บทที่ 339
ความรู้สึกที่แท้จริงและเจตนาที่เป็นเท็จ
“ไม่ได้จะหนีไปตอนนี้หรอก ไม่ต้องกังวลไปขนาดนั้น ดูหน้าเจ้าสิซีดเป็นไก่เลย ต่อให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นข้าก็ยังกลัวท่าทางของเจ้าตอนนี้อยู่ดี” มู่หรงพูดเสียงเรียบ
เสี่ยวฉิงตบไปที่หน้าอกตัวเองและพูดออกมาว่า “นายหญิงก็ ข้าคิดว่าท่านจะหนีไปตอนนี้เลย”
“โง่น่าเสี่ยวฉิง อย่าคิดมากเกินไปสิ ถ้าเจ้าเอาแต่ตัวสั่นแล้วก็กลัวอยู่แบบนี้ตลอด เจ้าไม่กลัวคนอื่นจะเห็นหรือไง?” มู่หรงเสวี่ยอย่างช่วยไม่ได้
เสี่ยวฉิงกำผ้าเช็ดหน้าแน่น กัดริมฝีปาก ขมวดคิ้วและพูดออกมาอย่างเป็นกังวล “นายหญิงเจ้าคะ ข้าจะทำได้ยังไง? ข้าควบคุมตัวเองไม่ได้เลย” เธอแทบที่จะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว
ในตอนนี้มู่หรงเองก็รู้สึกผิดอยู่นิดหน่อยที่บอกนางเร็วเกินไปและไม่คิดว่ามันจะเป็นปัญหา แต่นี่กลับทำให้เสี่ยวฉิงคิดมากเกินไปกับเรื่องนี้
“เสี่ยวฉิง อย่าคิดมากไปเลยนะ มันก็แค่เรื่องเล็กน้อย อีกอย่าง ข้าไม่ได้จะไปตอนนี้ แต่ตอนนี้ได้เวลาที่เราจะต้องออกไปกันแล้ว” มู่หรงแตะไปที่ไหล่ของนางและพูดออกมา
เสี่ยวฉิงพยักหน้าและเดินออกไปพร้อมกัน
ไม่ห่างออกไปนัก องครักษ์ชุดดำที่จ้องพวกนางมาตลอดก็รู้สึกโล่งใจเมื่อได้เห็นพวกนางเดินออกมา เพราะเรื่องขายหน้าครั้งที่แล้วทำให้องครักษ์ชุดดำสองคนที่แอบตามนางต้องถูกลงโทษ ถึงแม้จะยังไม่ตายแต่ก็กว่าจะลุกออกจากเตียงได้ก็ปาเข้าไปครึ่งเดือนได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาต้องเสียหน้าสุดๆในฐานะองครักษ์ลับอันดับหนึ่ง สิ่งที่น่าอับอายที่สุดคือพวกเขาคลาดสายตาจากผู้หญิงคนหนึ่ง
ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ตามพวกนางไปทั้งหมด แต่แยกสามคนให้คอยตามพวกนางไปและให้อีกสองคนเฝ้าคอยสังเกตอยู่ที่ตำแหน่งเดิม เพราะกลัวว่ามู่หรงเสวี่ยจะสลับตัวกันอีกครั้ง
มู่หรงเสวี่ยและเสี่ยวฉิงกลับไปที่ห้องหมายเลขหนึ่ง สีหน้าของหวังฉิงดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มของเขาดูอบอุ่นและสายตาก็เต็มไปด้วยความรักใคร่ เขาเหมือนกับเป็นแสงอาทิตย์ที่เปล่งประกายหลังจากพายุฝน สว่างและสดใส
เขาโบกมือให้มู่หรงเสวี่ย “มู่เทียน มานั่งนี่เร็วเดี๋ยวอาหารจะเย็นหมดนะ”
มู่หรงยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มแสนสวยและเดินเข้าไปหาเขาอย่างเชื่อฟัง “ทำไมเจ้าไม่กินก่อนล่ะ? ไม่ต้องรอข้าหรอก”
เธอเห็นอาหารบนโต๊ะยังเหมือนเดิมไม่ถูกแตะเลย หวังฉิงและฟางเสี่ยวโหรวไม่ได้หยิบตะเกียบขึ้นมาเลย
“ต้องรอสิ มาเถอะ มาชิมกุ้งนี่หน่อย นี่เป็นจานขึ้นชื่อของที่นี่เลยนะ” หวังฉิงหยิบตะเกียบขึ้นมาและตักกุ้งไปวางที่ถ้วยของมู่หรงเสวี่ย
มู่หรงเสวี่ยเองก็ตักพริกขึ้นมา เธอไม่ชอบกินจึงใส่เข้าไปในถ้วยของหวังฉิงพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าเองก็กินเยอะๆนะ”
“องค์ชายไม่ชอบกินเผ็ด” ฟางเสี่ยวโหรวมองไปที่มู่เทียนด้วยสายตาดูถูกพร้อมทั้งตักผักใส่ลงไปในถ้วยของหวังฉิง “องค์ชาย ลองชิมอันนี้ดูเจ้าคะ ส่วนพริกนั้นไม่ต้องกินหรอกนะเจ้าคะ”
มู่หรงเหล่ตาไปมองฟางเสี่ยวโหรวเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พยายามที่จะยั่วอะไร จะหาเหตุผลอะไรกับผู้หญิงที่ความรักบังตาล่ะ
หวังฉิงไม่เข้าใจน้ำเสียงและสีหน้าจึงตักพริกเข้าปากและกินเข้าไป มู่หรงเงียบไปชั่วขณะ ไม่ได้คิดว่าเขาจะกินเข้าไปจริงๆ ถึงแม้เธอแค่อยากจะแกล้งเขาเฉยๆแต่เมื่อได้เห็นเขากินเข้าไปจริงก็อดที่จะรู้สึกลำบากใจไม่ได้
และฟางเสี่ยวโหรวที่อยู่ข้างๆ ริมฝีปากเซ็กซี่บิดเบี้ยวอยู่บนใบหน้าพร้อมสายตาที่จ้องมาที่มู่เทียนอย่างโหดร้าย
หวังฉิงหลงผู้หญิงคนนี้มากจริงๆ
มู่หรงรีบยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาและยื่นไปให้หวังฉิงที่หน้าแดงก่ำอยู่ตรงหน้า “เอ้า ดื่มน้ำก่อน”
หวังฉิงจับไปที่มือของมู่เทียนพร้อมด้วยสายที่จ้องไปที่ มู่เทียนอย่างหลงใหลแล้วจึงดื่มชาเข้าไป
สีหน้าของมู่หรงเสวี่นสะดุดไปชั่วขณะ เธอเพียงแค่อยากจะส่งน้ำชาให้เขาเฉยๆไม่ได้คิดว่าจะป้อนเขา
อีกอย่างสายตาของหวังฉิงก็ช่างร้อนรุ่มจนเธอแทบจะทนไม่ไหว
สุดท้ายหลังจากที่ดื่มเสร็จ มู่หรงเสวี่ยก็รีบดึงมือตัวเองกลับมาทันที ในตอนนี้ฟางเสี่ยวโหรวก็รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาและเช็ดไปที่มุมปากของหวังฉิง
“รีบกินเข้าเถอะ อาหารเย็นหมดแล้ว” มู่หรงเสวี่ยหันกลับมา ถึงแม้เธออยากที่จะลดการคุ้มกันของเขา แต่เธอก็แสดงต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
“งั้นก็กินเยอะๆนะ” หวังฉิงพูดพร้อมรอยยิ้ม
ทั้งสองต่างก็ทำราวกับว่าฟางเสี่ยวโหรวเป็นอากาศธาตุ มู่หรงเสี่ยวไม่สนใจที่ฟางเสี่ยวโหรวเอาแต่จ้องมาที่เธอ หวังฉิงเองก็ดูจะไม่ตอบสนองอะไรเลยเช่นกัน
เขาเคยเป็นผู้ชายที่คิดว่าผู้หญิงทุกคนก็เหมือนกันหมดแต่ตอนนี้เขาก็ได้รู้แล้วว่ามีคนหนึ่งที่สำคัญกับหัวใจเขาเป็นพิเศษ มู่เทียนคือคนที่สำคัญที่สุด อันที่จริงเขาก็ไม่ได้โง่ เขามองออกว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง แต่อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธเขาอีกแล้วใช่ไหมล่ะ?! มันจะต้องมีสักวันที่เธอยอมเป็นของเขาทั้งตัวและหัวใจ เหมือนอย่างเมื่อกี้ที่มู่เทียนก็ไม่ได้หนีไปใช่ไหมล่ะ?! เขาเชื่อว่าถ้าเธออยากที่จะหนี มันก็คงจะมีวิธีอย่างเช่นการใช้สาวใช้เสี่ยวฉิงนั่น แต่เธอไม่ได้ทำอะไรและยอมกลับมาหาเขาด้วยความสมัครใจ
“หวังฉิงรอเดี๋ยวนะ ข้าอยากจะซื้ออะไรหน่อย มีหลายอย่างเลยที่อยากจะซื้อ อยู่ในตำหนักมันน่าเบื่อเกินไป ข้าอยากจะซื้ออะไรกลับไปเล่นหน่อยได้ไหม?” เธอถามออกมาหลังจากที่กินเสร็จ
ดวงตากลมโตกะพริบถี่
“เจ้าจะซื้ออะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ” หวังฉิงพูดออกมาเสียงดัง ในดินแดนแห่งไฟมีร้านสวยๆงามๆมากมายที่พวกองค์หญิงชอบไปกัน
ฟางเสี่ยวโหรวยืนกัดฟันแน่น หวังฉิงยุ่งขนาดนี้แต่ก็ยังยอมที่จะไปซื้อของกับนังจิ้งจอกนี่อีก เขาหลงนางหัวปักหัวปำเลยจริงๆ
“องค์ชาย ข้าเองก็มีของหลายอย่างที่อยากจะซื้อเหมือนกัน” ฟางเสี่ยวโหรวพูดแทรกขึ้นมาอย่างไม่พอใจเท่าไร
“เจ้าจะซื้ออะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ เจ้าเป็นคนดูแลเรื่องบัญชีภายในของวังอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?! อีกอย่างข้าจะให้เบี้ยเลี้ยงมู่เทียนเท่ากับจำนวนของข้าด้วยเหมือนกัน” หวังฉิงสั่งออกมาเสียงเรียบ
“องค์ชาย มันจะเป็นไปได้ยังไงเจ้าคะ?! ข้าไม่เคยแบ่งสัดส่วนให้ใครในตำหนักสูงขนาดนี้มาก่อนเลย ข้ากลัวว่าเรื่องนี้จะทำให้เกิดเรื่องซุบซิบกันได้” ฟางเสี่ยวโหรวพูดออกด้วยน้ำเสียงเหมือนกับกัดฟันพูด
องค์ชายต้องใช้เงินเยอะเพราะเขาต้องใช้ทำธุรกิจต่างๆ แต่นังจิ้งจอกนี่จะเอาเงินมากมายแบบนั้นไปทำอะไร? ขนาดสนมที่อยู่ข้างกายอย่างเธอยังได้เพียงแค่หนึ่งในสิบขององค์ชายเลย
มู่หรงเงียบไปชั่วขณะแต่ไม่นานก็ได้สติกลับมา “ไม่นะหวังฉิง ปกติข้าก็ไม่ได้ใช้เงินอะไรอยู่แล้ว ให้ข้าเยอะแบบนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก” เธอไม่อยากที่จะเกี่ยวข้องกับหวังฉิงมากเกินไปและไม่อยากได้เงินเขาแม้แต่สักตำลึง
หวังฉิงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยตอนที่ฟางเสี่ยวโหรวเปิดปากพูด นี่เงินของเขา เขาจะใช้ยังไงก็ได้ที่เขาต้องการและไม่มีใครที่จะมาห้ามเขาได้ด้วยถ้าเขาอยากที่จะทำอะไร อย่างไรก็ตามคำพูดของมู่เทียนทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาหน่อย “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ต้องการเงินแต่ข้าอยากที่จะให้ มันเป็นเรื่องปกติที่ผู้ชายจะให้เงินผู้หญิงของตัวเอง” หวังฉิงพูด
มู่หรงหยิบเงินเล็กน้อยออกมาจากแขนเสื้อ “ข้าก็มีเงิน เจ้าเห็นไหม ข้าไม่ต้องการจริงๆ” เธอส่ายหัวปฏิเสธ
เขามองไปที่เงินที่อยู่ในมือเธอซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นเงินจากดินแดนเฮ่ยเฉิน สีหน้าเขาขรึมขึ้นเล็กน้อย “เจ้ามีเงินกับเรื่องที่ข้าจะให้เจ้า มันคนละเรื่องกัน” หลังจากเงียบไปสักพัก เขาก็เหล่ตาไปทางฟางเสี่ยวโหรวแล้วจึงพูดต่อ “ช่างมันเถอะ เจ้าไม่ต้องแบ่งเงินให้มู่เทียน ข้าจะให้นางเอง”
ถ้าเธอรู้ว่าเรื่องมันจะกลายเป็นแบบนี้ เธอก็คงจะเห็นด้วยกับเขาไปแล้วเพราะสิ่งที่องค์ชายจะให้มันต้องมากกว่าอยู่แล้ว นี่มันต่างกันอย่างเห็นได้ชัดแต่เธอจะทำอะไรได้? คำพูดของหวังฉิงถือเป็นที่สิ้นสุด
ในยุคโบราณแบบนี้ ผู้หญิงจะนับถือสามีราวกับเป็นพระเจ้า ความคิดของพวกเธอขึ้นอยู่กับสีหน้าของหวังฉิง เมื่อนึกถึงอดีต หวังฉิงเป็นคนที่ฉลาด ไม่เคยหลงระเริงไปกับความงามและให้เกียรติเธอมากตลอด คนภายนอกมากมายต่างก็อิจฉาเธอกันทั้งนั้น ฟางเสี่ยวโหรวคิดว่านั่นคือช่วงเวลาที่เธอมีความสุขที่สุด
อย่างไรก็ตามเมื่อองค์ชายพาผู้หญิงที่ชื่อมู่เทียนกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป แล้วแบบนี้เธอจะทนรับการมีตัวตนของ มู่เทียนอยู่ได้ยังไง
มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้
พูดกันง่ายๆ ทำไมพวกผู้ชายต้องบังคับผู้หญิงอะไรแบบนี้ด้วย อีกอย่างเธอก็ไม่ได้อยากที่จะสู้ด้วยจริงๆเพื่อที่ว่าหลังจากที่เธอไปแล้วจะได้ไม่มีเรื่องอะไรที่ยุ่งเหยิง นี่เศร้าจริงๆเมื่อคิดถึงผู้หญิงในยุคนี้ แต่นี่ก็เป็นเพียงมุมมองสายตาของเธอที่มาจากอนาคต เธอเดาว่าพวกเขาคงคิดว่ามันดีแล้ว นี่เป็นช่องว่างระหว่างยุคสมัยจริงๆ
“ไปกันเถอะ นี่ก็เกือบจะบ่ายแล้ว” มู่หรงลุกขึ้นและพูดออกมา
หวังฉิงเดินตรงเข้าไปและจับมือเล็กของเธอไว้ พวกเขาดูเหมือนกับเป็นคู่รักที่รักใคร่กันมากจริงๆ อย่างน้อยก็ในสายตาของฟางเสี่ยวโหรว
เสี่ยวฉิงก้มหัวลงเพราะกลัวว่าตัวเองจะดูกังวลมากเกินไปจนทำให้ท่านหญิงติดร่างแหไปด้วย
ฟางเสี่ยวโหรวอยู่อีกข้างของหวังฉิง มารยาทที่เธอถูกสอนมาตั้งแต่เด็กจนโตทำให้เธอไม่สามารถที่จะเดินนำหน้าองค์ชายได้ อย่างไรก็ตามเธอก็พูดไม่ได้ว่าสามีของเธอโง่ เธอทำได้เพียงโทษมู่เทียน นังจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ยั่วยวนองค์ชายอย่างไร้ยางอาย
มู่หรงคอยเฝ้าเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าให้ทนอีกหน่อย อดทนอีกหน่อย เธอจะให้ความพยายามก่อนหน้านี้สูญเปล่าไม่ได้
แม่นมหลิวที่เดินอยู่ในระดับเดียวกับเสี่ยวฉิง จ้องไปที่เสี่ยวฉิงอย่างดุดัน เด็กสาวนี่อวดดีที่ไม่ยอมรับสินบนจากเธอ ในตำหนักของมู่เทียน มีเพียงสาวใช้คนนี้ที่ใกล้ชิดกับมู่เทียนที่สุด อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเธอจะพยายามสอบถามมากแค่ไหน เด็กสาวนี่ก็ปิดปากเงียบและไม่ยอมพูดอะไรที่เกี่ยวกับมู่เทียนเลย
หลังจากที่กลับไป เธอจะต้องหาโอกาสที่จะจัดการแม่เด็กนี่หน่อยแล้ว ทำให้นางเข้าใจว่าตอนนี้ใครที่ใหญ่ที่สุดในวัง เพียงช่วงเวลาสั้นๆแต่แม่นมหลิวก็คิดวิธีที่โหดร้ายได้มากมาย เดิมทีแม่นมหลิวเป็นคนของท่านแม่ของฟางเสี่ยวโหรว เธอรู้วิธีสกปรกมากมายที่จะช่วยเจ้านายได้ อีกอย่างชีวิตของเหล่าสาวใช้ให้วังก็อยู่ในกำมือเธอด้วย
มันเป็นเรื่องยากที่เธอจะรู้สึกกลัวอะไรในเมื่อตอนกลางคืนเธอไม่เคยฝันร้ายถึงอะไรเลย พูดง่ายๆว่าคนแบบนี้ไร้ซึ่งมโนธรรม
ตลอดทางมู่หรงแวะซื้อของมากมาย แน่นอนว่าเธอไม่ได้ซื้อแค่ของที่จำเป็น ไม่งั้นมันคงจะดูออกง่ายเกินไป มู่หรงแทบจะซื้อทุกอย่างที่เห็นเลย พูดได้ว่ากวาดเรียบไปตลอดทาง ทุกอย่างดูเป็นของที่น่าตื่นตาตื่นใจไปซะหมด ขนาดกระทะก็ไม่เว้น
หวังฉิงคิดแค่เพียงว่าเพราะเธอไม่ใช่คนจากโลกนี้ ดังนั้นเธอก็เลยสนใจกับทุกอย่างและไม่อยากจะคิดสงสัยอะไร
อันที่จริงมู่หรงเองก็ชอบแบบนี้มากเหมือนกัน บางครั้งเธอก็ร้องโวยวายออกมาบ้างเป็นบางครั้งซึ่งทำให้หวังฉิงหัวเราะได้อย่างมาก
ฟางเสี่ยวโหรวที่เดินตามมาพร้อมกับสีหน้ารังเกียจ ในหัวใจเธอคิดเพียงแค่ว่ามู่เทียนคงจะเป็นผู้หญิงจนๆ ก็เลยไม่เคยเห็นของพวกนี้ เธอก็เลยไม่ได้สนใจอะไรมากมาย
ไม่ว่ามู่เทียนจะซื้ออะไร หวังฉิงก็จะเดินตามเพื่อจ่ายตังค์ให้อย่างเอาอกเอาใจ ถึงแม้ว่าของพวกนั้นจะไร้ประโยชน์ก็ตามเถอะ
เดิมทีมู่หรงเสวี่ยอยากที่จะจ่ายด้วยตัวเองแต่หวังฉิง ชายหนุ่มผู้ยิ่งใหญ่จะยอมให้ผู้หญิงอันเป็นที่รักจ่ายได้เองได้ยังไงล่ะ