั้นเบิกกว้าง
เจ้าของร้านนิ่งไม่ไหวติง เมื่อเขามองไปที่เสื้อคลุมปักลายมังกรของชายคนดังกล่าว และพิจารณาฟังสิ่งที่มันเพิ่งพูดไปแล้ว เขาเข้าใจได้ในทันทีว่าชายคนนั้นเป็นบ้า!
ระหว่างที่เขาชักเอาโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อโทรแจ้งตำรวจ ชายเจ้าของร้านนึกถึงวิธีการช่วยเหลือเด็กหนุ่มซึ่งหน้าเริ่มแดงจากการขาดอากาศหายใจได้ เป็นเรื่องใหญ่แน่หากเด็กนั่นเกิดหมดลมตายขึ้นมา*!*
“ฝ่าบาท โปรดใจเย็นก่อนเถิด ไอ้ทาสตนนี้มันปัญญาอ่อน ใต้เท้าอย่าถือสาคนฟั่นเฟืองเลย… หากฝ่าบาทจะเมตตา โปรดบอกนามของท่านให้ข้าน้อยทราบจะได้หรือไม่”
ชายผู้เป็นหัวหน้าใหญ่เลียบเคียงเข้าหาอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง พร้อมกับแกล้งทำเป็นว่าตนกำลังพูดรับฟังคำสั่งของกษัตริย์อย่างเชื่อฟัง เขารู้สึกว่าตนเองคงดูตลกมากแน่ แต่เขาไม่มีทางเลือก! ก้าวแรกในการสื่อสารกับคนบ้า ย่อมเป็นการเข้าสู่โลกของคนบ้าคนนั้น
“นามของข้า คือ อ้ายซินเจว๋หลัว หงลี่!”
ดูเหมือนว่าหัวหน้าใหญ่ของร้านอาหารแห่งนี้จะยังเข้าอกเข้าใจเขาอยู่มาก ชายคนนั้นจึงโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง แต่เขายังไม่มีความตั้งในที่จะปล่อยตัวพนักงานหนุ่ม
ชายเจ้าของร้านและลูกค้นคนอื่นต่างสับสน ใครมีชื่อว่า อ้ายซินเจว๋หลัว หงลี่ กันนะ
โดยทันทีทันใด ใครสักคนก็ค้นหาชื่อนั้นเจอในอินเทอร์เน็ตด้วยมือถือของเจ้าตัว
“เฉียนหลง! เค้าคือจักรพรรดิเฉียนหลง!”
ทุกคนรู้ดีว่าหัวหน้าร้านวางแผนจะเจรจากับชายคลั่งคนนั้น พวกเขาจึงตะโกนบอกเจ้าของร้านทันทีที่ทราบตัวตนของชายคนดังกล่าว หรืออย่างน้อยก็เป็นคนที่ชายจิตฟั่นเฟืองคนนั้นคิดว่าตนเองเป็น
นายใหญ่ของร้านเช็ดเหงื่ออกจากหน้าผากของเขาเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาเคยดูหนังและละครจีนย้อนยุคมามาก อย่างเรื่องของจักรพรรดิคังซีและจักรพรรดิยงเจิ้ง แต่โชคร้ายที่เขาไม่เคยดูอะไรเกี่ยวกับจักรพรรดิเฉียนหลงเลย!
เอาไงต่อดีล่ะ
เขาลังเล ก่อนจะก้าวเท้ามาข้างหน้าอีกหนึ่งเก้า
“ใต้เท้า ท่านปรารถนาจะให้ข้าหานางสนมมาให้หรือไม่ วางมันลงก่อนเถิด เราจักได้ฆ่ามันและทั้งตระกูลของมันในภายหลัง!”
เด็กหนุ่มยังสับสนกับคำพูดของหัวหน้าตนเอง แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้น เขาแค่อยากให้กำจัดไอ้บ้าคนนี้ไปก่อนเลย
เมื่อได้ยินคำพูดของนายใหญ่ของร้าน จักรพรรดิเฉียนหลงจึงยอมผ่อนคลายลง และปล่อยพนักงานเสิร์ฟจากเงื้อมมือตนไป
ตอนนี้เอง เจ้าของร้านและอีกหลายคนจึงรุดไปข้างหน้า และร่วมกันพยายามจัดการเขา ทว่าทุกคนถูกเตะกระเด็นออกมาในไม่กี่วินาที
“เจ้ากล้าหลอกข้าเหรอ!” จักรพรรดิเฉียนหลงตะโกนขึ้นมาเสียงดังกัมปนาทด้วยความไม่พอใจอย่างสุดขีด!