บทที่ 344 ดอกไม้ที่ร่วงหล่น

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 344

ดอกไม้ที่ร่วงหล่น

หวังฉิงมองนักพรตเต๋าที่เดินกลับไปกลับมาห้ารอบแล้วแต่ก็ยังชี้ตัวสาวใช้คนที่พูดถึงไม่ได้ซะที และอย่างที่เห็นว่าเขาไม่มีความอดทน ถึงแม้เขาจะหาตัวไม่เจอแต่เขาก็อาจจะรู้ว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามเขายังจัดการกับนางไม่ได้ตอนนี้ ทางที่ดีควรจะหยุดตรงนี้เพื่อเป็นการไว้หน้ากับท่านรัฐมนตรี

ฟางเสี่ยวโหรวยืดหลังตรงเพราะรู้ว่าเธอมีคนคอยหนุนหลังอยู่จึงได้กล้าที่จะทำเรื่องนี้ ตราบใดที่องค์ชายยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อผู้หญิงคนนี้ แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอเองก็ยังอิจฉาอยู่ดี

“พาตัวเขาไปดำเนินการ” หวังฉิงโบกมือ

“องค์ชาย ไว้ชีวิตข้าด้วย…”

นักพรตเต๋ามีเวลาเพียงตะโกนออกมาแค่นี้และคนที่อยู่ข้างๆเขาก็รีบเอามือมาปิดปากเขาไว้ทันที จะยอมให้ไอ้คนโกหกแบบนี้มารบกวนองค์ชายผู้สูงศักดิ์ของพวกเขาได้ยังไง

หลังจากที่ได้เห็นคำสั่งของหวังฉิง มู่หรงเสวี่ยก็แสยะออกมา

ภายใต้อำนาจของจักรพรรดิ นักพรตเต๋านี่เองก็คงจะถูกสั่งพิจารณาโทษมากมาย โชคดีที่เธอไม่ได้ชอบหวังฉิง ไม่งั้นเธอคงหัวใจสลายไปแล้ว

และนี่ก็ทำให้เข้าใจเรื่องสถานะของผู้หญิงในยุคนี้ได้อย่างชัดเจนด้วยว่าเมื่อเทียบกับเรื่องของดินแดนแล้ว ผู้หญิงก็ไม่มีความหมายอะไรนอกจากเป็นเครื่องบำเรอขององค์ชาย

ฟางเสี่ยวโหรวเองก็จ้องไปที่มู่หรงเสวี่ย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการตัดสินใจขององค์ชายทำไปเพราะเห็นแก่หน้าเธอและเธอก็รู้สึกภูมิใจกับเรื่องนี้ การที่มู่หรงเสวี่ยแสยะยิ้มออกมา นังโง่เอ่ย คิดว่าจะหนีข้าพ้นเหรอ? บางครั้งความรักของผู้ชายก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย

เพราะในชีวิตที่แล้วเธอต้องกลายเป็นหมากตัวหนึ่งในมือของคนอื่น เธอโง่มากจนทำให้ตัวเองต้องมาตายและผลลัพธ์ที่ได้ก็น่าโกรธแค้นอย่างมาก เมื่อคิดถึงเรื่องนี้มู่หรงก็หมดอารมณ์ที่จะเล่นขึ้นมาทันที สายตาของเธอหมองลง เธอไม่รู้ว่าตัวเองจะได้ออกไปตามหาพ่อแม่เมื่อไร เธออยากที่จะชดใช้พวกท่านจากความโง่เขลาของเธอในชีวิตที่แล้ว

“ข้ากลับก่อนนะ” มู่หรงลุกขึ้นและพูดออกมาด้วยเสียงเย็นชาแล้วจึงก้าวเดินกลับเข้าไปในตำหนักหิมะ

เสี่ยวฉิงรีบตามไปทันที เธอตัดสินใจทำเป็นมองไม่เห็นท่าทางที่ไม่สุภาพของนายหญิงมู่ เพราะต่อให้เธอแนะนำอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ ท่านหญิงคงไม่ฟังเธออยู่แล้ว

“ใครกล้าเอาเรื่องในวันนี้ไปพูดอีกก็ระวังคอจะหลุดออกจากบ่าด้วยล่ะ เข้าใจชัดเจนหรือเปล่า?” หวังฉิงพูดออกมาเสียงเย็น

“รับทราบ ขอรับ/เจ้าค่ะ” เหล่าคนที่นั่งอยู่ที่พื้นในตอนนี้ต่างก็ไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมาเลย

ฟางเสี่ยวโหรวเองก็อยู่ในแถวด้วย เมื่อเห็นท่าทางของหวังฉิงที่กำลังจะเดินเข้าไปในตำหนักหิมะ ฟางเสี่ยวโหรวก็รีบร้องเรียกออกมาทันที “องค์ชาย”

หวังฉิงหยุดและหันกลับมา “มีอะไร?”

ฟางเสี่ยวโหรวไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไรดี เธอมองไปที่ หวังฉิงอย่างละเอียดแต่ก็ไม่เห็นความไม่พอใจอะไรจากสีหน้าที่นิ่งเฉยของเขาเลย

หวังฉิงไม่รู้ว่าฟางเสี่ยวโหรวกังวลเรื่องอะไร พูดตามตรงฟางเสี่ยวโหรวก็ไม่ได้สำคัญอะไรมาก เธอก็เหมือนกับพวกข้าราชการทั่วไปที่อยู่ในสำนักที่ยอมทำเรื่องไร้ยางอายเพื่อรักษาสถานะของตัวเองไว้ ฟางเสี่ยวโหรวก็เพียงแค่อยากที่จะรักษาตำแหน่งของเธอในวังนี้ไว้ก็เท่านั้น

ถ้าเป็นแต่ก่อนหวังฉิงก็คงจะทำตามที่เธอต้องการ คงจะไว้หน้าเธอและปล่อยให้เธอจัดการเรื่องที่ไม่สำคัญต่างๆ แต่ตอนนี้เขาไม่เห็นข้อผิดพลาดของมู่เทียนเลยสักนิด ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดการหรือเรื่องทางใจก็ยอมรับไม่ได้ทั้งนั้น

ในตอนนี้เขามองมาที่เธอด้วยสายตาเบื่อหน่าย

“องค์ชาย ข้าได้ภาพเขียนอักษรมา คืนนี้ท่านมีเวลาพอจะไปชมภาพกับข้าหรือเปล่าเจ้าคะ?” องค์ชายไม่ได้ไปที่ตำหนักเธอมานานมากแล้ว ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป สถานะของเธอก็คงจะไม่มั่นคง ในระหว่างนี้เธอจะต้องหาทางลดความชื่นชอบในตัวมู่เทียนอย่างเร็วที่สุด เพราะนอกจากเรื่องความเห็นแก่ตัวของเธอเองแล้ว เธอยังต้องคิดถึงตระกูลของตัวเองด้วย

ถึงแม้ท่านพ่อจะไม่ได้คาดหวังอะไรจากเธอ แต่ ฟางเสี่ยวโหรวก็เข้าใจอย่างดี ในโลกนี้ไม่มีความลับหรอก เธอรู้ดีว่ายังไงแต่ละตระกูลก็ยังต้องหวังอะไรเล็กๆน้อยๆจากท่าทางขององค์ชายอยู่แล้ว เธอจะปล่อยให้ท่านพ่อต้องมาผิดหวังเพราะเธอได้ยังไง

หวังฉิงปฏิเสธออกไปโดยไม่ต้องคิดเลย “ครั้งหน้าแล้วกัน” เมื่อพูดจบก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินตรงเข้าไปในตำหนักหิมะทันที

เขาอดที่จะนึกไม่ได้ว่ามู่เทียนจะต้องโกรธเขาแน่ๆ เขารู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก มู่เทียนเป็นคนฉลาดและนางจะต้องเข้าใจเรื่องการเมืองภายในแน่ๆ อย่างไรก็ตามเขามองไปที่ประตูที่ปิด หัวใจตกไปอยู่ที่ก้นบึ้งจนไม่กล้าที่จะให้คนรับใช้เคาะประตู

พ่อบ้านที่ตามหวังฉิงแทบจะเบิกตากว้าง ผู้หญิงที่อยู่ในตำหนักกล้าที่จะปิดประตูแบบนี้เลยงั้นเหรอ เขาอยากจะบ้าตาย เขามองไปที่องค์ชายอย่างระวังเพื่อดูให้แน่ใจว่าองค์ชายจะไม่อาละวาดใส่เขาแล้วจึงเดินเข้าไปอย่างระวัง เขาอยากที่จะเตะประตูให้เป็นรูไปเลยจริงๆ แต่โชคดีที่หลังจากเคาะไปแค่ไม่กี่ที ประตูก็เปิดออก และแน่นอนว่าเป็นเสี่ยวฉิงที่เป็นคนเปิดประตู ขาของเธอสั่นไปหมดแต่เมื่อเป็นคำสั่งของนายหญิง เธอจึงต้องล็อกประตู จะให้เธอทำอะไรได้ล่ะ

เธอทำได้เพียงบอกองค์ชายว่าอย่าเพิ่งรบกวนนายหญิง

หวังฉิงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย โชคดีที่ยังเปิดประตู ไม่งั้นเขาคงจะเสียหน้าเพราะมีสาวใช้มากมายที่กำลังมองเขาอยู่ แต่ยังไงซะเขาก็ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรมาก แต่กลับรู้สึกสุขในหัวใจมากกว่า ฮ่าฮ่า นางแคร์เขา แค่นั้นก็พอแล้ว

ท่าทางตอนนี้ของเขาที่ยืนเขินอยู่หน้าประตูดูน่ารักทีเดียว เสี่ยวฉิงและพ่อบ้านต่างก็มองหน้ากันแปลกๆอย่างอธิบายไม่ได้ พร้อมกันนั้นความคิดบ้าๆขององค์ชายก็แวบขึ้นมาในหัวใจ

ถ้าไม่ใช่งั้นนางจะล็อกประตูทำไมล่ะ? เขารู้สึกอารมณ์ดี

พวกเขากำลังคิดอะไรกันอยู่นะ?!

เสี่ยวฉิงรู้สึกชื่นชมท่านหญิงอย่างมาก นางรู้ได้ยังไงว่าถ้าปิดประตูแล้วองค์ชายจะไม่โกรธแต่กลับจะพอใจซะอีกล่ะ?! ในตอนนี้มู่หรงเสวี่ยในหัวใจของเสี่ยวฉิงสูงส่งราวกับเทพพระเจ้าเลยทีเดียว

“ท่านหญิงของเจ้าอยู่ไหน?” หวังฉิงถามออกมาเสียงเรียบ

เสียงที่ดังออกมาขัดความคิดของเสี่ยวฉิงแล้วเธอก็คุกเข่าลงไปด้วยความตื่นกลัวและพูดออกมาว่า “กลับไปก่อนเถอะนะคะองค์ชาย ท่านหญิงบอกว่าวันนี้นางเหนื่อยจากการเดินซื้อของมามากแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่สะดวกที่จะต้อนรับองค์ชายเท่าไร” หลังจากที่พูดจบ เสี่ยวฉิงก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น

คำพูดที่นายหญิงฝากบอกมาจริงๆค่อนข้างที่จะรุนแรงกว่านี้อีก เพียงแค่ว่าอารมณ์ของท่านหญิงในตอนนี้ยากที่จะคาดเดาและเธอก็ไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งนางด้วย

แต่ให้องค์ชายจะไม่พอใจจนลากคอเธอออกไปตัด เธอก็จะไม่บ่นอะไรเลยสักคำ มีเพียงท่านหญิงของเธอเท่านั้นที่จะสั่งเธอได้

โกรธจริงๆงั้นเหรอ? หวังฉิงคิด ใจผู้หญิงที่คาดเดาได้ยากจริงๆเลย เขาก้าวเข้าไปในตำหนักแล้วก็ถอยกลับอยู่หลายรอบ ทำให้พ่อบ้านฟูที่อยู่ข้างหลังมองไปที่องค์ชายด้วยความกังวล

งั้นปล่อยให้นางได้พักและสบายใจก่อนแล้วกัน “กระแอม งั้นก็ดูแลท่านหญิงของเจ้าดีๆด้วย ข้าจะกลับไปดูเรื่องการทหารก่อน” ตอนที่หวังฉิงพูดประโยคนี้ออกมา น้ำเสียงเขาค่อนข้างที่จะดังเกินไปหน่อย

“ปัญญาอ่อน!” มู่หรงเสวี่ยที่กำลังนอนอยู่บนเตียงพึมพำออกมา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าที่พูดเพื่อตั้งใจที่จะให้เธอได้ยิน

อย่างไรก็ตามตอนนี้มู่หรงเสวี่ยยังไม่อยากที่จะเจอกับความเจ้าเล่ห์ของหวังฉิง ไม่เพียงแค่นั้น เธอยังต้องเตรียมพร้อมสำหรับการหนีโดยเร็วที่สุดอีกด้วย

พ่อบ้านฟูมองไปที่ท่าทางขององค์ชาย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมองค์ชายต้องตะโกนเสียงดังขนาดนั้นด้วย เสี่ยวฉิงก็อยู่ตรงหน้านี่เองแล้วนางก็ไม่ได้หูหนวกด้วย

หวังฉิงยืนอยู่นอกประตูเพื่อรอสักพักแต่ก็ยังไม่เห็นการเคลื่อนไหวใดๆในตำหนัก เขาเดินออกมาข้างนอกช้าๆอย่างไม่เต็มใจเท่าไร

พ่อบ้านฟูเดิมตามมาข้างหลังเขาด้วย เขาเดินอย่างระวังเพื่อควบคุมจังหวะการเดินของตัวเองเพราะกลัวว่าจะไปชนเข้ากับองค์ชายแล้วจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้

เมื่อมองไปที่องค์ชายที่อยู่เบื้องหน้าเขา เขาไม่ได้เดินออกมาจากตำหนักอยู่นาน เขาเพียงแค่หยุดและรอให้องค์ชายเริ่มออกเดิน เขาถึงจะขยับอีกครั้ง

หวังฉิงเริ่มที่จะรู้สึกลังเล การที่จะได้ความรักที่มากขึ้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย ถึงแม้เขาจะคิดไว้แล้วว่าต่อให้เธอไม่ชอบ เขาก็จะบังคับให้เธออยู่กับเขาไปตลอดชีวิต แต่ตอนที่เธอแสดงออกถึงความไม่ยินยอมจริงๆ หวังฉิงก็อดที่จะรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ

โดยเฉพาะในตอนนี้ เขาเริ่มที่จะสับสนกับท่าทางของ มู่เทียนอยู่นิดหน่อย หรือท่าทางที่มีต่อกันของเขาสองคนจะต้องกลับไปเย็นชาเหมือนเดิมเพราะเรื่องวันนี้ เขารู้ว่าตัวเองคงจะทนไม่ได้จนกว่าจะได้เธอมา เมื่อกี้ตอนที่เธอบอกว่าจะกลับมาพักเธอไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำ เป็นเพราะโกรธหรือเปล่า?

หวังฉิงมองไปที่ดอกไม้ที่ร่วงหล่นในสวน เขาคิดว่าตัวเองสามารถที่จะมองดอกไม้ร่วงไปได้ตลอดชีวิตตราบใดที่มีเธออยู่ด้วย

พ่อบ้านฟูเองก็มองตามสายตาขององค์ชายด้วยเช่นกัน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมดอกไม้ที่ร่วงหล่นถึงทำให้องค์ชายอ่อนไหวได้ขนาดนี้จนต้องทอดถอนอารมณ์อยู่นาน

“เสี่ยวฉิง ปิดประตูแล้วเข้ามานอนได้แล้ว”

หูของหวังฉิงผึ่งขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินน้ำเสียงอ่อนหวานของมู่เทียน มุมปากที่ยกขึ้นจางหายไปก่อนที่จะทันได้ยิ้มออกมา เหตุผลก็เพราะประตูที่เสี่ยวฉิงเปิดไว้เมื่อกี้ตอนนี้ได้ปิดลงอีกครั้งแล้ว

หวังฉิงสะบัดแขนเสื้อและเดินออกไปอย่างเร็วโดยไม่ลังเล

พ่อบ้านฟูรู้สึกโล่งอกเลยเดินตามไปด้วยความเร็ว

มู่เทียนเป็นคนสำคัญแต่เงื่อนไขเดียวที่เธอจะอยู่ข้างกายเขาได้คือเป็นเพียงของหวาน เขาปล่อยให้ช่วงเวลาที่หอมหวานทำตัวเองหลงลืมแผนการได้ยังไง ช่วงนี้ดินแดนแห่งสายลมก็เริ่มที่จะเร่งมือขึ้นทุกวัน งั้นเขาควรที่จะรีบจัดการก่อนจะดีกว่า อาณาเขตของดินแดนแห่งไฟไม่สามารถที่จะต้านทานอำนาจของดินแดนแห่งสายลมได้หรอก

หวังฉิงที่เมื่อกี้แสดงความรักเป็นเด็กๆกลับมาเย็นชาจนไม่มีใครกล้าที่จะเข้าใกล้

ฟางเสี่ยวโหรวที่ยังยืนอยู่ข้างนอกตำหนัก มีเพียงแม่นมหลิวเท่านั้นที่อยู่ข้างกาย เธอไม่อยากที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้และแผนการในอนาคตของเธอก็ต้องมาถูกทำลายหมดเพราะผู้หญิงที่ชื่อมู่เทียน

ตอนนี้องค์ชายกล้าที่จะปฏิเสธคำพูดของเธอได้อย่างไม่ลังเล ต่อไปถ้าอำนาจทั้งหมดตกมาอยู่ที่ตำหนักหิมะใครก็ห้ามองค์ชายไม่ได้

ฟางเสี่ยวโหรวยิ้มอย่างขมขื่น จากตำแหน่งของเธอทำให้มองเห็นองค์ชายที่กำลังยืนชื่นชมดอกไม้ที่กำลังร่วงหล่นอยู่ได้ ทำให้เธอตาบอดซะยังดีกว่าต้องมาเห็นภาพนี้ไปตลอดชีวิต เธอจะได้ยังหลอกตัวเองได้บ้าง

แต่ก่อนองค์ชายแทบจะไม่กล่าวทักทายอะไร เธอก็คิดว่าเป็นเพราะเรื่องความอ่อนโยน แต่เมื่อเทียบกับองค์ชายที่ไม่ยอมละสายตาจากดอกไม้ที่กำลังร่วงหล่น เห็นได้ชัดเลยว่าเขาเป็นคนที่อ่อนแออย่างมาก

กลายเป็นว่าในหัวใจขององค์ชายดอกไม้ที่กำลังร่วงหล่นยังมีความสำคัญมากกว่าเธอซะอีก

“ท่านหญิงโหรว กลับกันเถอะค่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว” แม่นมหลิวเปิดปากพูดออกมาด้วยหัวใจที่เจ็บปวด

เมื่อกี้องค์ชายออกไปโดยไม่มองหน้าภรรยาตัวเองเลยด้วยซ้ำซึ่งดูไร้หัวใจอย่างมาก แต่ในฐานะสาวใช้ แม่นมหลิวจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดอะไรได้ ทำได้แค่เพียงรู้สึกสงสารท่านหญิง คืนนี้คงไม่มีอะไรที่จะทำให้ท่านหญิงของเธอกลับมายิ้มได้อีก