บทที่ 343 ใครเป็นคนบงการ?

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 343

ใครเป็นคนบงการ?

กระดาษอักษรรูนที่ร่างกายของฟางเสี่ยวโหรวเปลี่ยนเป็นสีเลือดในทันที

ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็เบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ มันเป็นไปได้ยังไง?!

ฟางเสี่ยวโหรวมองไปที่กระดาษอักษรรูนที่ติดอยู่ที่ร่างกายของเธอช่วยสีหน้าที่ซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม

“โอ้ ดูเหมือนว่าองค์หญิงโหรวก็จะเป็นปีศาจด้วยเหมือนกันนะเจ้าคะ งั้นทำไมไม่จับเราทั้งคู่ไปพร้อมกันเลยล่ะ?” มู่หรงพูดออกมาเสียงเรียบพร้อมรอยยิ้มแสยะ

“เจ้ากำลังพูดอะไรไร้สาระ นี่เจ้าก็คงจะใช้เวทมนตร์อะไรอีกละสิ” เธอจะยอมแพ้ได้ยังไง เธอจะมายอมแพ้ที่นี่ได้ยังไงละ?!

ฟางเสี่ยวโหรวดึงกระดาษอักษรรูนที่ร่างกายเธอออกและฉีกออกเป็นชิ้นๆ วังนี้เป็นอาณาเขตของเธอ เธอจะไม่ยอมให้ใครมาข้ามหัวแล้วกลายเป็นนายหญิงคนใหม่ได้ง่ายๆหรอก

เพียงแค่โดนน้ำราดไปที่ร่างกายนิดหน่อย ทำให้ชุดที่ดูสูงศักดิ์ของฟางเสี่ยวโหรวยับเยินไปบ้าง

นี่ทำให้ผู้คนที่เริ่มจะสงสัยเรื่องนี้ขึ้นมาเริ่มที่จะซุบซิบกันบ้างแล้ว

นักพรตเต๋าที่เมื่อกี้เกือบจะร้องขอชีวิตกับองค์ชายไปแล้วก็ยังเปลี่ยนมามีสายตาที่มั่นอกมั่นใจพร้อมทั้งร่างกายที่สั่นเทอมก็กลับมายืดตรง

มู่หรงเสวี่ยแสยะยิ้ม นี่คิดจะมารังแกเธอกันง่ายๆงั้นเหรอ

“นังปีศาจงั่นเหรอ? ในความเห็นของข้านะ พวกเจ้าที่เที่ยวหลอกลวงชาวบ้านต่างหากที่เป็นปีศาจตัวจริง” หลังจากที่เงียบไป มู่หรงก็หยิบแผ่นกระดาษอักษรรูนออกมาติดส่งไปตามร่างกายของหวังฉิง แล้วจึงหยิบแก้วน้ำบนโต๊ะมาเทลงไปที่หวังฉิง

หวังฉิงขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้ห้ามอะไร กระดาษอักษรรูนสองแผ่นที่อยู่บนสุดเปลี่ยนเป็นสีเลือดขึ้นมาทันที “ถ้าพวกเจ้าไม่เชื่อ ก็เอาไปลองดูกันเองได้เลยนะ” มู่หรงตั้งใจโยนกระดาษอักษรรูนให้เหล่าคนที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น

ผู้คนต่างก็มองหน้ากันไปมา แต่ก็แน่นอนว่าองค์ชายต้องไม่ใช่ปีศาจแน่ๆแต่เป็นเทพเจ้าในดินแดนแห่งไฟของพวกเขาต่างหาก

แล้วผู้คนก็ค่อยหยิบกระดาษอักษรรูนที่พื้นขึ้นมาลองทดสอบกับน้ำกันเองบ้าง

และแน่นอนว่ากระดาษอักษรรูนบางแผ่นก็เปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที ในขณะที่บางแผ่นก็ยังเหมือนเดิม

“อย่าหลงเชื่อเจ้าวิญญาณปีศาจนะ นางมีเวทมนตร์ กลแค่นี้ก็คงจะไม่ใช่ปัญหาอะไรอยู่แล้ว” ฟางเสี่ยวโหรวกำหมัดแน่น

นักพรตเต๋าไม่สามารถที่จะควบคุมขาที่อ่อนแรงของตัวเองได้อีกแล้วจึงทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้น

หวังจังมองไปที่ฟางเสียวโหรวที่ตื่นตัวอย่างมาก

ถึงแม้เขาจะคิดสงสัยนางมานาน แต่เขาก็ยังลังเลที่จะต้องทำลายภาพพจน์ที่แสนจะอ่อนหวานและน่ารักที่อยู่ในหัวใจเขาเอง

ฟางเสี่ยวโหรวเป็นคนที่มีเกียรติเสมอในวังและเพราะคำพูดของเธอจึงทำให้เหล่าสาวใช้มาร่วมด้วยในครั้งนี้

ในสายตาของสาวใช้ ฟางเสี่ยวโหรวมีท่าทางที่น่าประทับใจอย่างมาก เธอไม่เคยดูถูกคนอื่น เจอดูแลทุกอย่างในตำหนักได้อย่างมีคุณธรรม เธอถือได้ว่าเป็นนายหญิงดีๆที่หาได้ยากจริงๆ

แต่กลับมู่หรงเสวี่ยทุกคนต่างมองต่างออกไป ทุกคนต่างยอมที่จะเชื่อแต่โดยดีว่ามู่หรงเสวี่ยเป็นปีศาจและไม่อยากให้มาทำลายภาพลักษณ์ของฟางเสี่ยวโหรวในหัวใจของทุกคน แต่ในหัวสมองของเหล่าสาวใช้กลับไม่เคยนึกถึงอีกด้านเลย

ในยุคโบราณแบบนี้ ยิ่งตระกูลใหญ่มากเท่าไร ก็ยิ่งมีเรื่องที่ถูกหรือผิดมากขึ้นเท่านั้น

เพื่อแค่แง่มุมเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้สมองคิดไปได้ไกลแล้ว

“องค์หญิงโหรว ทำไมท่านถึงตื่นเต้นขนาดนี้ละ หรือท่านจะรู้เห็นเรื่องกระดาษอักษรรูนนี่ด้วยหรือเปล่า?” มู่หรงทำเป็นพูดติดตลก

เธอไม่ใช่คนดี

ในชีวิตที่แล้วเธอเป็นคนดีแต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม ในเมื่อเป็นแบบนั้นทำไมเธอถึงจะต้องทำตัวเป็นคนดีกับคนอื่นด้วยละ

“ข้าก็แค่ทนเห็นนังปีศาจอย่างเจ้าทำร้ายองค์ชายไม่ได้” ฟางเสี่ยวโหรวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเห็นแก่ตัวสุดๆ

หวังฉิงมองดูอยู่สักพักแต่มันก็ยังไม่ชัดเจน เขาไม่คิดเลยว่าเรื่องในตำหนักจะน่ากลัวกว่าในสนามรบซะอีก

“กระดาษอักษรรูนนี้ เจ้ารู้หรือเปล่าว่ามันเกิดอะไรขึ้น?” หวังฉิงหันมาถามมู่หรงเสวี่ย

ไม่สำคัญหรอกว่าฟางเสี่ยวโหรวจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากแค่ไหน ยังไงเขาก็ทำอะไรนางไม่ได้อยู่ดี ท่านพ่อของนางมีอำนาจพอที่จะปกป้องนาง และเขาก็ไม่อยากมีปัญหากับท่านรัฐมนตรีด้วย

สีหน้าของฟางเสี่ยวโหรวซีดเผือด องค์ชายเชื่อนังผู้หญิงชั้นต่ำมู่เทียน เธอถึงกับทรุดลงไปกับพื้น

ทั้งๆที่มู่เทียนก็ไม่มีหัวนอนปลายเท้าเนี่ยนะ? แต่เธอมีทุกอย่าง ฟางเสี่ยวโหรวอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มเหน็บแนม เธอหัวเราะเยาะตัวเอง

“แน่นอน กระดาษอักษรรูนนี่ก็แค่กลข้างถนน เหตุผลดีมันเปลี่ยนสีได้ก็เพราะกระดาษอักษรรูนถูกแช่อยู่ในน้ำด่าง และเมื่อเจอกับน้ำ มันก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีและกระดาษสีขาวธรรมดาก็จะเปลี่ยนเป็นสีเลือด” มู่หรงพูดเสียงเรียบพร้อมด้วยสายตาที่แสดงถึงความมั่นใจอย่างมาก

“องค์ชายโปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถอะ” นักพรตเต๋าแห่งดินแดนพูดขึ้นมาในตอนนี้ พร้อมด้วยท่าทางที่หยิ่งผยองแบบในตอนแรกถูกการอ้อนวอนขอความเมตตาเข้ามาแทนที่ ซึ่งไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเป็นยังไง

ไร้ประโยชน์จริงๆเลย! ฟางเสี่ยวโหรวก่นด่าอยู่ในใจ โชคดีที่นักพรตเต๋าไม่รู้ว่าใครเป็นคนจ้างเขามา

เธอสั่งกำชับแม่นมหลิวไว้ตั้งแต่แรกอย่างดีแล้วว่าให้กำจัดเบาะแสทั้งหมดที่จะสาวมาถึงตัวได้

แล้วสาวใช้คนนั้นก็ตายอยู่ในบ่อน้ำร้างในวังไปแล้วด้วย

ฟางเสี่ยวโหรวยืนสงบนิ่งอยู่อีกด้าน ถึงแม้เรื่องนี้จะพลาดแต่ก็จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธอ อย่างมากที่สุดก็เป็นแค่เรื่องความหึงหวงกัน แต่บางครั้งผู้หญิงก็หึงหวงกันบ้างเป็นธรรมดา ฉะนั้นก็สบายใจได้แล้ว ใช่ไหม?!

หวังฉิงหันไปหาทหารชุดดำให้เดินเข้ามาพร้อมทั้งพาตัวนักพรตเต๋าฉิงเฟ่งเข้ามาด้วย ทหารชุดดำเตะไปที่เข่าของนักพรตจนเขาทรุดลงไปกับพื้น

“องค์ชาย พวกคนรับใช้ไม่มีความผิดนะเจ้าคะ”

ไม่มีความผิดงั้นเหรอ?! มาถึงจุดนี้แล้ว ยังจะมีหน้ามาพูดอีก

มู่หรงเสวี่ยมั่นใจมากว่าคนมากมายพวกนี้จะต้องถูกเขาส่งฆ่าอย่างแน่นอน ถ้าเธอไม่บังเอิญรู้เรื่องกระดาษอักษรรูนและหวังฉิงไม่เชื่อเธอ เธอก็คงจะกลายเป็นนังปีศาจตามที่นักพรตเต๋าฉิงเฟ่งบอกไปแล้ว

“กล้าดียังไงถึงได้เข้ามาที่นี่?” หวังฉิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ปลายหางตาเหลือบไปมองฟางเสี่ยวโหรวโดยไม่ได้ตั้งใจ

“ไม่นะ ท่านเข้าใจผิดแล้ว มีสาวใช้มาบอกข้าว่าในวังมีผู้หญิงที่ระบุตัวตนไม่ได้จะเข้ามาทำร้ายองค์ชาย ด้วยความเป็นห่วงจึงไม่ได้ตรวจสอบให้ถี่ถ้วนก่อน ได้โปรดองค์ชายช่วยเมตตาด้วย พวกเราก็แค่คนธรรมดาที่เป็นห่วงท่าน”

รอยยิ้มของมู่หรงเย็นชายิ่งกว่าเดิม แล้วเรื่องพวกนี้มันมาเกี่ยวอะไรกับผู้หญิงตัวเล็กแบบเธอด้วย

เพราะเป็นยุคโบราณเรื่องความสวยจึงเป็นเหมือนคำสาป “ถ้าเจ้าสารภาพก็จะได้รับการผ่อนผันบ้าง”

“เจ้านักพรตเต๋าจอมปลอม กล้าดียังไงถึงมาใส่ร้ายน้องเล็กของข้าแบบนี้ เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า? น้องเล็กของข้าเลยต้องตกใจกลัวเลย ข้าไม่คิดเลยนะว่าเจ้าจะเป็นคนหลอกลวงแบบนี้!” ฟางเสี่ยวโหรวหยิบผ้าเช็ดหน้าแกมาและเช็ดไปที่น้ำตาซึ่งไม่มีสักหยดเลยที่ห่างตาอย่างอ่อนโยน

มู่หรงดึงมือตัวเองกลับมาอย่างเบามือ เธอสาบานเลยว่าฟางเสี่ยวโหรวจะต้องวางแผนเรื่องนี้ไว้แล้วอย่างแน่นอน ถึงได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ทันทีขนาดนี้และเธอก็เชื่อว่าคนฉลาดอย่างฟางเสี่ยวโหรวคงไม่ยอมให้ใครมาจับนางได้หรอก เมื่อฟังจากที่นางพูดราวกับว่าตัวเองถูกหลอกงั้นแหละ ทั้งหมดก็เป็นเพราะนางเองไม่ใช่เหรอที่เป็นคนสั่งให้มาจับเธอเนี่ย

“ตอนที่ข้าน้อยอยู่ที่บ้าน มีสาวใช้คนหนึ่งที่อ้างว่ามาจากตำหนักขององค์ชายนางบอกว่าตราบใดที่ใส่ร้ายนายหญิงมู่ได้ นางจะให้ข้า 1,000 ตำลึง…” นักพรตเต๋าฉิงเฟ่งเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยแล้วจึงก้มกลับลงไปอีกครั้ง

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ลากมันออกไปตัดหัวซะ!” หวังฉิงสั่งออกมาเสียงดัง!

“ไม่นะองค์ชาย ไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถอะ” นักพรตเต๋าร้องออกมา “และนางยังบอกอีกว่านายหญิงมู่ทำให้องค์ชายหลงจนหัวปักหัวปำจนท่านละเลยกิจการบ้านเมือง ที่ข้าน้อยทำไปทั้งหมดก็เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยขององค์ชาย ได้โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วยเถอะ”

เรื่องที่สาวใช้พูดเป็นความจริง เขาไม่กล้าที่จะแต่งเรื่องขึ้นมาเองแน่นอน ตอนนี้เขากลัวตายมากกว่าใดๆทั้งหมด ตอนแรกเขาก็เป็นแค่คนจรจัดว่างงานแต่เพราะเขาได้เจอเข้ากับขอทานที่แกล้งทำเป็นผีซึ่งรู้สูตรการทำกระดาษอักษรรูนนี้ พูดง่ายๆคือเขาหากินกับการสร้างชื่อเสียงว่าเป็นนักพรตเต๋าแห่งดินแดน

ต่อมาเขากลัวว่าขอทานนั่นจะเปิดเผยความลับจึงบอกให้คนไปจัดการเพื่อปิดปาก หลังจากนั้นเขาก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีก

เดิมทีเขาคิดว่าจะใช้ประโยชน์จากราชวงศ์ฉิงเพื่อก้าวขึ้นไปในสังคมชั้นสูงแต่ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะต้องมาตาย เขาไม่คิดเลยว่าผู้หญิงคนนี้จะรู้เรื่องสูตรทำกระดาษอักษรรูนด้วย เพราะถ้ารู้เขาคงไม่กล้าก้าวเท้าเข้ามาในวังไปชั่วชีวิตแน่ๆแล้วก็คงจะได้แต่ฝันต่อไป

“ไปตามหาตัวสาวใช้คนนั้นมา” หวังฉิงพูดกับพ่อบ้านฟู

“ขอรับองค์ชาย”

พ่อบ้านฟูใช้เวลาไม่นานเลยในการรวบรวมสาวใช้ทั้งหมดในวัง พวกนางต่างก็ยืนเรียงแถวด้วยความตื่นกลัวจนไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมาเพราะกลัวว่าจะทำให้เทพเจ้าแห่งดินแดนแห่งไฟพิโรธ

“ไปหามาว่ามันเป็นใคร?” หวังฉิงพูดเสียงเรียบ

นักพรตเต๋าฉิงเฟ่งลุกขึ้นตัวสั่นและรู้ว่านี่เป็นโอกาสรอดโอกาสเดียวของเขา ถึงแม้จะกลับไปไม่ครบ 32 แต่อย่างน้อยก็ยังรอดชีวิตออกไปได้

ยังไงซะก่อนหน้านี้เขาก็เก็บเงินไว้ได้มากก็เพียงพอที่จะใช้ไปได้ตลอดชีวิต

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกปวดขาไปหมด วันนี้หลังจากที่ซื้อของมานานจึงทำให้เธออารมณ์ไม่ดีเท่าไร “เสี่ยวฉิง ไปเอาเก้าอี้มาหน่อย” มู่หรงพูดเสียงเรียบ

เสี่ยวฉิงมองไปที่องค์ชายอย่างระวังและเมื่อเขาอนุญาตนางจึงรีบวิ่งกลับไปที่ห้อง ในระหว่างนี้มู่หรงก็มองไปที่ ฟางเสี่ยวโหรว และเธอก็เห็นว่าสีหน้าของนางสงบนิ่งและสีหน้าที่ตึงเครียดก่อนหน้านี้ก็จางหายไปแล้ว ดูเหมือนว่านางจะจัดการเคลียร์ทุกอย่างไว้เรียบร้อยหมดแล้ว

มู่หรงเคาะเล็บตัวเองและเธอก็ได้คำตอบของเรื่องทั้งหมดนี้ในหัวใจเรียบร้อยแล้ว เธอคิดว่านักพรตเต๋าคนนี้คงจะต้องรับโทษทั้งหมดไว้คนเดียว

เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาของมู่หรง ฟางเสี่ยวโหรวเองก็จ้องกลับมาโดยไม่สนใจเช่นกัน ความมุ่งร้ายในสายตาของนางบอกให้รู้ว่าหวังฉิงต้องไม่ได้สังเกตเห็นแน่ๆ

มู่หรงเผยรอยยิ้ม สายตาเย็นชายิ่งกว่าเดิม เธอรับคำถามครั้งนี้

เธอหันไปมองหวังฉิง

เขารักเธอจริงหรือเปล่านะ?! บางทีถ้าไม่เกี่ยวกับเรื่องดินแดนเธอก็อาจจะรักเขา เพียงแต่ว่าหัวใจของผู้ชายมันเชื่อถือไม่ได้ อีกอย่างเธอเคยถูกทรยศมาแล้วครั้งหนึ่ง แล้วเธอจะทำผิดซ้ำสองได้ยังไงกัน

ในหัวใจ เธออดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าหวังฉิงรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับดินแดนหิมะแล้วหรือเปล่า

เสี่ยวฉิงที่ไม่รอช้า รีบกลับมาพร้อมกับม้านั่ง มู่หรงมองไปที่ท่าทางของเสี่ยวฉิงแล้วก็หัวเราะออกมา

หวังฉิงเองก็เห็นท่าทางที่ผ่อนคลายของมู่หรงเสวี่ย ดูเหมือนนางจะชอบเสี่ยวฉิงมากจริงๆ

หวังฉิงขมวดคิ้ว หลังจากที่เจอเรื่องมามากมาย ดูเหมือนเขาจะยังดีไม่เท่ากับสาวใช้เลยด้วยซ้ำ

ฝั่งนักพรตเต๋าฉิงเฟ่งที่ตัวเย็นไปด้วยเหงื่อที่ผุดออกมาพร้อมด้วยสีหน้าที่กลายเป็นซีดเผือดกว่าเดิมอีก เขามองสาวใช้เหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบแต่ก็ยังไม่เจอสาวใช้ที่ได้เจอวันก่อนเลย แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะสงสัยองค์ชายมาไม่ได้นำตัวสาวใช้ออกมาทั้งหมดหรือเปล่า