บทที่ 337 เรื่องความอิจฉามีอยู่ทุกที่

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 337

เรื่องความอิจฉามีอยู่ทุกที่

อย่างไรก็ตาม ที่ด้านนอกประตูมีทหารเฝ้าอยู่จำนวนมากเพื่อกันไม่ให้มีอะไรเกิดขึ้น แต่พวกเขาก็เพียงแค่ยืนเฝ้าอยู่นอกห้อง

“นายหญิงเจ้าคะ เป็นอะไรหรือเปล่า?! มีเรื่องอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ? ข้าจะไปตามหมอหลวงให้มาที่นี่!” เสี่ยวฉิงถามอย่างเป็นกังวล

วันนี้ เธอนึกถึงภาพของหมาตัวที่ตายตลอดทั้งวัน เสี่ยวฉิงยังวางใจไม่ลง มู่หรงเสวี่ยก็ดูแปลกไปนิดหน่อยและเธอก็เป็นห่วงอย่างมาก

“ข้าไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนะ มาเร็ว มานั่งตรงนี้ ข้ามีบางอย่างจะบอกเจ้าหน่อย”

เสี่ยวฉิงค่อยๆเดินไปข้างๆมู่หรงและนั่งลง เธอทำสีหน้าจริงจังราวกับว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น จนมู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

“ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอกน้า ข้าก็แค่อยากที่จะคุยกับเจ้า” มู่หรงพูดเสียงเรียบ

เสี่ยวฉิงพยักหน้าแล้วจู่ๆก็รู้สึกผิดขึ้นมา เธอถูกขายให้วังนี้เพื่อมาเป็นสาวใช้ตั้งแต่ยังเด็ก เธอไม่เคยเห็นเรื่องอะไรที่น่าสนใจ เธอกลัวว่าจะต้องทำให้นายหญิงผิดหวัง

“เสี่ยวฉิง เจ้าชอบที่นี่หรือเปล่า?! วังนี้?”

“น่าเสียดายที่พวกสาวใช้จะถูกขายให้เข้าวังตั้งแต่ยังเด็กๆ ไม่ว่าจะชอบหรือเปล่าก็ยังมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบอยู่ดี”

มู่หรงขมวดคิ้ว เธออยากที่จะหนีมาตลอด ถ้าเสี่ยวฉิงไม่ได้เฝ้าเธออยู่ เธอก็กลัวว่านางจะต้องถูกลงโทษหลังจากที่เธอไปแล้วแน่ๆ

“ถ้าข้าไม่อยู่ เจ้าอยากที่จะไปกับข้าด้วยหรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างระวัง การที่จะพาใครไปด้วยอีกคนมันไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอเลย ยังไงซะเธอก็มีมิติลับ

เสี่ยวฉิงลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ “นายหญิง ท่านอยากที่จะหนีงั้นเหรอเจ้าคะ?” น้ำเสียงที่พูดออกมาค่อนข้างที่จะดังอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“ชูว์ เบาเสียงหน่อย” มู่หรงตีไปที่มือนางเบาๆ

กลายเป็นว่านายหญิงอยากที่จะหนีจริงๆ ในตอนแรกเธอคิดว่าองค์ชายจู้จี้เกินไปถึงได้ส่งคนเยอะแยะขนาดนั้นมาคอยเฝ้านายหญิง

เสี่ยวฉิงคิดอะไรมากมายอยู่ในหัวแต่สายตาของเธอจริงใจ ไม่ว่ายังไงเธอก็จะไม่ทรยศนายหญิง

“นั่งลง ข้าไม่ได้จะหนีไปตอนนี้แต่สักวัน เจ้าอยากจะไปกับข้าหรือเปล่า?” มู่หรงมองไปที่เสี่ยวฉิง

เสี่ยวฉิงลังเล แน่นอนว่าเธออยากที่จะตามนายหญิงไปด้วยแต่เธอไม่รู้อะไรเลยนอกจากการรับใช้คน เธอกลัวว่าตัวเองจะสร้างปัญหาให้นาง

“เจ้าไม่อยากไปงั้นเหรอ?” มู่หรงรู้สึกแปลกใจอยู่นิดหน่อย เธอคิดว่าตลอดว่านางจะยินดี

“ข้า, ข้ากลัวว่าจะไปเป็นตัวถ่วงของนายหญิง” เสี่ยวฉิงพูดเสียงเบา

“เจ้ากังวลเรื่องนี้เอง ไม่ต้องห่วงนะ ตราบใดที่เจ้าตกลง และจำไว้ว่าห้ามพูดเรื่องคืนนี้กับใคร เข้าใจไหม?” มู่หรงพูดด้วยท่าทางตักเตือน

เสี่ยวฉิงรีบพยักหน้า “อืม ข้าจะไม่พูด ขอให้ฟ้าผ่าเลยเจ้าค่ะ”

“ อย่าพูดอะไรไร้สาระแบบนั้น ต่อไปเจ้าห้ามพูดคำสาบานอะไรแบบนั้นอีกนะ นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้าไปพักผ่อนเถอะ ข้าเองก็จะเข้านอนแล้วเหมือนกัน” มู่หรงแกล้งทำเป็นหาวและพูดออกมาเสียงเบา

“ข้ายังไม่ง่วงเลยเจ้าค่ะนายหญิง ข้าจะดูแลจนกว่าท่านจะหลับ” เสี่ยวฉิงรีบลุกขึ้นทันที เธอรีบเดินไปจัดเตียงพร้อมทั้งจุดเครื่องหอม

หลังจากที่มู่หรงนอนลง เสี่ยวฉิงก็รีบเข้ามาพัดให้อย่างเบามือ

มู่หรงถอนหายใจเบาๆอยู่ในใจ เธอจะค่อยๆทำให้ เสี่ยวฉิงเข้าใจเรื่องความเท่าเทียมของยุคสมัยใหม่

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เมื่อเสี่ยวฉิงเห็นว่ามู่หรงเริ่มจะหายใจด้วยท่าทางที่สงบ ก็ค่อยๆปลดม่านลงและย่องเบาๆออกมาข้างนอก เสี่ยวฉิงเดินตรงไปที่ห้องข้างๆซึ่งเป็นห้องนอนของเธอ

ก่อนหน้านี้เธอไม่มีทางจะได้อยู่ในห้องที่ดีแบบนี้แน่ๆแต่เพราะนายหญิงเลื่อนขั้นให้เธอเป็นสาวใช้ประจำจึงได้สิทธิพิเศษให้พักอยู่ห้องข้างๆนาง

ปกติแล้วสาวใช้ที่ได้เลื่อนชั้นแต่ก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะได้พักร่วมชายคาเดียวกับเจ้านาย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องได้พักอยู่ห้องข้างๆเลยด้วยซ้ำ

ตอนแรกเธอก็ปฏิเสธ ที่มุมของสวนมีห้องพักเล็กๆสำหรับสาวใช้อยู่ เธอตั้งใจที่จะพักอยู่ที่นั่น

แต่อย่างที่เห็น นายหญิงสั่งให้แม่บ้านจัดห้องนี้ไว้ให้เธอแต่มันก็สะดวกต่อการดูแลนายหญิง

ที่อีกด้านในตำหนักของฟางเสี่ยวโหรว

“ท่านแม่นม คนที่ข้าบอกให้ท่านหา จัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง?” ฟางเสี่ยวโหรวถาม

สาวใช้ในตำหนักก็กลับออกไปหมดแล้ว และตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่เธอกับแม่นมหลิวเท่านั้น

“เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ พวกเขาจะมาถึงในอีกสองวัน” แม่นมพูดพร้อมรอยยิ้มแปลกๆ

“ครั้งนี้ท่านจะต้องจัดการตั้งแต่ต้นจนจบ ท่านจะลงมือเองใช่ไหม?” น่าเสียดายที่แม่นมไม่รู้ว่าจะไปข่มขู่ครอบครัวของนางยังไง?!

จนถึงกระทั่งตอนนี้นางก็ยังเป็นเสี้ยนหนามอยู่ดี

“ไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ ครั้งนี้ข้าจะจ้างคนฝีมือดีให้มาจัดการเรื่องนี้ ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ” หลังจากเรื่องคราวที่แล้ว แม่นมหลิวเองก็ระวังอย่างมาก

เธอรู้สึกมาตลอดว่าองค์ชายสงสัยเธอ ดังนั้นเธอจะต้องระวังให้มาก

“จำไว้นะว่ามันจะต้องเรียบร้อย” ตายอีกแค่คนเดียวคงไม่แย่เท่าไร

“เจ้าค่ะ”

แล้วพวกนางก็มองตากันพร้อมรอยยิ้มซึ่งเป็นรอยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์อย่างมาก

เช้าวันต่อมา

มู่หรงเสวี่ยตื่นแต่เช้าพร้อมการดูแลจากเสี่ยวฉิง ระบบชนชั้นที่น่ารังเกียจ ซึ่งเป็นเรื่องง่ายมากที่จะทำให้คนรู้สึกดีกับตัวเอง

แค่ช่วงเวลาไม่นานที่ได้อยู่ที่นี่ก็ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเอง ขี้เกียจขึ้นมานิดหน่อยแล้ว

เช้านี้หวังฉิงไม่ได้แวะมา มู่หรงเสวี่ยและเสี่ยวฉิงกินอาหารเช้า ส่วนเรื่องสาวใช้คนอื่นๆ มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจหรอกแต่สำหรับคนของเธอ มู่หรงจะต้องดูแลอย่างดี

เช้านี้เธอบอกให้เสี่ยวฉิงนั่งกินร่วมโต๊ะกับเธอ สุดท้ายเธอก็ต้องออกคำสั่งนางถึงจะยอม

หลังจากที่กินอาหารเสร็จ มู่หรงเสวี่ยก็ออกไปเดินเล่นที่สวนอย่างอารมณ์ดี ยุคโบราณแบบนี้ไม่ค่อยมีสิ่งบันเทิงใจเท่าไร ถ้าเธอต้องอยู่ที่นี่นานๆก็คงจะไหลไปตามน้ำกับชีวิตแบบยุคโบราณนี้ แต่เธอปล่อยเรื่องพวกนี้ให้หลินหยางจะดีกว่า เธอเชื่อว่าในอนาคตหลินหยางจะต้องเป็นจักรพรรดิที่ดีได้แน่ๆ

เมื่อเดินมาถึงกึ่งกลางถนน มู่หรงก็เจอเข้ากับคนที่ไม่อยากจะเห็นหน้าเท่าไร คนคนนั้นคือฟางเสี่ยวโหรวนั่นเอง

เรื่องการวางยาพิษก่อนหน้านี้จะต้องเป็นฝีมือของผู้หญิงคนนี้แน่ๆ เธอไม่อยากที่จะเสียเวลาอยู่ที่นี่นาน ไม่งั้นเธอก็คงจะต้องระวังตัวทุกฝีก้าว

“น้องเล็ก สองวันที่ผ่านมานี้ข้าไม่เจอหน้าเจ้าเลยนะ เจ้ารู้สึกเป็นยังไงบ้าง?” ฟางเสี่ยวโหรวมองไปที่มู่หรงเสวี่ยตั้งแต่หัวจรดเท้า

สีหน้าของเธอดูแดงระเรื่อ ทำไมถึงได้ดูสุขภาพดีขนาดนี้

ไม่มีร่องรอยของคนที่เพิ่งถูกวางยาพิษเลยได้ยังไงกัน?! ฟางเสี่ยวโหรวไม่เข้าถึงภาพของคนที่เห็นตรงหน้าเลย จนถึงกระทั่งตอนนี้เธอก็ยังคิดไม่ออกว่ามู่เทียนคนนี้มาจากไหนกัน?!

ยาพิษนี้มีชื่อว่าน้ำตาดอกไม้ เพียงแค่หยดเดียวก็เพียงพอที่จะพรากชีวิตคนได้แล้ว

แม่ของเธอแอบให้น้ำตาดอกไม้เธอมาก่อนวันที่เธอจะแต่งงาน ว่ากันว่าไม่มียาอะไรที่จะรักษาได้

ในวันนั้น เธอบอกให้แม่นมหลิวเอาเงินให้สาวใช้ที่ตำหนักของมู่เทียนเป็นพิเศษเพื่อแลกกับข่าว และทุกคนต่างก็บอกว่านางดื่มซุปไปจริงและสลบไปนาน

เธอไม่สงสัยเรื่องที่หมอหลวงหวู่พูดเลย จนกระทั่งถึงตอนนี้ น้ำตาดอกไม้ก็ยังคงเป็นพิษต้องห้ามอยู่เพราะมันมีพิษที่ร้ายแรงเกินไป

น้ำตาดอกไม้ก็สมกับชื่อของมันซึ่งสามารถทำให้ดอกไม้งามร้องไห้ออกมาได้

นี่มู่เทียนเป็นอมตะงั้นเหรอ?!

เธอสงสัยเรื่องนี้อย่างมาก ถ้าเป็นแบบนั้น บางทีเธออาจจะต้องหาวิธีอื่นที่ดีกว่าเพื่อทำให้นางทรมานได้

มู่หรงไม่รู้ว่าทำไมว่าตอนนี้ที่เห็นรอยยิ้มของ ฟางเสี่ยวโหรวแล้วจู่ๆมันก็ทำให้เธอรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาทันที

ฟางเสี่ยวโหรวไม่รู้ตัวเลยว่าสีหน้าของเธอแสดงออกถึงความคิดที่ชั่วร้ายออกมาอีกแล้วเมื่อคิดว่าจากสถานะของเธอ เธอสามารถที่จะทำได้ทุกอย่าง

“ไม่เป็นไร ขอบคุณที่เป็นห่วง” หลังจากที่พูดจบ มู่หรงก็หันตัวกลับเตรียมที่จะเดินออกไป แต่ถูกฟางเสี่ยวโหรวดึงแขนไว้ มือของฟางเสี่ยวโหรวบีบแน่น เล็บจิกลงไปที่เนื้อแขนของมู่หรง

ความเจ็บปวดทำให้มู่หรงขมวดคิ้วและพยายามที่จะสลัดมือนางออก ฟางเสี่ยวโหรวเซไปสองสามก้าวและจู่ๆก็ล้มลงไปกับพื้น สีหน้าดูบอบบางพร้อมด้วยน้ำตาของดอกไม้งามที่ไหลออกมามากขึ้นในตอนนี้

“มีเรื่องอะไรกัน?” หวังฉิงที่เดินมาจากไกลๆและเข้ามาพยุงฟางเสี่ยวโหรวอย่างเบามือ หางเสี่ยวโหรวลุกขึ้นมายืนอยู่ในอ้อมแขนของหวังฉิง

เธอดูเหมือนจะเปิดปากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็กลับส่ายหัวอย่างคลุมเครือ แล้วเธอก็มองมาที่มู่หรงเสวี่ย ในสายตามีแวบประกายความกลัวซึ่งทำให้คนที่อยู่ในสวนเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่หวังฉิงจะต้องเห็นอยู่แล้ว เขาขมวดคิ้วและมองตามสายตาของฟางเสี่ยวโหรวมาที่มู่หรงเสวี่ย แต่ก็เห็นว่าเธอก็มองกลับไปที่ฟางเสี่ยวโหรวและเขาด้วยเหมือนกัน

เรื่องความอิจฉามีอยู่ทุกที่จริงๆ ถ้าเธอเข้าใจไม่ผิด เธอคงจะเพิ่งผลักหวังฉิงให้ไปอยู่ฝั่งของฟางเสี่ยวโหรว

“มีเรื่องอะไรกัน มู่เทียน?” หวังฉิงถามเสียงเรียบ ไม่มีอารมณ์โกรธ ไม่มีการกล่าวโทษ แต่ดูเหมือนจะเป็นแค่คำถามทั่วไป

ร่างของฟางเสี่ยวโหรวสั่นเทอมและประกายเย็นชาแวบขึ้นมาในสายตาของเธอแล้วก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว

“หวังฉิงนี่ก็แค่เรื่องเข้าใจผิดกัน อย่าว่าน้องเล็กเลยนะ เมื่อกี้ข้าไม่ทันระวังเองก็เลยล้มไป” ฟางเสี่ยวโหรวพยายามที่จะอธิบาย แกล้งทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเธอกำลังแก้ตัวแทนมู่เทียน แต่การพูดแบบนี้ออกมากลับยิ่งทำให้คนอื่นรู้สึกว่ามู่เทียนเป็นคนที่ไร้เหตุผลและพาล

มู่หรงยิ้มอย่างเย็นชา “ไม่มีอะไรหรอก ข้าก็แค่ไม่ชอบขี้หน้านางก็เลยผลักออกไป ทางที่ดีที่สุดก็อย่ามาให้เห็นหน้ากันอีกเลยจะดีกว่า” เธอไม่ได้อยากให้หวังฉิงมาชอบอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเธอทำให้หวังฉิงเกลียดได้มันก็คงจะเป็นเรื่องที่ดี

ฟางเสี่ยวโหรวเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ มู่เทียนพูดแบบนี้ออกไป อยากจะตายหรือไงกัน?!

หวังฉิงไม่เข้าใจน้ำเสียงและสีหน้าของมู่เทียน จึงยืนยิ้มกว้างอยู่ข้างๆฟางเสี่ยวโหรวพร้อมก้มหน้าลงมาและถามออกมาอย่างอ่อนโยน “หึงงั้นเหรอ?” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความพอใจ ใครๆที่ได้ยินต่างก็บอกได้เลยว่าเขาอารมณ์ดีอย่างมาก

ดวงตาของมู่หรงแสดงความตกใจเล็กน้อย นี่หวังฉิงบ้าไปแล้วหรือไง เธอเพิ่งจะยอมรับว่าตัวเองผลักคนอื่น ทำไมเขาถึงไม่โกรธเลยล่ะ?! แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน

หลังจากเวลาผ่านไปนาน มู่หรงเสวี่ยก็เผยรอยยิ้มกระอักกระอ่วน ดวงตาสีดำเงาของหวังฉิงเปล่งประกายดั่งอัญมณีพร้อมด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ทำให้ฟางเสี่ยวโหรวที่เฝ้าดูเหตุการณ์อย่างใกล้ชิดแทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองตาย

“เจ้ามาพาข้าออกไปข้างนอกใช่ไหม? ตอนนี้ว่างแล้วงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างอ่อนโยน

“งั้นไปกันตอนนี้เลยก็ได้ ตอนเที่ยงไปกินข้าวที่ร้านหมายเลขหนึ่งที่เคยไปครั้งที่แล้วกัน” หวังฉิงพูดเสียงเรียบ

มู่หรงพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรต่อ “ได้ งั้นข้าจะไปเปลี่ยนเป็นชุดสบายๆหน่อยแล้วกัน ชุดนี้มันรุงรังเกินไป” เธอบ่นเสียงเบา