บทที่ 342 มันจบแล้ว จบแล้ว

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 342

มันจบแล้ว จบแล้ว

ทันทีที่สิ้นเสียงของฟางเสี่ยวโหรว เหล่าสาวใช้ที่หยุดไปเมื่อกี้ก็พุ่งตรงมาอีกครั้ง ในหัวใจของพวกเขาองค์ชายคือเทพเจ้า แล้วจะปล่อยให้วิญญาณปีศาจมาทำอันตรายได้ยังไง

ประกายเย็นชาในสายตาของเหล่าทหารชุดดำแวบขึ้นมา ดาบในมือกวัดแกว่ง เหล่าสาวใช้กรีดร้องแล้วก็สิ้นลมหายใจ

สีแดงกระจายทั่วพื้นไปหมดสร้างความหวาดกลัวให้กับกลุ่มสาวใช้ที่อยากจะเข้ามาล้อมรอบพวกเขา

ทหารชุดดำฟังคำสั่งองค์ชายโดยตรง และองค์ชายบอกให้พวกเขาคอยปกป้องมู่หรงเสวี่ย งั้นพวกเขาก็จะปกป้องนางแม้ว่าต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม

เรื่องนี่ทำให้กลุ่มของเสี่ยวโหรวถึงกับสีหน้าซีดเผือด

องค์ชายส่งทหารลับมากมายมาเพื่อปกป้องมู่เทียน นังจิ้งจอกเจ้าเล่ห์

ครั้งก่อนเธอออกไปไหว้พระแต่กลัวจะมีอันตราย เธอขอให้องค์ชายช่วยส่งทหารลับสักสองคนเพื่อมาคุ้มครองเธอเพียงแค่ไม่นาน แต่องค์ชายกลับปฏิเสธแต่ทำไมตอนนี้ถึงได้มีทหารชุดดำมากมาย และทหารชุดดำแต่ละคนก็ฝีมือสุดยอดกันทั้งนั้นและฝีมือการต่อสู้ก็ไม่เป็นรองใคร

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ดวงตาของฟางเสียวโหรวก็แดงขึ้นด้วยความโกรธ

วันนี้เธอจะต้องจัดการนังจิ้งจอกเจ้าเล่ห์นี่ให้ได้ ประกายเย็นชาแวบขึ้นมาในสายตาของฟางเสี่ยวโหรว ในเมื่อคนพวกนี้ไม่กล้าลงมือ งั้นเธอก็จะจัดการเอง มือเธอถือกริชไว้แน่นพร้อมเดินตรงไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเยือกเย็น

“หลีกไปให้พ้นทาง” ฟางเสี่ยวโหรวตะโกนใส่ทหารชุดดำที่กำลังกันมู่หรงอยู่

ทหารชุดดำต่างก็มองหน้ากันไปมา ถ้านี่เป็นสาวใช้ พวกเขาก็คงจะฆ่าได้โดยไม่ต้องลังเล แต่นี่เป็นองค์หญิง ทำให้พวกเขาไม่กล้าที่จะเริ่มด้วยซ้ำ

หลังจากผ่านไปสักพักทหารชุดดำก็ยังคงไม่ขยับพร้อมร่างที่ยังยืนขวางทางฟางเสี่ยวโหรวไว้

ฟางเสี่ยวโหรวโกรธมากจนถึงกับกัดฟันแน่น เธอสั่งคนพวกนี้ไม่ได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน

“กล้าดียังไง” แม่นมหลัวที่อยู่ข้างๆพูดขึ้นมาด้วยความโมโห

ทหารชุดดำมองหน้ากันไปมาแต่ก็ยังไม่หลีกทางไปไหน

ครั้งหนึ่งองค์ชายเคยพูดว่าไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหน พวกเขาก็จะต้องปกป้องนายหญิงมู่

“ไร้สาระ นี่พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน?” น้ำเสียงเย็นชาของหวังฉิงตะโกนขึ้นมา

ตัวของฟางเสี่ยวโหรวสั่นเทิ้มและสายตาของเธอก็เต็มไปด้วยการไม่ยอมรับ แล้วเธอก็พยายามรักษาสีหน้าให้เหมือนเดิมก่อนที่จะแสดงความเคารพต่อหวังฉิง “องค์ชาย”

“ลุกขึ้นแล้วบอกข้ามาว่ามันเกิดอะไรขึ้น?” สิ่งแรกเลยคือหวังฉิงมองไปที่มู่เทียนก่อนและเมื่อเห็นว่าเธอได้รับการปกป้องอย่างดีจากทหารชุดดำก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที

“องค์ชาย คือ คือน้องเล็ก นาง…” น้ำตาของ ฟางเสี่ยวโหรวไหลออกมาจากหางตาและมองอย่างระวังไปที่ มู่เทียน แล้วตัวของเธอก็สั่นเทิ้ม สายตาเต็มไปด้วยความกลัว

หวังฉิงขมวดคิ้ว เขาเคยรู้สึกว่าผู้ที่ร้องไห้น่ารำคาญที่สุด พวกนางช่างอ่อนแอและบ้าคลั่งจนเขาอยากจะผลักออกไปไกลๆ เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าพวกนางมีเรื่องอะไรหนักหนาให้ต้องร้องไห้ ทำไมถึงได้ขี้แยกันขนาดนี้ ผู้หญิงควรที่จะทำตัวให้น่าพอใจมากขึ้นเหมือนกับมู่เทียนสิ

“ถ้าเจ้ามีอะไรจะพูดก็พูดออกมาเลย ถ้าไม่งั้นก็เงียบไปเลย” หวังฉิงพูดอย่างเย็นชา

สีหน้าของฟางเสียวโหรวเปลี่ยนเป็นซีดเผือด แต่ต่อหน้าผู้ชายอันเป็นที่รัก เธอก็ไม่มีอะไรที่จะต้องเสแสร้ง ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลร่วงลงมาทันที “องค์ชาย นางเป็นปีศาจ” ฟางเสี่ยวโหรวพูดออกมาด้วยหัวใจที่เจ็บปวด

“น่าขำ ไร้สาระสิ้นดี” หวังฉิงมองไปที่ธูปและเทียนที่จุดอยู่ทั่วไปหมดพร้อมทั้งนักพรตเต๋าในชุดเต๋าอีก

ฟางเสี่ยวโหรวรีบคุกเข่าลงทันที “องค์ชาย ท่านต้องไม่ตามืดบอดไปกับวิญญาณร้ายนี่นะเจ้าคะ” นอกจากมู่หรงที่กำลังยืนอยู่ข้างๆอย่างสบายแล้วก็มีเสี่ยวฉิงและคนอื่นๆอีก ส่วนคนที่เหลือต่างก็คุกเข่าลง

มู่หรงแสยะแล้วจึงผลักทหารชุดดำที่อยู่เบื้องหน้าเธอให้เปิดทางออกแล้วเดินออกไป

เสี่ยวฉิงเองก็รีบตามไปด้วย ไม่ว่าจะตอนไหน ถ้าท่านหญิงต้องอยู่ในอันตราย เธอก็จะเข้าไปขวางไว้อย่างแน่นอน

หวังฉิงยื่นมือออกมาเพื่อโอบมู่เทียนไว้และถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้ากลัวหรือเปล่า ไม่ต้องห่วงนะ ข้าจะลงโทษพวกเขาทุกคนเอง” ความเป็นไปได้ที่มู่เทียนจะเป็นปีศาจเป็นสิ่งที่เขาสงสัยมาตั้งแต่แรกแล้วตั้งแต่ที่ได้เห็นมู่เทียนหายตัวไปต่อหน้าต่อตา อย่างไรก็ตามไม่ว่าเธอจะเป็นมนุษย์หรือปีศาจ เขาก็มีความสุขที่ได้อยู่กับเธอ

ฟางเสี่ยวโหรวเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เธอไม่คิดว่าองค์ชายจะหลงนางถึงขั้นนี้ได้

“องค์ชาย ลองคิดดูอีกทีสิเจ้าคะองค์ชาย มู่เทียน นางเป็นปีศาจจริงๆนะคะ ดูอักษรรูนดีอยู่ในมือของนางสิเจ้าคะ มีแต่ปีศาจเท่านั้นที่สามารถทำให้กระดาษรูนเปลี่ยนเป็นสีเลือดได้” ฟางเสี่ยวโหรวพูดออกมารัวเร็วพร้อมด้วยน้ำเสียงหอบสะอื้น

หวังฉิงมองตามที่ฟางเสี่ยวโหรวชี้และเห็นกระดาษรูนสีเลือดในมือของมู่เทียน

สีหน้าของมู่เทียนเต็มไปด้วยรอยยิ้มแสยะอยู่ตลอดเวลา เธอยืนนิ่งอยู่เงียบๆพร้อมด้วยแสงจากดวงจันทร์ที่เปล่งประกายเพิ่มเสน่ห์ให้เธอจนไม่มีใครจะเคลื่อนสายตาได้

หวังฉิงขมวดคิ้ว ถ้าเรื่องวันนี้ดังไปเข้าหูท่านพ่อ เขาก็กลัวว่ามู่เทียนคงจะไม่มีวันได้เป็นพระชายาของเขาแน่ๆ

เขามองไปที่ร่างมากมายที่กำลังคุกเข่าอยู่รอบๆ ตัวเขาและรู้สึกอยากที่จะฆ่าพวกเขาให้หมดทุกคนเลย แต่กับองค์หญิงที่อยู่เบื้องหน้าคงจะฆ่าไม่ได้

เงียบไปนานแต่ในที่สุดมู่หรงก็รู้สึกอยากจะลงมาเล่นบ้างแล้ว

“ถ้ากระดาษรูนนี่พิสูจน์ว่าข้าคือปีศาจ งั้นข้าก็เกรงว่าพวกเจ้าก็คงจะเป็นปีศาจด้วยเหมือนกัน แบบนี้พวกเราคงจะต้องไปลงนรกด้วยกันแล้วล่ะ” มู่หรงยกริมฝีปากเผยให้เห็นรอยยิ้มแสนสวยและพูดออกมาเสียงเรียบ

ฟางเสี่ยวโหรวเงยหน้าขึ้นมาและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นมา “นังปีศาจ นี่เจ้ายังอยากจะปั่นป่วนจิตใจผู้คนด้วยเรื่องไร้สาระนี่อีกงั้นเหรอ?”

“เจ้าจะกลัวอะไรละ? ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะรู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้วนะ” มู่หรงพูดออกมาอย่างอ่อนโยน

สีหน้าของฟางเสี่ยวโหรวแวบประกายโกรธเกรี้ยวแล้วก็รีบเก็บซ่อนไว้ด้วยความเร็วจนไม่มีใครทันได้เห็น

นังปีศาจพูดอะไรไร้สาระ นี่คือนักพรตเต๋าแห่งดินแดนที่บอกว่าสามารถจัดการปีศาจที่ซ่อนอยู่ได้ แล้วเขาจะทำพลาดได้ยังไงกัน?” ฟางเสี่ยวโหรวชี้นิ้วไปที่ชายที่สวมชุดอักษรรูนที่อยู่ไม่ไกล

สีหน้าของหวังฉิงเคร่งขรึม เขาไม่คิดว่าในดินแดนแห่งไฟจะมีนักพรตเต๋าด้วย นี่ต้องเป็นการสมรู้ร่วมคิดแน่

“นักพรตเต๋าแห่งดินแดนเลยงั้นเหรอ?! งั้นข้าเกรงว่าเขาจะเป็นของปลอมแล้วล่ะ” มู่หรงแสยะริมฝีปากเซ็กซี่ คิ้วเลิกสูงแล้วพูดออกมาอย่างเหน็บแนม

ประกายเงามืดแอบขึ้นมาในดวงตาที่ดูลุ่มลึกของหวังฉิง

“เจ้ากล้าลบหลู่นักพรตเต๋าแห่งดินแดนงั้นเหรอ?! องค์ชายเจ้าคะ ท่านก็เห็นว่านังปีศาจนี่ไม่มีขื่อมีแปเลย ได้โปรดสั่งให้จับนางมัดเถอะเจ้าค่ะ ไม่งั้นนางคงจะเที่ยวทำร้ายคนอื่นไปทั่ว” ฟางเสี่ยวโหรวพูดออกมาอย่างกระวนกระวายใจ

หวังฉังไม่เชื่อว่าเธอจะทำร้ายใครได้ แต่นี่เป็นเรื่องใหญ่แล้ว

เมื่อมองไปรอบๆคนที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ ผู้คนต่างมองมาที่เธอด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว และถ้าเขาไม่จัดการอะไรกับเรื่องนี้ ก็เดาได้เลยว่าเธอคงจะถูกตราหน้าว่าเป็นนังปีศาจแน่ๆ

นี่เป็นครั้งแรกที่หวังฉิงรู้สึกได้ว่าฟางเสี่ยวโหรวไม่ชอบนาง

เขาแตะอย่างแผ่วเบาไปที่มู่หรง “มู่เทียน เจ้าสบายใจได้เลยนะว่าข้าจะไม่ให้เจ้าเป็นอันตรายใดๆ”

มู่หรงรีบดึงมือเขาออกแล้วจึงพูดเสียงเรียบ “ข้าขอโอกาสจากองค์ชายเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้ไหม?” นี่เป็นครั้งแรกที่มู่หรงเสวี่ยเรียกเขาว่าองค์ชาย สายตาของเธอสงบและมั่นใจมาก

“ได้สิ” หวังฉิงจะขัดได้ยังไง ต่อให้มู่เทียนไม่มีทางแก้ เขาก็ไม่ปล่อยให้เธอต้องเจอเรื่องอะไรหรอก

ถึงแม้เธอจะเป็นนังปีศาจอย่างที่นักพรตเต๋าพูดจริง เขาก็จะปกป้องเธออยู่ดี

“ท่านนักพรตเต๋าแห่งดินแดน ช่วยเอากระดาษรูนออกมาด้วย” มู่หรงพูดเสียงเรียบ

แวบประกายเย็นชาแวบเข้ามาในสายตาของนักพรตเต๋าที่อยู่ไม่ไกล เขาเตรียมเรื่องนี้มาล่วงหน้าแล้วว่าต้องรับมือกับเธอยังไง เขาแยกกระดาษรูนไว้แล้วเพราะกลัวจะทำพลาด

กระดาษรูนที่แขนเสื้อด้านขวากับซ้ายต่างกันอย่างสิ้นเชิง

หวังฉิงหันไปบอกให้ทหารชุดดำที่อยู่ข้างๆเขาเอากระดาษอักษรรูนมา

นักพรตเต๋าล้วงเข้าไปในแขนเสื้อด้านซ้ายและหยิบกระดาษอักษรรูนธรรมดาออกมาแล้วจึงส่งให้ทหารชุดดำ

เขาหันไปสบตากับฟางเสี่ยวโหรวโดยไม่ได้ตั้งใจพร้อมทั้งแลกเปลี่ยนสายตาที่มีแค่พวกเขาเท่านั้นที่เข้าใจกันเอง

เพราะว่าเพียงแค่เสี่ยววินาทีจึงไม่มีใครสังเกตเห็นสายตาที่แปลกออกไปของฟางเสี่ยวโหรว

มู่หรงรับกระดาษอักษรรูนมาและตรวจอย่างละเอียดแล้วก็ใช้นิ้วถูไปที่กระดาษอย่างระวัง

แล้วจึงสรุปได้ว่ากระดาษอักษรรูนนี่ต่างจากกระดาษแผ่นก่อนหน้านี้มาก เป็นอย่างที่คิดไว้เลย เขาเตรียมตัวมาอย่างดี

มู่หรงเผยรอยยิ้มแสยะ คิดว่าของแค่นี้จะเอามาทำอะไรเธอได้งั้นเหรอ?! ไร้เดียงสากันจริงๆ

“ในเมื่อนักพรตเต๋าอ้างว่าสามารถที่จะจัดการวิญญาณปีศาจที่ซ่อนอยู่ได้ งั้นท่านนักพรตเต๋าก็คงจะใช้ยันต์ในมือข้านี่กำจัดสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณปีศาจงั้นสินะ” มู่หรงยกกระดาษอักษรรูนในมือขึ้นมาพร้อมด้วยรอยยิ้มที่เปล่งรังสีแห่งความมีเสน่ห์ออกมา

เมื่อเสียงหวานพูดจบก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสีหน้าของนักพรตเต๋าซีดไปชั่วขณะ

แต่อีกด้านกลับไม่มีใครเห็นว่าฟางเสี่ยวโหรวกำลังตัวสั่น มีเพียงคนที่อยู่ใกล้ห้าคนเท่านั้นที่เห็นความตื่นตระหนกของนาง

“พลังนักพรตเต๋าของข้ามีขีดจำกัด ข้าไม่สามารถที่จะทำพิธีสองครั้งได้ในวันเดียวหรอก เจ้าปีศาจ อย่าคิดว่าจะใช้วิธีนี้หนีไปได้ง่ายๆเลย” นักพรตเต๋าฉิงเฟ่งแสดงความไม่พอใจอยู่เพียงแวบเดียวแล้วก็รีบเก็บซ่อนไว้ในทันที

เจ้าเล่ห์จริงๆนะ มู่หรงเสวี่ยแสยะ แล้วเธอก็เข้าไปใกล้หูของหวังฉิงและพูดด้วยน้ำเสียงที่มีเพียงสองคนเท่านั้นที่จะได้ยิน

ฟางเสี่ยวโหรวกัดฟันตัวเองแน่นพร้อมมองไปยังภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า เธอเขยือนเข้าไปข้างหน้าเล็กน้อย ทำหูผึ่งตั้งใจฟัง เธออยากที่จะได้ยินด้วยว่ามู่หรงเสวี่ยพูดอะไร

หลังจากที่ได้ฟัง สีหน้าของหวังฉิงก็เคร่งขรึมขึ้นพร้อมทั้งหันไปสั่งเหล่าทหารชุดดำ “ค้นต่อนักพรตเต๋าหากระดาษอักษรรูนมาให้หมด”

เมื่อได้ยินแบบนี้ นักพรตเต๋าก็ไม่สามารถที่จะนิ่งเฉยอย่างเมื่อกี้ได้อีกแล้ว สีหน้าของเขาแทบจะซีดเผือดขึ้นมาในทันที “องค์ชาย ทำไมถึงทำแบบนี้?! ข้าเป็นนักพรตนะ จะมาค้นตัวกันแบบนี้ได้ยังไงกัน? นี่ขัดกับหลักทางพระพุทธศาสนานะ” ในตอนนี้นักพรตเต๋าร้องออกมาอย่างลืมตัว เขาลืมไปว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคือองค์ชายแห่งดินแดนแห่งไฟที่เห็นเลือดมามากมาย แล้วเขาจะมาลังเลอะไรกับแค่คำพูดไม่กี่คำ

ฟางเสี่ยวโหรวแทบจะเป็นลม มันจบแล้ว มันจบแล้วจริงๆ!

หลังจากที่ทหารชุดดำเจอกระดาษอักษรรูนทั้งหมด สีหน้าของนักพรตเต๋าก็กลายเป็นซีดขาว เขาไม่น่าเห็นแก่เงินแค่พันตำลึงเลย ทำไมจู่ๆเขาถึงรู้สึกว่าตัวเองหาญกล้ามาทำอะไรแบบนี้ในดินแดนขององค์ชายฉิงทั้งๆที่ไม่ควรจะทำเลยนะ

ทหารชุดดำยื่นกระดาษอักษรรูนให้หวังฉิงด้วยความเคารพ

หลังจากที่หวังฉิงรับไป เขาไม่ได้ดูอะไรมากแต่ยื่นให้ มู่เทียนโดยตรง

มู่หรงเสวี่ยใช้เวลาไม่นานก็รู้ว่ากระดาษรูนมีการสับเปลี่ยน กระดาษอักษรรูนทั้งสองแบบมีความแตกต่างกันคืออันหนึ่งเป็นกระดาษที่มีการชุปด่างไว้ส่วนอีกอันเป็นกระดาษอักษรรูนธรรมดา

เธอเดินตรงเข้าไปแปะกระดาษอักษรรูนตามร่างกายของฟางเสี่ยวโหรวแล้วจึงราดน้ำตามลงไป