บทที่****135: ฉุ่ยจิ้งตกอยู่ในอันตราย

ไม่กี่วันหลังจากนั้น เจ้าอ้วนเดินทางมายังสถานที่ซึ่งผลไม้วิญญาณซุกซ่อนเอาไว้ แต่แล้วเขากลับพบว่ามันถูกหยิบฉวยไปเสียแล้ว สิ่งเดียวที่หลงเหลือคือศพของอสูรกายและเศษซากของร่างกายมนุษย์ ฉากตรงหน้านี้บ่งบอกได้ว่าการจะได้รับมันไปนั้นต้องจ่ายมากเพียงใด

ถ้าเจ้าอ้วนไม่ได้มีภารกิจอยู่ในมือ เขาจะตามล่าบุคคลผู้นี้อย่างแน่นอน ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่ามันมาจากสำนักพันปีศาจ แต่ร่องรอยของสหายผู้นี้อยู่ในทิศทางตรงกันข้ามกับที่เขาต้องไป อีกทั้งสิ่งนี้เกิดขึ้นมานานหลายวันแล้ว ซึ่งมันไม่อาจคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายหนีไปไกลเพียงใด ดังนั้นสิ่งเดียวที่เจ้าอ้วนทำได้ในตอนนี้คือดำเนินการตามแผนเดิม

เจ้าอ้วนเดินทางต่อไปอีกสองถึงสามวัน บ่ายวันนี้เขากำลังบินข้ามป่าไผ่ด้วยพยัคฆ์ปีกแหลม เขาได้ยินเสียงโลหะปะทะกัน เจ้าอ้วนรู้ได้ทันทีว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียง นอกจากนี้การต่อสู้นี้ดูเหมือนว่ามันกำลังเข้าใกล้เขามาเรื่อย ๆ

หลังจากที่เจ้าอ้วนได้พิจารณาเรื่องราวทั้งหมด เรารีบเก็บพยัคฆ์ปีกแหลมทันที จากนั้นร่ายเวทมนตร์ม่านหมอกเพื่อปิดบังตนเองและเดินเท้าเข้าไป พร้อมคิดในใจ ‘คงจะดีถ้าหากทั้งสองคนนี้กำลังบาดเจ็บอย่างหนักจากการต่อสู้ แบบนั้นข้าจะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ครั้งใหญ่นี้เพียงผู้เดียว!’

ในขณะที่เจ้าอ้วนกำลังจินตนาการภาพอันแสนหวานอยู่นั้น ป่าไผ่ที่อยู่ด้านหน้าถูกทำลายลงอย่างฉับพลัน ต้นไผ่ขนาดใหญ่สองถึงสามร้อยฟุตล้มลงส่งเสียงดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ จากรูปร่างของต้นไผ่ที่ถูกเฉือนอย่างเรียบเนียนเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันถูกตัดด้วยดาบ ซึ่งมันทำลายต้นไผ่ทั้งหมดได้ในพริบตาเดียว

มีแสงสีทองสาดส่องออกมาพร้อมกับเหรียญทองที่ล้อมรอบตัวของหญิงสาวไว้ ภาพหญิงสาวที่เจ้าอ้วนเห็นนั้นดึงดูดความสนใจของเขาอย่างมากเพราะบุคคลผู้นั้นคือคนที่เขาเข้าร่วมการเก็บตัวฝึกฝน นางคือฉุ่ยจิ้ง!

ในขณะนั้นฉุ่ยจิ้งอยู่ในสภาพที่น่าเวทนามาก แม้ว่าจะมีกระดองเต่าดำคอยปกป้อง แต่เสื้อผ้าและผมของนางกลับเลอะเทอะอย่างไม่น่าดู แขนซ้ายของนางถูกฉีกขาดโดยสมบูรณ์ เหนือแขนของนางมีแต่ร่องรอยของเลือดที่เปรอะเปื้อน

ล้อมรอบของฉุ่ยจิ้งมีบุคคลที่เลือนรางปรากฏอยู่เก้าคน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งหมดไม่มีร่างกาย พวกเขาลอยล้อมรอบฉุ่ยจิ้งดั่งภูตผี ในขณะที่พวกเขาเคลื่อนไหว ทุกอย่างเงียบสนิทและสามารถทะลุผ่านทุกสิ่งอย่างได้หมดรวมทั้งต้นไผ่ทั้งหมดในป่านี้

เจ้าอ้วนตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างมาก พร้อมกับคิดในใจ ‘สิ่งสวยงามประหลาดพวกนี้มันไม่มีรูปร่างและดูเหมือนมันจะตรงตามที่นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวเตือนไว้ การปรากฏตัวของหญิงสาวทั้งเก้าคนนี้ช่างดูคุ้นเคยยิ่งนัก มันเหมือนกับคนในรูปที่อยู่บนภาพวาดหญิงงามทั้งเก้า! เดี๋ยวนะ นี่ไม่จริงใช่หรือไม่? บุคคลที่กำลังไล่ล่าฉุ่ยจิ้งคือเจ้าของภาพวาดหญิงงามทั้งเก้า ยู่เฟิง!’

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เจ้าอ้วนไม่อาจเชื่อได้ จากนั้นเขาพยักศีรษะช้าพร้อมคิดในใจ ‘ต้องเป็นมันอย่างแน่นอน นอกเหนือจากมันแล้ว ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถทำให้หญิงสาวที่งดงามที่สุดในสำนักเสวียนเทียนต้องตกอยู่ในสภาพที่น่าสงสารเช่นนี้ได้หรือ?’

ในขณะที่เจ้าอ้วนกำลังตกใจอยู่นั้น สามคนที่อยู่เบื้องหน้าของฉุ่ยจิ้งได้เปิดการโจมตีอีกครั้ง คนแรกคือผู้ที่ครอบครองภาพวาดหญิงงามทั้งเก้ายู่เฟิง อีกสองคนคือเพื่อนร่วมสำนักของเขา

อีกฝ่ายก้าวเดินมาด้านหน้าสองสามก้าวก่อนจะหัวเราะด้วยน้ำเสียงอันชั่วร้าย “แม่นางฉุ่ยจิ้ง เป็นข้าเตือนเจ้าแล้วว่าไม่อาจหลบหนีไปจากร่างกายของปีศาจแห่งสวรรค์ได้ เหตุใดเจ้าจึงดื้อด้าน? แต่ก็ไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดีเอง!”

กล่ามตามตรงแล้ว ยู่เฟิงนั้นเป็นคนโฉด สิ่งที่เขากล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยวนั้นไม่มีทางเชื่อถือได้อย่างแน่นอน ตอนนี้อีกฝ่ายไม่ต่างอะไรกับสุนัขที่ไม่อาจถ่วงรั้งความต้องการภายในกาย ช่างเป็นภาพที่น่ารังเกียจยิ่งนัก

แม้จะต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามที่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น รวมกับอาการบาดเจ็บและปราณจิตวิญญาณที่ใกล้หมดเต็มที แต่ฉุ่ยจิ้งกลับไม่รู้สึกกังวลใจแต่อย่างใด นางยังคงสงบนิ่งและทุกสิ่งดูราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเป็นภาพที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง!

นางกล่าวออกมาอย่างมั่นใจพร้อมรอยยิ้ม “หนุ่มน้อยยู่เฟิง เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าการที่เจ้าไล่ล่าข้ามาถึงที่แห่งนี้ จะกลายเป็นตัวเจ้าเองที่ชะตาขาด?”

“ฮ่าฮ่าฮ่า!” หลังจากที่ยู่เฟิงได้ยินเช่นนั้น เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ พร้อมกล่าวออกไปอย่างไม่ใส่ใจ “ความตายงั้นหรือ? แม่นางฉุ่ยจิ้ง เจ้าช่างอารมณ์ขันเสียจริง! เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อคำโกหกของเจ้างั้นหรือ? ความจริงที่ข้าคิดบอกคือ วันนี้เจ้าต้องให้คำตอบแก่ข้าว่าคิดยอมตกเป็นของข้าหรือไม่ ซึ่งแน่นอน หากเจ้าตอบว่าไม่ ข้าจะไม่มีทางให้เจ้าได้ตายอย่างสุขสบาย! แต่ถ้าหากเจ้ายอมล่ะก็ เราจะได้เพลิดเพลินไปตามอารมณ์และไปสู่จุดหมายด้วยกันทั้งคู่! ฮ่าฮ่าฮ่า!”

เมื่อฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น นางไม่ได้ตอบสิ่งใดกลับ นางเพียงส่ายหัวพร้อมตอบกลับ “ตอนนี้ประตูแห่งความตายของเจ้าได้เปิดรอแล้ว แต่เจ้ายังไม่รู้ ช่างน่าเวทนาเสียจริง!”

เมื่อยู่เฟิงได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธจนแทบจะกระอักเลือดตาย เขาหัวเราะออกมาเบา ๆ พร้อมกับสบถใส่ “ฉุ่ยจิ้ง อย่าบอกนะว่าเจ้ากำลังเขินอายที่ต้องทำตัวโง่เง่าต่อหน้าข้า? นี่คือบิดาของเจ้า ข้าครอบครองภาพวาดหญิงงามทั้งเก้า เหล่าผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนที่เข้ามาภายในภูเขาแห่งนี้ ใครกันเล่าจะเหมาะสมที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของข้า? ผู้ใดกันจะสามารถสังหารข้าได้?”

ก่อนที่เขาจะกล่าวจบ มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในอากาศ “ข้าสามารถสังหารเจ้าได้!”

จากเสียงพูดเหล่านั้น ปรากฏดาวตกสีแดงและสีทองนับสิบพุ่งเข้าใส่ยู่เฟิงอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกัน ราวกับว่าฉุ่ยจิ้งวางแผนกับบุคคลที่เพิ่งโผล่มาไว้เรียบร้อย นางเก็บกระดองเต่าดำและส่งเหรียญชะตาฟ้าเดินออกไปทันที เหรียญสีทองทั้งหกพุ่งเข้าชนกับศีรษะของยู่เฟิงราวกับดาวตกในยามค่ำคืน

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการซุ่มโจมตีอย่างฉับพลัน แน่นอนว่ายู่เฟิงตกใจอย่างมาก แต่เขาคือผู้เชี่ยวชาญในการต่อสู้ เพราะช่วงชีวิตของเขาที่ผ่านมานั้นเจอกับศึกนับไม่ถ้วน เขาตอบสนองอย่างรวดเร็วพร้อมกับเรียกบุคคลในภาพวาดหญิงงามทั้งเก้าออกมาปกป้องตนเองอย่างรวดเร็ว

ภาพวาดหญิงงามทั้งเก้านั้นเป็นสมบัติวิญญาณที่มีความแข็งแกร่งสูงสุดท่ามกลางสมบัติวิญญาณทั้งหมด ชั่วพริบตาเดียวภาพวาดเหล่านั้นแปรเปลี่ยนร่างกายเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์ทันที พวกเขาทั้งหมดปรากฏตัวขึ้นแล้วในสนามรบ นักบวชทั้งสี่เรียกการป้องกันขั้นสูง โล่สีทองถูกเรียกใช้งานอย่างรวดเร็วพร้อมกับปกป้องยู่เฟิงไว้อย่างสมบูรณ์ ส่วนผู้ฝึกตนทั้งห้าอยู่ในท่วงท่าถือดาบเพื่อทำการป้องกันอีกหนึ่งชั้น

ก่อนอื่นที่ต้องรู้คือ แม้ว่าจะมีภาพวาดหญิงงามทั้งเก้า แต่มันก็ยังถูกจำกัดความรุนแรงด้วยระดับพลังของผู้ครอบครอง ผู้ฝึกตนทั้งเก้ามีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิ แต่ถ้าหากพวกเขาทั้งหมดรวมพลังกันระดับพลังของพวกเขาสามารถเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับจินตัน ดังนั้นการโจมตีของสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์จึงไม่อาจใช้เพียงการป้องกันธรรมดาได้ ไม่เพียงแค่นั้น ชายหนุ่มยังถูกซุ่มโจมตีโดยไม่รู้ตัว พร้อมทั้งเพื่อนร่วมสำนักทั้งสองคนของเขายังวิ่งไปด้านหน้ายู่เฟิงเพื่อเรียกการป้องกันอีกชั้นหนึ่งด้วย ในขณะนั้นยู่เฟิงยังเปิดใช้งานสมบัติวิเศษอีกสามชั้นที่ด้านหน้าของตนเอง

ด้วยสมบัติวิเศษทั้งห้ารวมกับภาพวาดหญิงงามทั้งเก้านั้นเป็นการป้องกันที่มากเกินไป ไม่ต้องนึกถึงผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียน แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจินตันก็ไม่อาจผ่านการป้องกันครั้งนี้ไปไม่ได้

การปกป้องยู่เฟิงเกิดขึ้นในเวลาชั่วพริบตา ยู่เฟิงเพียงยืนยิ้มอย่างหยิ่งยโสพร้อมกับรอดูฉากต่อไปที่ผู้ซุ่มโจมตีเขาจะแสดงให้เห็นหลังจากที่เขาเปิดเผยการป้องกันขั้นสูงออกมาทั้งหมดแล้ว

แต่ในขณะนี้สิ่งที่ยู่เฟิงไม่ได้คาดคิดไว้ล่วงหน้า สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์นับสิบที่เจ้าอ้วนปล่อยออกไปได้เปลี่ยนทิศทางการโจมตีไปด้านขวา เพื่อโจมตีผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนขั้นสิบสามที่ยืนอยู่ทางซ้ายของเขา

ในเวลาเดียว เหรียญชะตาฟ้าดินที่ฉุ่ยจิ้งส่งออกมาเปลี่ยนทิศการโจมตีไปที่ผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนที่อยู่ด้านขวาของยู่เฟิงทันที

การโจมตีของทั้งคู่นั้นสมบูรณ์แบบเรียกได้ว่าเป็นคู่หูอัจฉริยะ ราวกับว่าพวกเขาได้ฝึกฝนร่วมกันมานับไม่ถ้วน แต่ในความเป็นจริงคือพวกเขาทั้งสองคนไม่เคยพูดคุยกันเลยแม้แต่น้อย

ในความจริง เจ้าอ้วนไม่ได้มีเจตนาต่อสู้ร่วมกับฉุ่ยจิ้ง จุดประสงค์ของเขาคือการซุ่มโจมตีและกำจัดหนึ่งในพวกเขา เจ้าอ้วนรู้สถานะของยู่เฟิงดี แน่นอนว่าเขามีสมบัติล้ำค่ามากมายที่พร้อมจะใช้ปกป้องตนเอง อีกทั้งยังมีภาพวาดหญิงงามทั้งเก้า แน่นอนว่าการสังหารอีกฝ่ายในครั้งเดียวไม่อาจกระทำ และถ้าหากไม่สามารถสังหารพวกพ้องเขาได้ การซุ่มโจมตีทั้งหมดจะไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง แล้วสถานการณ์จะถูกเปลี่ยนเป็นการต่อสู้ของสามต่อสอง!

แต่ถ้าหากเจ้าอ้วนกำหนดเป้าหมายเป็นหนึ่งในผู้ติดตามของเขา โอกาสที่จะชนะมันจะเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะดึงดูดความสนใจเพื่อที่จะสังหารผู้ติดตามแทน หากเป็นไปตามแผนการต่อสู้จะกลายเป็นสองต่อสอง ซึ่งแน่นอนว่ามันดีกว่าสามต่อสอง

แต่เจ้าอ้วนไม่คาดคิดว่าฉุ่ยจิ้งจะสามารถทำนายการเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นนางจึงร่วมต่อสู้กับเจ้าอ้วนในครั้งนี้ด้วย เรื่องนี้ทำให้เจ้าอ้วนตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น ศิษย์ทั้งสองคนนั้นไม่คาดคิดว่าตนเองคือเป้าหมายในการซุ่มโจมตีครั้งนี้ และไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน พวกเขาไม่มีเวลามากพอที่จะดึงเอาสมบัติวิเศษที่ปกป้องยู่เฟิงอยู่กลับมาปกป้องตนเอง ผลลัพธ์คือพวกเขาทั้งสองถูกสังหารลงอย่างง่ายดาย! เมื่อสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ปะทะกับร่างกายมนุษย์ที่ไร้การป้องกัน ร่างกายจึงสลายหายไปแทบจะทันที เหรียญชะตาฟ้าดินของฉุ่ยจิ้งสามารถสังหารผู้ที่ยืนอยู่ด้านขวาได้ ชั่วครู่เดียวเท่านั้นยู่เฟิงคือผู้เดียวที่เหลืออยู่ในสนามรบ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแม้แต่ยู่เฟิงเองก็ไม่อาจเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าได้

จนกระทั่งถึงตอนนี้ เจ้าอ้วนยังคงยิ้ม ขณะขี่พยัคฆ์ปีกแหลม เขาก็ถือระฆังลมทองแดงขนาดสองฟุตเอาไว้ในมือขณะร่อนลงมา ยู่เฟิงพลันตื่นตกใจ ไม่ช้าจึงกล่าวถามด้วยความโกรธเกลียดและอับอายออกมา “ไขมันที่บัดซบ บังอาจกล้าโจมตีนายน้อยคนนี้งั้นหรือ?”

“ศีรษะของเจ้าโดนลาเฒ่าเตะเข้าใส่หรือไร?” เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างรังเกียจ “นักบวชผู้นี้เพียงซุ่มโจมตีถังขยะข้างกายเจ้า! ข้าซุ่มโจมตีเจ้าตอนไหนกัน?”

“เฮ้อ” แม้แต่ฉุ่ยจิ้งที่นิ่งสงบ ยังอดไม่ไหวที่จะหัวเราะกับคำพูดของเจ้าอ้วน

สำหรับยู่เฟิง เขาโกรธจัดจนแทบจะไอออกมาเป็นเลือด เขาชี้นิ้วไปที่เจ้าอ้วนแต่กลับไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมาจากปาก!