บทที่ 340
เรื่องเร่งด่วน
พวกเธอเดินกันไปจนร้านสุดท้ายก่อนที่จะกลับกัน มู่หรงเสวี่ยที่ไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณจึงเป็นเรื่องง่ายที่เธอจะรู้สึกเหนื่อยและอยากที่จะกลับ ทันทีที่เธอกลับมาถึงห้อง เธอก็นอนแผ่หมดรูปอยู่บนที่นอนซึ่งทำให้หวังฉิงถึงกับหัวเราะออกมา
“เสี่ยวฉิง ไปเตรียมซุปร้อนๆมาทีนะ” หวังฉิงสั่งแล้วเขาก็นั่งลงที่ขอบเตียงคอยช่วยบีบนวดกล้ามเนื้อที่ปวด
“เหนื่อยเหรอ?” หวังฉิงพูดเสียงอ่อน
ร่างของมู่หรงสะดุ้ง นิ่งไปตั้งแต่หลังจนถึงเท้าแล้วจึงหาเรื่องที่จะเปลี่ยนเรื่องคุย “ข้าจะไปอาบน้ำหน่อย”
“เดี๋ยวสิ อีกเดี๋ยวเสี่ยวฉิงก็ยกซุปร้อนมาแล้ว” สายตาลึกซึ้งของหวังฉิงมองไปที่ท่าทางขี้เกียจของมู่เทียนพร้อมรอยยิ้ม วันนี้เขาพอใจมู่เทียนอย่างมากที่ไม่มีท่าทางอะไรเลยและเธอก็ไม่ได้จงใจที่จะเลี่ยงการใกล้ชิดกับเขาด้วย ถึงแม้เธอจะยังมีสะดุ้งอยู่บ้างแต่อีกไม่นานเธอก็จะค่อยๆชินกับเขาเอง เขาเองคือคนที่ต้องถอยหลังมาหน่อย เขาจะพยายามทุกอย่างเพื่อรั้งเธอไว้
“แล้วพวกของที่ข้าซื้อมาล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยถาม
“ไม่ต้องห่วงหรอก ก็แค่เอาไปเก็บที่ห้องเก็บของที่ตำหนักของเจ้า ถ้าเจ้าต้องการอะไรก็บอกให้เสี่ยวฉิงไปเอามาให้แล้วกัน” หวังฉิงพูดเสียงเบา เด็กน้อยจริงๆเลย สนใจแต่เรื่องของพวกนั้น ตรงกันข้ามเลยเธอไม่สนใจเครื่องประดับเงินทองที่เขาเคยให้เธอก่อนหน้านี้เลย แต่เธอก็เป็นแบบนั้นเอง เมื่อเทียบกับพวกผู้หญิงพวกนั้นที่เอาแต่เปรียบเทียบกัน เขาคิดว่ามู่เทียนเป็นคนดีอย่างที่เขาได้เห็นจริงๆ
“ซุปร้อนๆมาแล้วเจ้าค่ะนายหญิง” ในตอนนี้เสี่ยวฉิงเดินเข้ามาเจอหวังฉิงจึงพูดกับมู่หรงเสวี่ยด้วยความเคารพ
มู่หรงเสวี่ยลุกขึ้นและไม่ได้เดินกลับไปหาหวังฉิง เธอพาเสี่ยวฉิงเดินออกมา แค่อีกแค่วินาทีเดียวเธอก็อาจจะหายใจไม่ออกแล้ว
ยังไงซะเสี่ยวฉิงไม่ได้พูดอะไร
สายตาของหวังฉิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาไม่สนใจเรื่องที่มู่หรงเสวี่ยทำตัวไม่เหมาะสม
ในห้องน้ำ ระหว่างที่กำลังดูแลมู่หรงเสวี่ย เสี่ยวฉิงก็พูดออกมา “นายหญิงเจ้าคะ องค์ชายใจดีกับท่านมากเลยนะเจ้าคะ ทำไมท่านถึงไม่อยากที่จะอยู่ล่ะเจ้าคะ?”
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเพลิดเพลินกับการอาบน้ำแบบพระสนมจักรพรรดิโบราณมาก ทั่วทั้งห้องอาบน้ำจะมีกลิ่นหอมฟุ้ง ด้านในจะมีดอกไม้สีแดงอยู่ด้วย กลีบดอกไม้สดๆจะถูกเก็บมาจากทั่วทั้งสวนซึ่งถูกเหล่าสาวใช้เลือกสรรมาอย่างดี พูดได้ว่านี่ทำให้ผิวของมู่หรงเสวี่ยยิ่งเปล่งประกาย ขาวนวลมากขึ้นไปอีก
มู่หรงเสวี่ยเข้าใจความคิดของเสี่ยวฉิง ในยุคนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าการมีคู่ที่คอยสนับสนุน แม้แต่เธอเองก็ยังยอมรับว่าหวังฉิงเป็นผู้ชายที่ดีมากจริงๆ เขาสู้เก่ง หน้าตาดี ดีอย่างมากด้วย ถ้าเธอเป็นเสี่ยวฉิง เธอก็คงจะถามแบบนี้เหมือนกัน
“เสี่ยวฉิงมีบางเรื่องที่จะมองจากฝ่ายเดียวไม่ได้” มู่หรงพูดเสียงเรียบ
“นายหญิง ข้าไม่เข้าใจ” เสี่ยวฉิงส่ายหัว
“เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าใจหรอกว่าผู้หญิงเองก็ต้องการบ้านที่เป็นที่พึ่งทางใจเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปตลอดชีวิตด้วยเหมือนกัน ถึงแม้หวังฉิงจะเป็นคนดี แต่เขาก็ไม่ได้ถูกลิขิตให้มาเป็นคู่ของข้า” เมื่อมู่หรงพูดจบ จู่ๆหัวใจของเธอก็สั่นขึ้นมาทันที
มีความรู้สึกแปลกๆแต่สมองที่ว่างเปล่าทำให้เธอไม่รู้ว่าทำไมจู่ถึงได้รู้สึกหดหู่ขึ้นมา มันเหมือนราวกับว่าเธอลืมอะไรบางอย่างที่สำคัญมากไป
“นายหญิง นายหญิง เป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ?” เสี่ยวฉิงมองไปที่หน้าของมู่หรงที่จู่ๆก็นิ่งไปจึงถามออกมา
มู่หรงส่ายหัว “ไม่เป็นไร”
ความเศร้าที่เกาะกุมในหัวใจเธอเป็นแบบนี้ก็เพราะเธอสูญเสียความทรงจำ
มู่หรงเสวี่ยเล่นพวกของที่เธอซื้อมาอยู่หลายวัน หวังฉิงเองก็ยุ่งทุกวันจึงทำได้เพียงแวะมานิดหน่อยเพื่อดูเธอทุกวันเท่านั้น
มู่หรงรู้สึกกดดันและจวนจะถึงจุดสิ้นสุดในหัวใจที่อยากจะหนีแล้ว ทุกวันเธอต้องแกล้งทำเป็นมีความสุข แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์เพราะอย่างน้อยตอนนี้ที่ตำหนักก็เหลือคนไม่กี่คนเท่านั้นที่ค่อยเฝ้าเธออยู่ ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะมีวันหนึ่ง มู่หรงบ่นขึ้นมา “มีคนมากมายเฝ้ามองข้าอยู่ทุกวัน ข้ารู้สึกอึดอัดมากเลย”
หลังจากนั้นวันต่อมาทหารกว่าสองในสามก็ถูกย้ายออกไป
คืนนั้น มู่หรงเสวี่ยก็กลับมาสดใสและบอกให้เหล่าสาวใช้ในตำหนักจุดโคมไฟที่สนาม แล้วเธอก็เอาเตาง่ายๆออกมาหลายตัวพร้อมทั้งจัดโต๊ะที่สนาม หลังจากที่จัดทุกอย่างเรียบร้อย เธอก็เอาเครื่องปรุงและส่วนผสมออกมามากมายและทำบาร์บีคิวกัน
เหล่าสาวใช้และทหารที่อยู่ในตำหนักหิมะต่างก็ได้รับคำสั่งจากมู่หรงว่าให้มากิน ดื่มและสนุกด้วยกันได้
เมื่อหวังฉิงมาถึง เขาก็ได้เห็นภาพที่นายหญิงและเหล่าสาวใช้ของนางกำลังสนุกด้วยกัน และมันก็เป็นเรื่องยากด้วยที่จะได้เห็นรอยยิ้มที่มีความสุขของมู่หรงแบบนี้
“เจ้ากำลังทำอะไร?” หวังฉิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เสียงนี้ราวกับฟ้าผ่าจนทำให้เหล่าสาวใช้และทหารที่กำลังดื่มกินอยู่ถึงกับหน้าถอดสี พวกเขาต่างก็วางบาร์บีคิวลงด้วยความเร็วและคุกเข่าลงที่พื้นตัวสั่น
มีเพียงมู่หรงที่กัดเนื้อคำสุดท้ายเข้าไปอย่างไม่สนใจ “หวังฉิง เจ้ามาทันเวลาพอดีเลย มานี่สิมาลองกินฝีมือข้าหน่อย มันอร่อยมากเลยนะ ข้าอยากที่จะชวนเจ้ามาด้วย แต่พอถามแม่บ้าน พวกเขาก็บอกว่าเจ้ากำลังยุ่งอยู่ข้าก็เลยไม่ได้เรียกเจ้ามา” มู่หรงยิ้มทรงเสน่ห์พร้อมทั้งเผยรอยยิ้มสวย
แน่นอนว่าเมื่อได้ยินคำพูดของมู่หรงเสวี่ย สีหน้าของหวังฉิงก็เย็นลงทันที อย่างน้อยมู่เทียนก็ยังนึกถึงเขาจนถึงกับไปถามจากแม่บ้าน ใช่ไหม?! เมื่อกี้เขาแค่โมโหที่เหล่าสาวใช้ไม่ปฏิบัติตามกฎ ตอนนี้ทุกคนต่างก็เหลวแหลกกันไปหมดแล้ว
“”คืออยู่แต่ในตำหนักข้าก็เลยเบื่อ ก็เลยชวนพวกเขาให้มากินอะไรเป็นเพื่อน เจ้าทำให้พวกเขากลัวนะ ที่นี้ต่อไปก็คงไม่มีใครกล้ามาเล่นกันข้าแล้ว” มู่หรงพูดอย่างบ่นๆเล็กน้อย
เหล่าทหารและสาวใช้ที่กำลังคุกเข่าอยู่กับพื้นถึงแม้จะไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมาแต่ต่างก็รู้สึกขอบคุณกับคำพูดของมู่เทียน
ปกติแล้วเวลาที่พวกเจ้านายทำอะไรผิด พวกเขาก็จะโยนความผิดมาให้เหล่าสาวใช้ หลังจากที่เจ้านายหลายคนทำเรื่องสกปรกมากมาย พวกเขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้พูดอะไร
คิ้วที่ขมวดอยู่ของหวังฉิงค่อยๆคลายออกและพูดออกมาเสียงเบา “ทุกคนลุกขึ้น”
เขาเดินตรงไปที่มู่เทียน เสี่ยวฉิงที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆมู่หรงรีบหลีกทางให้ทันที หวังฉิงมีท่าทางที่ไม่เป็นมิตรเท่าไร มู่หรงเสวี่ยนั่งลงกับพื้น สาวใช้ที่อยากจะวางเบาะรองนั่งให้องค์ชายรีบดึงมือกลับทันที ตอนนี้ถึงแม้ทุกคนจะลุกขึ้นกันแล้วแต่พวกเขาต่างก็ไปยืนกันที่หลังห้องอย่างเชื่อฟังและไม่กล้าที่จะอวดดีอะไรอีก
มู่หรงเบ้ปาก ตรงหน้าเธอมีของกินอยู่มากมายแล้วเธอกับหวังฉิงสองคนจะกินหมดได้ยังไงกัน?!
เธอรีบส่งปีกไก่ที่เพิ่งจะปิ้งเสร็จให้หวังฉิงอย่างไว “ลองชิมดู ข้าทำเองเลยนะ ถึงแม้มันจะเทียบกับฝีมือพ่อครัวไม่ได้แต่ก็ยังถือว่ากินได้”
ครั้งนี้สุดท้ายหวังฉิงก็ลดท่าทางลงพร้อมทั้งยื่นมือออกไปรับปีกไก่ของมู่หรงเสวี่ยมาและเอาเข้าปาก
“เป็นไงบ้าง? อร่อยไหม?” มู่หรงเสวี่ยถาม
“อร่อยสิ” เธอเป็นคนทำเองจะไม่อร่อยได้ยังไง ต่อให้ไม่อร่อยก็ไม่สำคัญหรอก แค่ดูจากความตั้งใจเขาก็ให้ 100 คะแนนเต็มแล้ว
“พวกเจ้าทุกคนก็นั่งลงกินด้วย ของตั้งเยอะถ้าไม่กินให้หมดก็น่าเสียดายแย่” มู่หรงเห็นว่าหวังฉิงเริ่มที่จะอารมณ์ดีจึงหันไปพูดกับเหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่
เหล่าทหารและสาวใช้ต่างก็ลังเลอยู่เล็กน้อยตอนที่ได้ยินคำพูดของมู่หรงเสวี่ยแต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะนั่งลง
หวังฉิงมองไปที่มู่หรงแล้วก็พูดออกมาเสียงเบา “ทุกคนนั่งลง พวกเจ้า อ่า ขอบคุณนายหญิงมู่ด้วยที่ให้เกียรติพวกเจ้าเป็นพิเศษ”
“ขอบพระทัย องค์ชาย นายหญิงมู่”
“เอาละ เอาละไม่ต้องพูดแล้ว” มู่หรงเสวี่ยทำอาหารไว้มากมาย และเธอเพิ่งจะเริ่มกินและก็ยังไม่อิ่มด้วย
เมื่อมีหวังฉิงมาอยู่ตรงนี้กับมู่หรงด้วย พวกเขาจึงไม่กล้าที่จะเข้าใกล้เกินไป เมื่อเทียบกับเสียงหัวเราะเมื่อกี้ ตอนนี้กลายเป็นเครียดขึ้นกว่าเดิมมาก มู่หรงกลอกตา บรรยากาศดีๆอยู่แท้ๆ แต่แค่คนคนเดียวกลับทำพังซะหมด เวลาที่หวังฉิงไม่ยิ้มเขาดูค่อนข้างที่จะน่ากลัว
แต่เธอไม่กลัว ยังไงซะเธอก็มีอาวุธวิเศษที่ชื่อว่ามิติลับและเธอก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกลัวใครด้วย ฮ่าฮ่าฮ่า เธอมีสมบัติล้ำค่าอยู่ในมือ ที่สามารถทำให้เธอท่องไปได้ทั่วโลก
ความสุขอยู่ได้ไม่นาน มู่หรงก็คิดได้ว่าถึงแม้เธอจะมีสมบัติล้ำค่า แต่เธอก็ยังติดกับ
“เจ้าไปหาของพวกนี้มาจากไหนเนี่ย?” หวังฉิงถามพร้อมรอยยิ้ม พร้อมทั้งหยิบชิ้นเนื้อขึ้นมาย่าง
เวลาที่พวกเขาออกไปรบพวกเขาก็มักที่จะล่าสัตว์กันแต่ก็เพื่อนำมาทำเป็นอาหารและเครื่องนุ่งห่มเท่านั้น รสชาติจึงไม่ได้อร่อยเท่าไรนัก ฝีมือของมู่เทียนอร่อยกว่าเยอะ ไม่จะเป็นต้องเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดก็สามารถที่จะเปิดร้านอาหารได้ เมื่อได้กินบาร์บีคิว หวังฉิงก็คิดถึงเรื่องอะไรหลายอย่าง อย่างเช่นเรื่องเงิน
ในฐานะราชาของดินแดน เขาต้องคิดถึงเรื่องอะไรแบบนี้
มู่หรงพูดออกมาเพียงแค่ว่า “อย่าโลภ”
คิดว่าเธอจะไม่เข้าใจงั้นเหรอ? ไม่ เพราะเธอไม่ได้มีแผนที่จะพัฒนายุคนี้ ดังนั้นเธอจะไม่คิดเรื่องแผนการอะไรทั้งนั้น
“ข้าจะพาเจ้าไปเจอท่านพ่ออาทิตย์หน้า” หวังฉิงพูดมาพร้อมรอยยิ้ม
เขาพูดเรื่องเธอกับองค์จักรพรรดิแล้ว และท่านพ่อก็ไม่ได้มีทีท่าจะขัดขวางอะไร
“ท่านพ่องั้นเหรอ?” ท่าทางที่กำลังกินอยู่ของมู่หรงเสวี่ยนิ่งไป
“ใช่ เราต้องเตรียมงานแต่งของเรา ข้าแทบรอไม่ไหวที่จะได้แต่งงานกับเจ้า” สายตาของหวังฉิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
มู่หรงถึงกับหัวเราะไม่ออก “ทำไมเจ้าถึงไม่พูดเรื่องนี้กับข้าก่อน?” ในน้ำเสียงที่พูดออกมามีความไม่พอใจที่ซ่อนไว้ไม่มิด
รอยยิ้มบนใบหน้าของหวังฉิงนิ่งไปชั่วขณะ “มีอะไรงั้นเหรอ? เจ้าไม่อยากแต่งงั้นเหรอ?”
ไม่ ต้องไม่อยู่แล้ว
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่หวังฉิงด้วยสายตาสับสนและครั้งนี้ก็เห็นสีหน้าที่นิ่งเฉยของเขา เธอหันหัวมาเล็กน้อยแล้วจึงพูดเสียงเบา “ข้าแค่คิดว่าตัวเองอาจจะยังไม่พร้อม ข้ายังเด็กอยู่เลย”
หวังฉิงเผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง “เจ้าไม่เด็กแล้ว อายุ 16 แล้วนะ เป็นอายุที่เหมาะจะแต่งงานแล้ว”
มู่หรงมองไปที่เขาด้วยสายตาผิดหวัง เธอจะทำให้เขาโมโหและเผยท่าทางไม่ยินยอมของเธอไม่ได้ “คนในยุคของข้าแตกต่างไปจากเจ้า โดยปกติแล้วพวกเขาจะอายุประมาณ 20 ก่อนถึงจะแต่งงานกัน”
“มันจะเป็นไปได้ยังไง?” หวังฉิงพูดออกมาอย่างไม่เห็นด้วย
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ? กว่าจะเรียนจบก็ปาเข้าไปอายุ 21 แล้ว และก็ต้องทำงานอีกสองหรือสามปี ก็อายุ 25 แล้ว และปกติเราก็จะแต่งงานกันอายุประมาณนี้แหละ” มู่หรงพูดเรียบๆ
ยังมีอีกหลายอย่างที่คอยเตือนหวังฉิงว่าพวกเขามีความต่างเรื่องช่องว่าง หวังฉิงขมวดคิ้วและสีหน้าของเขาก็ดูยุ่งเหยิงอย่างไม่อาจเข้าใจได้ แต่เขาไม่สงสัยในคำพูดของมู่เทียนเลย แม้แต่เรื่องที่น่าอัศจรรย์กว่านี้เขาก็เคยเห็นในตัวมู่เทียนมาแล้ว เขาเข้าใจได้ว่าในโลกนี้ยังมีดินแดนอื่นอีกและการใช้ชีวิตของพวกเขาก็ต่างกัน เพียงแค่มองไปที่มู่เทียน จู่ๆในหัวใจเขาก็เกิดความตื่นตระหนกอย่างอธิบายไม่ได้ และจู่ๆเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าครั้งหนึ่งมู่เทียนเคยพูดออกมาว่าเธอจะกลับไปที่โลกเดิมของตัวเอง