ตอนที่ 537 ต้องแก้แค้น

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 537

ต้องแก้แค้น

หลังจากพลุเริ่มจางหายไป ร่างของชางซีก็ปรากฏขึ้นบนเวทีพร้อมเสียงดนตรีที่เริ่มบรรเลงอย่างเชื่องช้าตามทำนองเพลงเศร้าที่แค่ฟังเพียงเสียงดนตรีก็ให้ความรู้สึกขนลุกแล้ว ยิ่งทันทีที่ชางซีเริ่มเปล่งเสียงร้องเพลงออกมาก็ยิ่งทำให้คนรอบๆพากันหยุดชะงักและฟังเสียงเพลงของนางด้วยความรู้สึกทึ่ง

“………”ผิงกั่วและหลินเฟยที่ไม่เคยฟังชางซีร้องเพลงกับเครื่องดนตรีมาก่อนพากันมองตาค้างด้วยท่าทีชื่นชม ชางซียามปกติก็งดงามอยู่แล้ว วันนี้โดนพวกคนในวังแต่งตัวเสียเต็มที่ยิ่งงดงามเข้าไปใหญ่ และเมื่อเสียงของนางดังก้องภายในใจของผู้ฟัง ภาพนางที่อยู่บนเวทีก็ยิ่งกลายเป็นภาพที่แสนจะประทับใจ แน่นอนว่าคะแนนของนางในตารางของหลินเฟยคงจะเพิ่มอีกแน่ๆ

“……….”ระหว่างกำลังคิดอะไรวุ่นวายอยู่ในหัว หลานฮวาก็ได้ยินเสียงเพลงของชางซีเข้าพอดี แม้เสียงพลุไฟจะไม่สามารถดึงความสนใจของหลานฮวาได้ แต่เสียงของชางซีกลับทำให้นางเงยหน้าขึ้นมามองบนเวทีได้สำเร็จ หลานฮวาเองก็อยู่กับชางซีมาได้วันหนึ่งแล้ว ตอนแรกไม่คิดว่านางพิเศษอะไรเพราะพลังของนางอ่อนด้อยกว่าคนอื่นๆมากแถมยังหัวกระเซิงเพราะการเรียนภาษาไชน์อีกต่างหาก วันนี้ในสายตาหลานฮวาภาพของชางซีกลับเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ภาพของชางซีที่นางจดจำเปลี่ยนจากหญิงสาวคนหนึ่งที่ติดตามไป๋จูล่ง กลายเป็นภาพหญิงสาวผู้งดงามที่กำลังขับขานเสียงเพลงอันไพเราะอยู่บนเวทีอันยิ่งใหญ่ไปเสียแล้ว

ช่างโชคดีเหลือเกิน ตัวหลานฮวานั้นโดนฝังความแค้นจากสิ่งที่อาจารย์ของนางหลอกลวงเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน แต่เพราะได้พบกับผิงกั่วชีวิตที่ขึงจนตึงของนางก็เริ่มผ่อนลง ไม่อย่างนั้นเรื่องของนางคงจบตั้งแต่ได้พบไป๋จูล่งแล้ว หากวันนั้นไม่มีผิงกั่วอยู่นางคงเข้าไปโจมตีไป๋จูล่งโดยไม่คิดชีวิต แน่นอนว่านางต้องพลาดแน่ๆและผลลัพธ์ที่จะตามมานางก็คงจบไม่สวยเท่าไหร่ วันนี้ระหว่างกำลังปวดหัวอยู่กับความไม่สมเหตุสมผลบางอย่าง เสียงเพลงของชางซีก็ช่วยดึงสติของหลานฮวาขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อได้ฟังใจของหลานฮวาก็สงบขึ้นมาก ทำให้เรื่องในหัวที่ตีกันจนวุ่นวายก่อนหน้านี้เริ่มหาข้อสรุปได้ทีละน้อยๆ

.

.

“ท่านน้าชางซี ยอดไปเลยขอรับ”หลังจากการแสดงจบลง แน่นอนว่าชางซีก็ต้องกลับไปที่เขตอสูรผาไร้ก้นร่วมกันกับพวกไป๋จูล่ง และทันทีที่มาขึ้นหลังของไป๋ไป่ทั้งหลินเฟยทั้งผิงกั่วที่พึ่งเคยได้ฟังเสียงของนางจริงๆเป็นครั้งแรกก็พากันเข้าไปล้อมนางเอาไว้ทันที

“ใช่เจ้าค่ะ เพลงของพี่เพราะมากเลย ข้าอยากฟังอีกเยอะๆเลยเจ้าค่ะ”ผิงกั่วว่าพลางเข้าไปขอร้องให้ชางซีร้องเพลงให้ฟังอีก แต่เพราะวันนี้นางร้องเพลงในงานไปถึง 3 เพลง ทำให้นางยังเหนื่อยอยู่มากเพราะการร้องเพลงของนางนั้นใช้พลังวิญญาณในการส่งเสียงออกมาด้วย สุดท้ายเลยได้แต่ขอผ่านไปวันอื่นแทน

“หลานฮวา เจ้าถูกใจเพลงของข้าหรือเปล่า”ชางซีถามพลางมองไปทางหลานฮวาที่กำลังนั่งเงียบอยู่ด้านหลังไป๋หลินเฟย

“จะ เจ้าค่ะ ท่านร้องได้เพราะที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้ยินมาเลยเจ้าค่ะ”หลานฮวาตอบพลางยิ้มบางๆออกมาด้วยท่าทีหมองๆ นางเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยทำเอาทุกคนพากันกังวลไปหมด

“น้องจูล่ง…..”อยู่ๆหลานฮวาก็พูดออกมาด้วยสีหน้าเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างแล้ว ตอนนี้หลินเฟยเตรียมจะเข้าไปห้ามเพราะคิดว่าหลานฮวากำลังจะทำอะไรตามอารมณ์ แต่เมื่อเห็นดวงตาของนางหลินเฟยก็ถึงกับต้องถอยออกมาปล่อยให้นางได้พูดต่อ

“เจ้าช่วยเป็นคู่ซ้อมให้ข้าหน่อยได้หรือไม่”หลานฮวาถามออกมาด้วยใบหน้าที่จริงจังอย่างมาก ไม่เหลือสภาพใจลอยก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย

“ได้ขอรับ”จูล่งที่ไม่รู้ความยิ้มรับด้วยความเต็มใจ มันเข้าใจว่าพี่หลานฮวาพูดถึงเรื่องที่คุยกันเมื่อเช้านั่นเอง

“พี่หลานฮวา ท่านแน่ใจงั้นหรือ”หลินเฟยมองไปทางหลานฮวาด้วยท่าทีสงสัย ความจริงมันกับมารดาวางแผนจะให้หลานฮวาได้รู้จักไป๋จูล่งให้มากกว่านี้ค่อยเริ่มบอกความจริง แต่ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างไปฉุกใจนางเข้า แม้จะเร็วไปหน่อยเพราะพึ่งผ่านมาแค่วันเดียว แต่หากผลลัพธ์ออกมาดี หลินเฟยก็ไม่คิดจะห้ามอะไรอยู่แล้ว

“ข้ามั่นใจ”หลานฮวาตอบพลางพยักหน้าช้าๆ นางยังฝึกวิชาธาตุน้ำแข็งของจิ้งจอกเหมันต์ไม่สำเร็จ แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่นางสงสัย วิชาของสำนักร้อยบุปผาและพลังของนางในตอนนี้เทียบกับไป๋จูล่งผู้นี้แล้วห่างชั้นกันแค่ไหนเชียว…

.

.

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ”ไป๋หลินที่ทราบข่าวว่าหลานฮวาร้องขอให้จูล่งไปเป็นคู่ซ้อมก็รีบมาดูสถานการณ์ทันที ยามนี้หลานฮวาที่ยืนประจันหน้ากับจูล่งกลับดูเปลี่ยนไปมาก นางดูไม่ร้อนรนอย่างก่อนหน้านี้เลย แม้แต่ไป๋หลินเองยังไม่คิดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรกับนางเร็วได้ขนาดนี้

“ข้าเองก็ไม่ทราบขอรับ บางทีข้าอาจจะดูถูกพี่หลานฮวาเกินไปหน่อย”ไป๋หลินเฟยยิ้มเจื่อนๆออกมาด้วยท่าทีรู้สึกผิด บางครั้งคนที่ตนคิดว่าคุมอยู่ก็ทำเรื่องน่าประหลาดใจออกมาได้เช่นกัน

“น้องจูล่ง เจ้าห้ามออกมือเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่”หลานฮวาว่าพลางชี้กระบี่ไปทางไป๋จูล่งด้วยท่าทางเอาจริง เพียงแต่…..

“เรื่องนั้นข้าทำไม่ได้หรอกขอรับ อย่างน้อยก็ให้ข้าหยุดก่อนจะโจมตีโดนพี่หลานฮวาเถอะ”จูล่งตอบออกมาด้วยท่าทีกังวล น่าเสียดายพลังของหลานฮวาในตอนนี้เทียบกับไป๋จูล่งแล้วออกจะน้อยนิดเกินไป หากให้จูล่งเอาจริงนางได้ตายแน่ๆ

“งั้นก็มาดูกันว่าข้าจะทำให้เจ้าเอาจริงได้หรือไม่”หลานฮวาพูดจบก็พุ่งตรงเข้าไปโจมตีไป๋จูล่งในทันที วิชากระบี่ของสำนักร้อยบุปผานั้นงดงามและรวดเร็ว เพียงแต่หากจะจัดความแข็งแกร่งก็เกรงว่าจะเป็นเพียงวิชากระบี่ระดับกลางๆเท่านั้น เทียบกับกระบี่ราชวงศ์ชินที่ตัวเหม่ยหลินผู้เป็นมารดาของจูล่งและตัวไป๋หลินผู้เป็นพี่สาวของจูล่งใช้จนเชี่ยวชาญนั้นช่างเหมือนเอาลูกแก้วไปเทียบกับเพชรน้ำงามเลยก็ว่าได้

ฟุบ……กระบี่ของหลานฮวาไม่แม้แต่จะเฉียดตัวไป๋จูล่งเสียด้วยซ้ำ ความต่างชั้นของนางไม่ใช่แค่ระดับพลัง แต่ยังมีกำลังกายที่ห่างกันเกินไป พลังธาตุที่สำนักของนางแทบไม่ได้เน้นฝึกสอนเลย รวมทั้งกระบวนท่าและวิชาเพิ่มพูนพลังต่างๆยังไม่เข้าขั้นอีกด้วย เมื่อเทียบกันกับเส้าเทียนที่พลังอ่อนด้อยกว่า ยามมันระเบิดพลังจนมีพลังเทียบเท่าระดับเจ้าสวรรค์ มันยังแข็งแกร่งกว่าหลานฮวายามนี้ไปก้าวใหญ่เลยทีเดียว

“…………”เหล่าสาวๆต่างมองการฝึกซ้อมตรงหน้าด้วยท่าทีแปลกๆ นอกจากผิงกั่วแล้วพวกต้าเฉียน ต้าหวาน หลี่เย่ และ ชางซีต่างรู้สึกถึงความผิดปกติของหลานฮวาอย่างชัดเจน การโจมตีของนางดุดันขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เพียงการวาดกระบี่เพื่อฝึกซ้อมอีกต่อไปแล้ว

“จูล่ง เจ้าต้องโจมตีนางบ้างถึงจะเป็นการฝึกซ้อมนะ”ไป๋หลินเห็นท่าทีของหลานฮวาเป็นเช่นนั้นก็เอ่ยปากบอกจูล่งทันที ในท่าทีของหลานฮวายามนี้มีอะไรบางอย่างกำลังสื่อออกมา มันไม่ใช่แค่ความแค้นเท่านั้น มันราวกับหลานฮวากำลังทดสอบอะไรบางอย่างอยู่

“ขอรับ….”จูล่งตอบพลางเรียกทวนสีเงินออกมาถือในมือพริบตานั้นทวนสีเงินของจูล่งก็ควงวาบเข้าไปตีที่กระบี่ของหลานฮวาจนกระบี่ในมือของนางกระเด็น กำลังของมันนั้นสูงกว่าหลานฮวามาก เพียงปัดกระบี่เบาๆก็ทำให้อีกฝ่ายอาวุธหลุดมือแล้ว

ฟุบ! กระบี่ของหลานฮวายังไม่ทันตกถึงพื้น ทวนของจูล่งก็เข้ามาจ่อที่คอของหลานฮวาเสียแล้ว…..

“จริงของพี่ต้าเฉียน เจ้าไม่เหมาะจะเป็นคู่ซ้อมจริง”หลานฮวาพอได้ทราบความแตกต่างระหว่างฝีมือแล้วนางก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้เท่านั้น นางเดินกลับไปเก็บกระบี่ก่อนจะเดินออกมาเงียบๆคนเดียวท่ามกลางสายตาของทุกคน

“นางได้คำตอบแล้ว”ไป๋หลินพูดพลางยิ้มออกมาเล็กน้อย น่าตกใจจริงๆไม่นึกว่าหลานฮวาจะได้คำตอบรวดเร็วเช่นนี้ แถมไม่ต้องให้พวกตนเป็นคนเอ่ยปากบอกอีกต่างหาก

.

.

ฟุบ….ร่างของหลานฮวากระโดดขึ้นมาบนเนินเขาภายในเขตป่าเมฆาอัสนีด้วยใบหน้าเลื่อนลอย การประลองกับไป๋จูล่งก่อนหน้านี้ทำให้นางมั่นใจแล้วว่าสิ่งที่อาจารย์บอกนั้นมีจุดด่างพร้อยอยู่ ฝีมือของหลานฮวายามนี้หากเทียบกับอาจารย์แล้วอาจจะห่างกันไม่มาก เผลอๆหลานฮวาอาจจะเหนือกว่านิดหน่อยเสียด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ทำให้ไป๋จูล่งเอาจริงไม่ได้เสียด้วยซ้ำ

แล้ว…..คนระดับนั้นจะร่วมมือกับสำนักผลาญสุริยันเพื่อกวาดล้างสำนักของนางไปทำไมกัน หากมันจะทำก็ลงมือเองเสียก็หมดเรื่อง ไม่เห็นต้องทำให้เรื่องวุ่นวายเลย

“พี่หลานฮวา ท่านจะไปไหนงั้นหรือ”ไป๋หลินเฟยถามหลังจากขี่หลังของอสูรบินตนหนึ่งตามหลานฮวามา

“ข้าจะไปที่สำนักของข้า มีบางอย่างที่ข้าต้องพิสูจน์”หลานฮวาตอบพลางมองขึ้นไปบนหน้าผาของผาไร้ก้น แม้หน้าผาจะสูงชันมากแต่ด้วยระดับพลังของนางนั้น การขึ้นไปด้านบนก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร

“ให้ข้าไปส่งไหมขอรับ”หลินเฟยถามพลางยิ้มกว้างออกมาด้วยท่าทีเป็นมิตร

“…..ก็ได้”หลานฮวามองไปที่อสูรบินของหลินเฟยก็พลันพยักหน้าน้อยๆ ใช้อสูรบินเดินทางย่อมเดินทางได้ไวกว่าอยู่แล้ว ทำให้หลานฮวาตอบรับอย่างเต็มใจเพราะไป๋หลินเฟยมีสิ่งหนึ่งที่ยังติดค้างนางอยู่

“พี่หลานฮวา มีอะไรหรือขอรับ”ไป๋หลินเฟยถามพลางมองไปทางหลานฮวาที่อยู่ข้างๆ นางมองมาทางไป๋หลินเฟยราวกับกำลังจะกล่าวโทษอะไรมันสักอย่างเลย

“วิชาน้ำแข็งงั้นหรือ….เจ้าบอกว่าจุดอ่อนของจูล่งคือวิชาน้ำแข็งไม่ใช่หรือไง”หลานฮวาถามพลางนำตำราของจิ้งจอกเหมันต์ออกมา

“เอ๋….ข้าเคยพูดเรื่องนั้นด้วยหรือขอรับ”หลินเฟยตอบพลางยิ้มเจื่อนๆออกมา

“เคยสิ แถมยังบอกด้วยว่าถ้าข้าแช่ในสระน้ำแข็งจะทำให้ข้าควบคุมพลังธาตุน้ำแข็งได้ดีขึ้น”หลานฮวาพูดจบก็ปล่อยจิตสังหารออกมาทันที พอได้สู้กับไป๋จูล่งจริงๆแล้วนางถึงได้ทราบว่าต่อให้นางสำเร็จวิชาน้ำแข็งที่ว่า นางก็ไม่มีทางสู้ไป๋จูล่งได้อยู่ดี เรื่องที่หลินเฟยบอกนั้นเป็นเพียงเรื่องหลอกลวงที่ใช้เพื่อทำให้นางเข้าใกล้ไป๋จูล่งเท่านั้นเองไม่ใช่หรืออย่างไร

แม่ผลลัพธ์ที่ออกมาจะทำให้นางตาสว่าง แต่เรื่องโดนผลักลงสระน้ำแข็งนางจะไม่แก้แค้นเลยคงไม่ได้เสียแล้ว….