บทที่ 338 ออกไปเที่ยวกันสามคน

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 338

ออกไปเที่ยวกันสามคน

แค่นี้เหรอ แล้วเรื่องที่เกิดกับเธอเมื่อกี้ล่ะ?!

ถึงแม้มันจะเป็นเพราะการเสแสร้งของเธอ แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอล้มลงไปกับพื้นจริงๆ มือบางทั้งสองข้างยังเจ็บอยู่เลยเพราะต้องรับแรงที่กระแทกลงไปกับพื้น องค์ชายปล่อยผู้หญิงที่โหดเหี้ยมที่อยู่เบื้องหน้าเขาคนนี้ไปง่ายๆแบบนี้ได้ยังไงกัน?! มันไม่ควรที่จะเป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?! แถมนังผู้หญิงคนนี้ก็ยอมรับแล้วด้วย แล้วทำไมหวังฉิงยังมองนางด้วยสายตาที่อ่อนโยนแบบนี้ได้อีก

ทั่วทั้งร่างของฟางเสี่ยวโหรวรู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรงแต่เธอก็ยังทำให้มู่เทียนน้ำตาร่วงไม่ได้เลย นังจิ้งจอก ไร้ยางอาย

“ฝ่าบาท ข้าไม่ได้ออกไปนอกตำหนักมานานแล้ว ข้าขอไปกับพวกท่านด้วยไหม?! ข้ารู้จักร้านดังๆในเมืองเยอะเลย ข้าแนะนำให้น้องเล็กได้นะเจ้าคะ” เธอจะปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้ออกไปกับหวังฉิงตามลำพังได้ยังไง

หวังฉิงขมวดคิ้ว อันที่จริงเขาอยากที่จะไปกับมู่เทียนแค่สองคน อย่างไรก็ตามในเมื่อเสี่ยวโหรวพูดออกมาแบบนี้มันก็คงไม่ดีถ้าเขาจะปฏิเสธนาง

ยังไงซะก็ต้องเห็นแก่หน้าพ่อของฟางเสี่ยวโหรวด้วย

เขามองไปที่มู่เทียนด้วยสายตาเชิงถามไถ่ มู่หรงยักไหล่ “ตามสบาย” เธอก็แค่ต้องการบางคนมาช่วยดึงความสนใจจากหวังฉิง ไม่งั้นเธอคงจะต้องใกล้ชิดกับเขามากเกินไปแน่ๆ และกลัวว่าถ้าเธอไม่ระวังให้ดีก็อาจจะเปิดเผยตัวเองได้

“ตกลง งั้นก็ไปด้วยกันเลย อย่าเอาคนไปเยอะ แค่คนติดตามก็พอ” หวังฉิงสั่งออกมาเสียงเรียบ

ฟางเสี่ยวโหรวมองไปที่หวังฉิงด้วยสายตาประหลาดใจ ถึงแม้เธอจะไม่เข้าใจเจตนาของหวังฉิง แต่เธอก็ยังต้องสงบใจไว้ก่อน “ได้ งั้นข้าจะกลับไปเปลี่ยนชุดที่ห้องก่อน”

โดยปกติแล้วเวลาออกไปข้างนอกพวกขุนนางชั้นสูงและพวกตระกูลสำคัญๆจะพาทหารหรือสาวใช้ออกไปด้วยประมาณ 8-10 คนเพื่อให้สมฐานะ แต่ในเมื่อองค์ชายบอกแบบนี้แล้ว ฟางเสี่ยวโหรวก็ไม่กล้าที่จะเถียงอะไรเขาเพราะกลัวจะทำให้เขาเสียความประทับใจ เธอจึงพาไปเพียงแม่นมเท่านั้น อีกอย่างองค์ชายก็ออกไปด้วยฉะนั้นองครักษ์ชุดดำก็น่าจะออกไปด้วยไม่น้อย งั้นก็ไม่น่าจะมีอันตรายอะไร

มู่หรงเปลี่ยนเป็นชุดง่ายๆแล้วจึงออกมา เสื้อคลุมสีขาวนวลทำให้เธอดูเหมือนคนธรรมดาแต่เพิ่มความเย็นชาเข้าไปอีกนิดหน่อย ทำให้เธอดูเปล่งประกายราวดวงจันทร์

ตรงกันข้ามกับฟางเสี่ยวโหรวที่ดูหรูหรากว่ามาก เสื้อคลุมสีเหลืองทองอันวิจิตร ปักด้วยดอกโบตั๋นวิจิตรงดงาม ซึ่งล้วนเป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นสูง และถ้ามองที่ฟางเสี่ยวโหรวก็จะเห็นได้เลยว่าเธอดูสวยกว่าเดิมมาก

อย่างไรก็ตามเมื่อยืนเทียบกับมู่หรง เธอกลับดูหยาบกระด้างและล้าสมัยอย่างอธิบายไม่ได้ ทั้งๆที่มู่หรงไม่มีเครื่องประดับล้ำค่าอะไรเลยแต่กลับดูเปล่งประกายมากกว่าเธอหลายเท่าอย่างอธิบายไม่ได้ และแน่นอนว่านี่ทำให้ดวงตาของหวังฉิงเบิกกว้างอย่างเห็นได้ชัดพร้อมทั้งเดินตรงมาที่มู่หรงเสวี่ยพร้อมด้วยรอยยิ้มสดใส

เขาจับมือมู่หรงแน่นด้วยความกระหาย “ขนาดไม่แต่งตัว เจ้าก็ยังเปล่งประกายอยู่เบื้องหน้าข้าได้อยู่ดีนะ”

“จริงเหรอ?! ขอบคุณนะ องค์หญิงของเจ้าสวยกว่าอีกนะ เจ้าน่าจะภูมิใจตัวนาง” เธอไม่เข้าใจน้ำเสียงและสีหน้าของเขาแต่ก็พูดออกไปด้วยรอยยิ้มสดใส

เธออยากที่จะแต่งตัวธรรมดาๆสักครั้งไม่ได้อยากจะสร้างเรื่องอะไรอีก

ฟางเสี่ยวโหรวที่ยืนอยู่ข้างๆมู่เทียน จึงได้ยินบทสนทนาของพวกเขาอย่างชัดเจนและนั่นทำให้เธอยืนกำมือแน่น มู่เทียนกล้ามาพูดเหน็บแนมเธอได้ยังไงกัน?!

อันที่จริงฟางเสี่ยวโหรวเข้าใจผิดจริงๆ มู่หรงเสวี่ยเพียงแค่อยากจะแยกตัวออกจากความสนใจของหวังฉิง

หลังจากที่ได้ยินคำพูดของมู่หรงเสวี่ย ถึงแม้เขาจะไม่อยากทำแต่ก็ต้องหันไปมอง “เสี่ยวโหรว วันนี้เจ้าเองก็สวยมากเหมือนกันนะ” แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมากลับเย็นชากว่า

ฟางเสี่ยวโหรวก้มหัวเล็กน้อยด้วยความละอายใจที่ใช้เวลาแต่งตัวซะนาน เธออยากที่จะทำให้เขาประทับใจ

“ไปกันเถอะ นี่ก็จะเที่ยงแล้ว” หวังฉิงพูดกับสองสาวสวยด้วยรอยยิ้ม

มู่หรงเสวี่ยและฟางเสี่ยวโหรวยืนอยู่ขนาบข้างซ้ายและขวาของหวังฉิงด้วยความเคยชินในระหว่างที่แม่นมหลิวและ เสี่ยวฉิงยืนอยู่ข้างหลังของแต่ละฝั่ง

เพราะครั้งนี้มีฟางเสี่ยวโหรวมาด้วย เขาจึงต้องนั่งรถม้าออกมาจากวัง และตอนที่อยู่บนรถม้าก็มีปัญหาอยู่นิดหน่อย

ปกติแล้วมู่หรงเสวี่ยจะนั่งอยู่ฝั่งหนึ่งคนเดียว แต่เธอไม่รู้ว่าหวังฉิงจะมานั่งข้างๆเธอและปล่อยให้ฟางเสี่ยวโหรวต้องนั่งที่อีกฝั่งคนเดียว พร้อมด้วยสายตาที่จ้องตรงมาที่เธอหลายครั้งเวลาที่หวังฉิงไม่ได้สนใจ

มู่หรงเสวี่ยไม่ได้อยากจะนั่งข้างๆหวังฉิง ดังนั้นเธอจึงเปลี่ยนตำแหน่งและไปนั่งข้างๆฟางเสี่ยวโหรวแทน

ตอนนี้หวังฉิงจ้องเขม็งมาที่เธอ สีหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นแล้วสายตาของเขาก็เริ่มที่จะเย็นชาขึ้นเล็กน้อย

มู่หรงไม่ได้สนใจและหันไปหยิบขนมที่โต๊ะขึ้นมากิน

หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยย้ายที่มา ฟางเสี่ยวโหรวกลับยิ่งไม่พอใจมากกว่าเดิม นางมีคุณสมบัติอะไรถึงทำท่ารังเกียจองค์ชายได้? ฟางเสี่ยวโหรวอดไม่ได้ที่จะก่นด่าอยู่ในใจ

ในระหว่างทางรถม้าเกิดโยกเยก มู่หรงเสวี่ยจับกำแพงของรถม้าไว้แน่นจึงไม่เป็นอะไรแต่ฟางเสี่ยวโหรวกลับกระเด็นไปที่ตัวของหวังฉิง

“โอ๊ย” และน้ำเสียงไพเราะก็ดังออกมาด้วยความประหลาดใจ แต่พอทันทีที่ลุกขึ้นได้ รถม้าก็โยกเยกขึ้นมาอีกและฟางเสี่ยวโหรวก็ล้มลงไปอีกครั้ง หลังจากที่ล้มไปล้มมาอยู่หลายครั้ง หวังฉิงก็พยุงฟางเสี่ยวโหยวขึ้นมาแล้วจึงจับให้เธอนั่งลงที่นั่งข้างๆ “นั่งดีๆล่ะ” พร้อมด้วยปลายหางตาที่มองไปที่มู่หรงด้วยเช่นกัน

ฟางเสี่ยวโหรวพยักหน้าพร้อมด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ เธอมีความสุขมากที่องค์ชายกอดเธอไว้

มู่หรงที่มือหนึ่งจับรถม้าไว้แน่นและอีกมือที่กินขนมอยู่และเริ่มที่จะกินเมลอนแล้ว

หวังฉิงไม่เห็นสายตาหึงของมู่เทียนเลย ออกจะไม่ได้สนใจด้วยซ้ำแต่มันก็ไม่สำคัญหรอก ต้องเป็นเพราะเธอพยายามที่จะเก็บซ่อนมันไว้ข้างในแน่ๆ ไม่งั้นเมื่อเช้านี้เธอก็คงไม่ผลัก เสี่ยวโหรวหรอก

เมื่อคิดแบบนี้หวังฉิงก็ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มที่สวยงาม รถม้าไม่ได้ใหญ่มากจึงสามารถที่จะมองเห็นได้ทุกอย่าง ดังนั้นมู่หรงเสวี่ยจึงเห็นรอยยิ้มของหวังฉิงได้ไม่ยาก

บ้าจริง เขาจ้องหน้าเธอแล้วหัวเราะทำไมกัน?! มู่หรงรู้สึกแปลกๆอย่างอธิบายไม่ถูก ถ้าเธอรู้ว่าหวังฉิงจะคิดมากกับเรื่องท่าทางของเธอเมื่อเช้าขนาดนี้ เธอคงจะอธิบายไปแล้วว่ามันเป็นยังไง นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันใหญ่แล้ว

รถม้าขับไปอย่างช้าๆและไม่นานก็มาถึงร้านอาหารหมายเลขหนึ่ง

เมื่อเดินเข้าไปถึงหวังฉิงก็สั่งห้องหมายเลขหนึ่งทันทีและครั้งนี้เขาไม่เห็นสามองค์ชายแห่งดินแดนลมอีก

หลังจากนั้นหวังฉิงก็สั่งให้คนเฝ้าจับตาดูการกระทำของพวกเขา รวมทั้งเรื่องทิศทางของดินแดนสายลมด้วย

โชคดีที่องค์ชายทั้งสามไม่ได้ทำอะไรที่เกินขอบเขตและยังไม่ออกจากดินแดนแห่งไฟ แต่อันที่จริงหวังฉิงก็เป็นกังวลกับเรื่องนี้อย่างมาก

การพัฒนาดินปืนเป็นเรื่องที่ยากกว่าที่เขาคิดไว้มาก ไม่ว่าเขาจะพยายามลองกี่ครั้ง พลังการระเบิดก็ยังกินพื้นที่เพียงนิดเดียวอยู่ดี มีการเอาวัสดุหลายอย่างมาลองและก็มีหลายคนที่ต้องบาดเจ็บและตายไปด้วยแต่พวกเขาก็ยังทำได้ไม่ถึงกับที่ดินแดนเฮ่ยเฉินทำไปในวันนั้นเลย

โชคดีที่ทั้งดินแดนแห่งสายลมและดินแดนหิมะยังไม่ได้ลงมือทำอะไรในตอนนี้ แต่ดินแดนหิมะกำลังหาคนอยู่และคำอธิบายก็ดูจะคล้ายกับมู่เทียนที่อยู่ข้างๆเขาอย่างมากด้วย

เพราะอะไรกันทำไมดินแดนแห่งหิมะถึงต้องพยายามมากขนาดนี้?! ต้องไม่ใช่แค่เรื่องความสวยแน่ๆ เขารู้จักองค์ชายจิ่วหยานแห่งแดนหิมะดี ทำไมผู้ชายที่มากความสามารถและเก่งเรื่องกลยุทธ์ถึงยอมมาลงแรงมากมายขนาดนี้เพื่อความสวย

ถึงแม้เขาเองก็ชื่นชมสาวงามมากไม่ต่างกันแต่เมื่อเป็นเรื่องของดินแดน เขาก็พร้อมที่จะยอมแพ้ งั้นก็คงมีความเป็นไปได้เดียว นั่นคือมู่เทียนมีบางอย่างที่พวกเขาต้องการ

ทันใดนั้นมู่หรงเสวี่ยก็รู้สึกได้ถึงสายตาของหวังฉิง

สายตาในตอนนี้แตกต่างจากสายตารักใคร่ก่อนหน้านี้ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นการตรวจสอบ มู่หรงจึงพูดออกมาด้วยความร่าเริงทันที “ทำไมเจ้าถึงมองข้าแบบนั้นล่ะ?! ข้ามีอะไรติดอยู่ที่หน้าหรือไง?” เธอพูดพร้อมรอยยิ้ม

หวังฉิงหันกลับมามอง “เจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับจิ่วหยาน?” เขาถามออกมาตรงๆ

ถึงแม้เขาจะรู้ว่ามู่เทียนจะพูดออกมาตรงๆไม่ได้ แต่เขาก็ยังอยากที่จะฟังคำตอบจากเธอ

ฟางเสี่ยวโหรวที่นั่งอยู่ข้างหวังฉิงรู้สึกตกใจเมื่อได้ยินคำถามของหวังฉิง จิ่วหยาน แน่นอนว่าเธอรู้จักว่าเขาคือใคร

ชายจากสามดินแดน องค์ชายจิ่วหยานก็โด่งดังพอๆกับหวังฉิง

เธออดไม่ได้ที่หูผึ่งและฟังอย่างตั้งใจ นี่มันน่าประหลาดจริงๆ และจนตอนนี้เธอก็ยังไม่รู้ตัวตนของนางเลย

ตอนแรกเธอคิดว่าเป็นเพราะองค์ชายที่ปกป้องมู่เทียนไว้ทำให้เธอหาข้อมูลอะไรไม่เจอ

มู่หรงยิ้มจางๆ “ทำไมถามอะไรแบบนี้ล่ะ ข้าจำได้ว่าเคยบอกเจ้าไปแล้วนะ” ในตอนนั้นเธอยังอยู่ที่ดินแดนหิมะด้วย

หวังฉิงดึงสายตากลับมาและยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม ก่อนหน้านี้เขาไม่เชื่อคำพูดของมู่เทียนแต่ตอนนี้มู่เทียนก็ยังตอบคำถามเหมือนเดิม พิสูจน์ให้เห็นว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขา ใช่ไหม?! ยังไงซะมันก็เป็นแค่เรื่องโกหก!

หวังฉิงไม่ได้ถามอะไรอีกแต่ลมหายใจของเขาก็เห็นได้ชัดว่าเครียดขึ้นมาเลย

ฟางเสี่ยวโหรวที่พยายามจะฟังอย่างตั้งใจแต่ก็ไม่ได้ยินอะไรเลย จนเธอรู้สึกเหลืออดอยู่นิดหน่อยแล้ว เธออยากที่จะขุดโครตเง้าเหล่าตระกูลของมู่เทียนออกมาให้หมดเพื่อที่ตัวเองจะได้รู้ว่าจุดอ่อนของนางคืออะไรกันแน่?!

คนที่อยู่บนโลกนี้พวกเขาจะไม่มีจุดอ่อนหรือร่องรอยเลยได้ยังไงกัน และถึงแม้จะไม่มี เธอก็จะสร้างขึ้นมาให้นางเอง ฟางเสี่ยวโหรวอดที่จะคิดอย่างไร้ปรานีไม่ได้

หลังจากนั้นสักพัก เสี้ยวเอ้อก็เอาอาหารหน้าตาน่ากินเข้ามาอย่างต่อเนื่อง มู่หรงที่นั่งอยู่ข้างๆหวังฉิงพูดออกมาเสียงเบา “ข้าจะไปห้องน้ำหน่อย” เธอจงใจที่จะทำอะไรแบบเดิมกับคราวที่แล้ว เพียงเพื่อจะทำลายการป้องกันของเขา

สายตาของหวังฉิงแวบประกายเย็นชาขึ้นมาแต่ก็พยักหน้าเบาๆ “ระวังด้วย แล้วก็รีบไปรีบมาล่ะ”

ไม่นานหลังจากที่มู่หรงเสวี่ยและเสี่ยวฉิงเดินออกนอกประตูไป หวังฉิงก็ทำท่าทางอะไรบางอย่างและเหล่าองครักษ์ชุดดำก็รีบตามออกไปทันที

ฟางเสี่ยวโหรวมองสถานการณ์นี้ราวกับว่าไม่มีอะไร เธอนั่งอยู่ที่อีกด้าน คอยเฝ้าสังเกตในตอนนี้องค์ชายดูเหมือนจะเคร่งขรึมขึ้นอย่างที่อธิบายไม่ได้ สัญชาตญาณบอกเธอว่าตอนนี้เธอควรที่จะนั่งอยู่เงียบๆจะดีกว่า

หวังฉิงรินไวน์ใส่แก้วให้ตัวเองและดื่มเข้าไปทีเดียวหมด สีหน้าของเขาค่อนข้างที่จะเคร่งขรึมและไม่มีใครรู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

มู่เทียน ข้าหวังว่าครั้งนี้เจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ

มู่หรงตั้งใจพาเสี่ยวฉิงไปที่ห้องน้ำหญิงเหมือนครั้งที่แล้ว เสี่ยวฉิงตามเดินตามมู่หรงเสวี่ยไปพร้อมด้วยใบหน้าที่ยุ่งเหยิง

หลังจากที่เข้าไปในห้องน้ำและปิดประตู มู่หรงเสวี่ยก็ถามออกมา “ทำไมเจ้าถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะ?”

“นายหญิงเจ้าคะ ท่านจะหนีไปตอนนี้เหรอเจ้าคะ?” เสี่ยวฉิงถามอย่างเป็นกังวล

มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหนีไปตอนนี้ ถึงแม้เธอจะไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณ แต่เพราะการฝึกตนมาอย่างยาวนาน ครั้งนี้เธอจึงรู้สึกได้ว่ามีองครักษ์ชุดดำไม่น้อยกว่า 5 คนที่ตามเธอมา