บทที่ 341 จับปีศาจ

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 341

จับปีศาจ

สีหน้าของหวังฉิงเปลี่ยนไป และก็หมดอารมณ์ที่จะกินขึ้นมาทันที เขาวางเนื้อที่อยู่ในมือลง หันหัวไปมองมู่เทียนที่ยังนั่งกินอย่างมีความสุขอยู่ข้างๆเขา ท่ามกลางความมืดร่างของเธอค่อนข้างที่จะเลือนรางและดูเหมือนความรู้สึกที่เลือนรางนี้ก็กำลังจะหายไป ทันใดนั้นเขาก็จับมือเธอขึ้นมาและพูดว่า “มู่เทียน”

ปากของมู่หรงเสวี่ยที่ยังเคี่ยวปีกไก่อยู่ซึ่งดูตลกมากก็ทำให้หวังฉิงโล่งใจได้นิดหน่อย เธอเป็นของจริง หวังฉิงหันกลับมาและคิดว่าตัวเองคิดมากเกินไป ถ้ามู่เทียนกลับไปได้ เธอก็คงจะกลับไปนานแล้ว ไม่รออยู่นานขนาดนี้หรอก

เขาก็เห็นอยู่ว่ามู่เทียนไม่ชอบที่นี่ ถ้าเธอออกไปได้ เธอก็คงจะไปโดยไม่ลังเล

มู่หรงกลืนเนื้อที่อยู่ในปากแล้วจึงถามออกมา “มีอะไรเหรอ?”

หวังฉิงค่อนยกมุมปากและเผยรอยยิ้มสวยออกมา “ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากที่จะเรียกเจ้าเท่านั้นเอง”

“กินสิ ไม่อร่อยหรือไง?” มู่หรงมองไปที่ปีกไก่และพูดออกมา

หวังฉิงเช็ดคราบน้ำมันที่มุมปากของเธอด้วยมือตัวเอง “อร่อยสิ เจ้ากินเยอะๆนะ”

ถ้าผู้หญิงได้สร้างครอบครัวและมีลูกมาเกี่ยวข้อง เธอจะอยากจากไปได้ยังไง? หวังฉิงตัดสินใจอยู่เงียบๆ เขาอยากที่จะสร้างครอบครัวกับมุ่เทียน

ถึงแม้สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยจะไม่แสดงอะไรออกมาแต่อันที่จริงเธอเองก็กังวลมาก ดูเหมือนว่าเธอจะต้องเร่งการหนีขึ้นมาแล้ว เธอจะไปเจอพ่อเขาหรืออะไรไม่ได้ แบบนั้นคงมากเกินไป เธอเห็นได้เลยว่าหวังฉิงจริงจังมากและรู้ดีด้วยว่าถ้าเขาพูดออกมาแบบนี้ เขาก็จะทำตามอย่างที่พูด

เธอไม่อยากให้เขาลงทุนมากเกินไป หวังฉิงมีความคิดเป็นของตัวเอง เขาไม่อยากที่จะฟังเหตุผลที่เธอพูดหรอก ทางที่ดีที่สุดคือเธอต้องหนีไป

ปาร์ตี้บาร์บีคิวนี้ทำให้พวกทหารและเหล่าสาวใช้ไปประสบการณ์ความสุขที่หาได้ยาก รวมทั้งมู่หรงเองด้วย เมื่อบาร์บีคิวหมดแล้ว มู่หรงเสวี่ยก็จับที่แขนเสื้อของหวังฉิงและถามอย่างอ่อนโยน “พรุ่งนี้ข้าอยากที่จะออกไปข้างนอก เจ้าว่างหรือเปล่า?”

หัวใจของหวังฉิงเต็มไปด้วยความสุข ริมฝีปากเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “เจ้าอยากจะออกไปข้างนอกงั้นเหรอ?”

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า สายตาชัดเจน “ใช่ ข้าอยากไปดูว่ามีเสื้อผ้าอะไรที่น่าสนใจบ้างไหม”

จู่ๆหวังฉิงก็นึกขึ้นมาได้ว่าพรุ่งนี้เขามีธุระอย่างอื่น “พรุ่งนี้งั้นเหรอ?! พรุ่งนี้ข้ามีอย่างอื่นที่จะต้องทำ”

มู่หรงปล่อยมือที่จับแขนเสื้อเขาอยู่ หัวก้มลงเล็กน้อย พร้อมทั้งแสดงท่าทางเล็กน้อยที่บอกถึงความไม่พอใจ

หัวใจของหวังฉิงปวดขึ้นมาเล็กน้อย เขาทนเห็นท่าทางแบบนี้ของเธอไม่ได้จึงรีบตอบออกไปทันที “ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ข้าจะให้คนพาเจ้าไปแล้วกันนะ” ทันทีที่เขาพูดออกมา เขาก็รู้สึกเสียใจอยู่เล็กน้อย เขายังไม่ลืมเรื่องการหนีครั้งที่แล้วของมู่เทียนและเมื่อเขาไม่ได้ไปด้วยก็ยิ่งทำให้รู้สึกไม่สบายใจเท่าไร อย่างไรก็ตามมู่หรงเสวี่ยเงยหน้าขึ้น ดวงตาเปล่งประกายและปากก็เผยรอยยิ้มอ่อนหวาน เผยให้เห็นฟันที่เรียงสวย “จริงเหรอ?” แม้แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็ฟังดูพอใจอย่างน่าประหลาด แล้วแบบนี้เขาจะคืนคำพูดและทำให้ความสุขของเธอหายไปได้ยังไง

หวังฉิงพยักหน้าแรงขึ้นนิดหน่อย และสุดท้ายก็ลูบไปที่หัวเธออย่างช่วยไม่ได้แล้วจึงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “ไปเถอะ นี่ก็ดึกเกินกว่าที่จะเล่นสนุกแล้ว”

“ว้าว ได้เลย ข้าจะรีบกลับไปพักเลย พรุ่งนี้ข้าก็จะตื่นขึ้นมาแต่เช้าเลย” มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างมีความสุข หลังจากที่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เธอก็หยุดเดินอีกครั้งแล้วจึงหันกลับมาหาหวังฉิงและพูดออกมาว่า “เจ้าก็ควรที่จะรีบกลับไปพักได้แล้ว เจ้าคงเหนื่อยแย่แล้ว”

ไม่นานหลังจากที่มู่เทียนกลับไป แต่ก็จะเห็นได้ว่ารอยยิ้มอ่อนโยนในสายตาของหวังฉิงจางหายไป แต่สายตาที่เคร่งขรึมก็ไม่อาจลดความงดงามของเขาลงได้เลย

หลังจากที่กลับมาถึงห้องรอยยิ้มของมู่หรงก็ค่อยๆจางหายไป คิ้วขมวดกันยุ่ง

“นายหญิง พรุ่งนี้…” เสี่ยวฉิงหยุดพูด

มู่หรงเผยรอยยิ้มจางๆ “ไม่ต้องคิดมาก พรุ่งนี้แค่จะออกไปซื้อของจริงๆ” พรุ่งนี้ยังไม่ใช่เวลา

แน่นอนว่าเช้าวันต่อมา หวังฉิงสั่งให้ทหารชุดดำสิบคนออกไปคอยดูแลมู่หรงเสวี่ยด้วย นอกจากนี้ยังมีทหารลับอีกเกือบสิบคนและสาวใช้ที่ถูกจัดมาอีกห้าคนด้วย

มู่หรงมองไปที่ขบวนใหญ่แต่สีหน้าของเธอกลับไม่เปลี่ยน เธอยังคงหัวเราะอย่างอ่อนหวานพร้อมทั้งกล่าวลาหวังฉิงด้วย นอกจากนี้ก็ยังทำเป็นบ่นเรื่องเขาที่ยุ่งแต่งานตลอดอีก

หลังจากที่ล้อเล่นอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง มู่หรงเสวี่ยก็ออกมาจากอ้อมกอดของหวังฉิง ไม่รู้ว่าเหล่าทหารชุดดำต้องเช็ดดวงตาไปกี่ครั้ง จะบ้าตาย นี่เป็นครั้งแรกเลยที่พวกเขาได้เห็นหวังฉิงยอมอดทนฟังคำพูดมากมายของผู้หญิงแบบครั้งนี้

มู่หรงเสวี่ยและเสี่ยวฉิงออกมาด้วยรถม้า ระหว่างทางทุกคนต่างก็มองมาที่สัญลักษณ์ของวังฉิงที่รถม้าและต่างก็หลีกทางให้รถม้าของมู่หรงเสวี่ยกันตลอดทาง

เธอยกมุมม่านเปิดออกเพื่อดูเส้นทางอย่างละเอียดพร้อมความมั่นใจ เธอบอกให้คนขับเข้าออกหลายซอยเพราะอยากที่จะเห็นว่าเส้นทางหนีไหนที่จะดีกว่ากัน

จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบจะสองชั่วโมงและเวลาก็ล่วงเลยมาจนเที่ยงแล้ว มู่หรงมองไปที่คนขับที่เหงื่อออกเต็มไปหมด “ไปที่ร้านอาหารหมายเลขหนึ่ง”

ร้านอาหารหมายเลขหนึ่งอยู่ไม่ห่างมากจึงใช้เวลาเดินทางไม่นาน

“บอกให้คนของร้านอาหารมาเฝ้ารถให้แล้วกัน เข้ามาพักข้างในก่อนข้าจะจองโต๊ะไว้ให้พวกเจ้า” มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างอ่อนโยน

“ไม่ ไม่ได้ ไม่ได้ พวกเราจะต้องยืนอยู่นี่” ทหารพูดออกมาอย่างตกใจกลัว พวกเขาจะกล้าละเลยหน้าที่ได้ยังไงกัน เรื่องแบบนี้สามารถทำให้พวกเขาตายได้เลยนะ

“นี่เป็นคำสั่ง เร็วเข้า” มู่หรงพูดเสียงเรียบ

ไม่ใช่ว่าเธอใจดีอะไรหรอก อันที่จริงความใจดีของเธอเกือบจะถูกล้างออกไปหมดแล้วจากการถูกทรยศในชีวิตที่แล้ว อย่างไรก็ตามในช่วงบ่ายเธอยังอยากที่จะซื้อของอีกนาน และถ้าเป็นแบบนั้นคนพวกนี้ก็อาจจะเหนื่อยจนทนไม่ไหว ยังไงซะวันนี้เธอก็ไม่ได้มีแผนที่จะหนีไปไหนด้วย จึงไม่จำเป็นที่จะต้องทำให้คนพวกนี้ลำบาก

อีกเรื่องที่สำคัญคือพวกทหารลับมีฝีมือที่ยอดเยี่ยมอย่างมากและพวกเขาก็คงจะไม่ปล่อยให้เธอหนีไปได้ง่ายๆด้วย

ยังไงซะหวังฉิงก็ยังไม่สบายใจเรื่องเธอเท่าไรและส่งทหารลับออกมามากกว่าครั้งที่แล้วอีก

มู่หรงเสวี่ยและเสี่ยวฉิงนั่งอยู่ที่โต๊ะหนึ่งและพวกทหารที่เหลือก็นั่งที่โต๊ะข้างๆ แทนที่จะเข้าไปนั่งในห้อง เธอกลับนั่งกินโถงเพราะเธออยากที่จะคอยฟังเรื่องต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็นเลย นอกจากนี้มู่หรงเสวี่ยก็ยังสั่งเพียงอาหารง่ายๆไม่กี่อย่างอีกด้วย

“นายหญิง ข้าเอาเงินติดตัวมาด้วย ข้าจะปล่อยให้ท่านลำบากได้ยังไง?” เสี่ยวฉิงคิดว่ามู่หรงเสวี่ยกลัวว่าเงินจะไม่พอ เวลาอยู่ที่ตำหนัก อาหารแต่ละมื้อจะจัดมามากกว่า 10 อย่าง แต่ครั้งนี้นางสั่งมาเพียงแค่สามอย่างซึ่งดูไม่สมฐานะของนางเท่าไรเลย

มู่หรงยิ้ม “เรากินกันแค่สองคนจะสั่งมาเยอะทำไมล่ะ” ถึงแม้เธอจะได้ใช้ชีวิตหรูหรามาตั้งแต่เด็กแต่คำสอนของพ่อเธอก็ยังดังชัดเจนอยู่ในใจ แต่ก่อนหน้านี้เธอกลับไม่เคยคิดที่จะฟังเลย ตอนนี้เธอคิดถึงคำดุด่าของพ่อมากจริงๆ

“แต่…” เสี่ยวฉิงยังอยากที่จะพูดต่อว่าท่านหญิงจะกินอาหารเพียงแค่สามจานได้ยังไง

“ถ้าเจ้าไม่รีบกินเดี๋ยวอาหารก็เย็นหมดหรอก” มู่หรงเสวี่ยใช้ตะเกียบตักเนื้อขึ้นมาแล้ววางไปที่ถ้วยของเสี่ยวฉิง

สีหน้าของหวังฉิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย “นายหญิง นี่ควรจะเป็นสาวใช้สิเจ้าคะที่คอยดูแลท่าน” แล้วเธอก็รีบเตรียมอาหารให้มู่หรงเสวี่ย

“ไม่เป็นไร ข้าทำเองได้” มู่หรงพูดเสียงเรียบ พวกทหารที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆต่างก็มองมาที่มู่หรงเสวี่ย ถึงแม้พวกเขาจะรู้ว่านายหญิงมู่เป็นคนที่ใจดีและเข้ากับคนง่าย พวกเขาก็ยังอดประหลาดใจอยู่นิดหน่อยไม่ได้ที่ได้เห็นเจ้านายกับสาวใช้ที่เข้ากันได้ดีขนาดนี้ ซึ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เจ้านายคีบผักให้สาวใช้เลยแค่เรื่องที่นั่งกินร่วมโต๊ะกันก็เป็นเรื่องใหญ่มากแล้ว

“ไม่ได้นะเจ้าคะ นี่เป็นหน้าที่ของสาวใช้” เสี่ยวฉิงส่ายหัวเล็กน้อยและยืนยันที่จะคอยเสริฟ์อาหารให้มู่หรงเสวี่ย และนางจะรอจนกว่ามู่หรงเสวี่ยจะกินเสร็จก่อนนางถึงจะเริ่มกินบ้าง มู่หรงเสวี่ยเองก็รู้นิสัยของเสี่ยวฉิงดีแต่ก็พูดอะไรไม่ได้ เธอจึงทำได้เพียงกินให้เร็วขึ้น

ในช่วงบ่ายมู่หรงเสวี่ยก็แวะซื้อของบ้างบางครั้งบางคราวแล้วจึงบอกให้คนขับรถขับไปรอบๆถนนหลายเส้นทางรวมทั้งสถานที่ที่ไกลๆด้วย

ตอนที่มู่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆกลับมาถึงตำหนักพวกเธอก็เหนื่อยกันมาก แต่ก็ต้องเจอเข้ากับกลุ่มคนมากมายที่กำลังยืนล้อมตำหนักหิมะที่เธออยู่ พวกเธอไม่รู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่

และบางครั้งก็จะมีเสียงเพลงดังออกมาจากตรงกลางด้วย

เสี่ยวฉิงผลักฝูงชนไปด้านข้างเพื่อเปิดทางให้มู่หรงเสวี่ย ที่ประตูของตำหนักหิมะมู่หรงเสวี่ยเห็นชายในชุดคลุมยาวกำลังร้องเพลงและเต้นพร้อมกับเสียงกระดิ่ง ที่เสื้อคลุมมีอักษรรูนแปลกๆเขียนอยู่ทั่วไปหมด

ชายคนนั้นพึมพำเสียงแปลกๆออกมาจากปากราวกับกำลังร้องเพลงแต่มันก็ไม่เหมือนเสียงเพลง รอบๆก็ล้อมรอบไปด้วยเทียน ทันใดนั้นชายคนนั้นก็เดินตรงมาที่มู่หรง สายตาดำมืดจ้องตรงมาที่มู่หรง

เขาหยิบรูนออกมาจากแขนเสื้อและทันใดนั้นก็ติดไปที่หลังของมู่หรงเสวี่ย ก่อนที่มู่หรงเสวี่ยจะทันได้ตอบโต้อะไร ชายคนนั้นก็สาดน้ำมาที่หลังของมู่หรงเสวี่ยพร้อมด้วยขวดน้ำที่อยู่ในมือ กระดาษอักษรรูนจู่ๆก็เปลี่ยนเป็นสีเลือดขึ้นมาทันที

“ปีศาจ!” ชายคนนั้นตะโกน

“พระเจ้า นี่น่ากลัวมากเลย”

“ทุกคนไม่ต้องตื่นตระหนก ไปจับเจ้าปีศาจไว้” ชายคนนั้นร้องสั่งออกมา

สายตาของมู่หรงเย็นยะเยือก จ้องมองคนที่อยู่รอบๆซึ่งสายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และแน่นอนว่าที่ไม่ห่างออกไปนักเธอเห็นฟางเสี่ยวโหรว นางต้องมารอเธออยู่ที่นี่แน่ๆ

เสี่ยวฉิงรีบเข้ามาขวางอยู่เบื้องหน้ามู่หรงทันที “นายหญิง หนีไป ข้าจะปกป้องท่านเอง” เสี่ยวฉิงพยายามซ่อนน้ำเสียงสั่นเทิ้มไว้

เด็กโง่เอ๊ย นางกลัวจะตายอยู่แล้ว

“ใครกล้าก็เข้ามาเลย” มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างเย็นชา

ชั่วขณะหนึ่งสาวใช้ที่รับคำสั่งมาจากฟางเสี่ยวโหรวก็เกิดลังเลและไม่กล้าที่จะเดินเข้ามา ฟางเสี่ยวโหรวเห็นสถานการณ์ เธอก้มสีหน้าลงเล็กน้อยและแอบคิดอยู่ในใจว่าตัวเองช่างขี้ขลาดเหลือเกิน “ทุกคนเข้าไปจัดการวิญญาณปีศาจและรอให้องค์ชายมาจัดการ” เหล่าสาวใช้ที่ลังเลเมื่อกี้ก็รีบพุ่งเข้าไปทันที

ทหารชุดดำทั้ง 10 คนที่ติดตามมู่หรงอยู่ก็รีบเข้ามาล้อมรอบมู่หรงเสวี่ยไว้ในทันทีพร้อมด้วยดาบในมือที่เปล่งประกาย

“ถ้าใครกล้าเข้ามาจะต้องถูกฆ่า” หัวหน้าทหารชุดดำตะโกนออกมาอย่างเย็นชา

“นายหญิง” เสี่ยวฉิงมองไปที่มู่หรงเสวี่ยดวงตาแดงระเรื่อ เธอไม่เชื่อหรอกว่าคุนายหญิงจะเป็นปีศาจ

มู่หรงแตะไปที่นางเบาๆ “ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงนะ”

ฟางเสี่ยวโหรวหน้าดำหน้าแดงด้วยความโมโหจนอดไม่ได้ที่จะก้าวออกมา “ไม่เห็นหรือไงว่านางคือปีศาจ?! อยากให้องค์ชายมีอันตรายหรือไง?” ดวงตาของฟางเสี่ยวโหรวเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาพร้อมด้วยน้ำเสียงไม่พอใจอย่างมาก

มู่หรงเสวี่ยแสยะ เอื้อมมือไปดึงกระดาษอักษรรูนออกมาจากหลัง แล้วก็เอามาดูอย่างละเอียด เมื่อแตะไปที่หลังอีกทีเธอก็รู้สึกถึงสัมผัสเหนียวๆและก็เข้าใจขึ้นมาทันที