บทที่ 345 เทศกาลโคมไฟ

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 345

เทศกาลโคมไฟ

เหล่าทหารแห่งตำหนักหิมะต้องฟังคำอ้อนวอนของมู่หรงซ้ำไปซ้ำมาอยู่เรื่อย จนสุดท้ายหวังฉิงก็ต้องถอนกำลังกลับไป แต่ก็ยังมีทหารชุดดำอีกห้าคนที่คอยเฝ้าอยู่

ยิ่งวันที่จะต้องเข้าไปเจอท่านพ่อของเขาใกล้เข้ามาเท่าไร หวังฉิงก็ยิ่งไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรอีก

ช่วงนี้มู่หรงเสวี่ยจะขังตัวเองอยู่แต่ในห้องโดยมีเสี่ยวฉิงที่รออยู่ข้างนอกประตูและถ้าองค์ชายมา เธอก็จะร้องรายงาน มู่หรงเสวี่ยเสียงดัง

สองวันต่อมา

“หวังฉิง ข้าอยากจะออกไปเที่ยวข้างนอก เจ้าว่างหรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“ออกไปข้างนอกอีกแล้วงั้นเหรอ?” หวังฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ช่วงนี้มู่เทียนออกไปข้างนอกบ่อยมาก

“อยู่แต่ในตำหนักน่าเบื่อจะตายแล้วข้าก็ไม่ชอบผีเสื้อด้วย” มู่หรงพูดออกมาอย่างไม่พอใจเล็กน้อย

ช่วงนี้เขาเองก็ยุ่งมากและไม่มีเวลาที่จะเที่ยวเล่นกับเธอเลยด้วย อีกอย่างช่วงนี้ดินแดนหิมะกับกินแดนสายลมก็ติดต่อมาบ่อยมาก ถ้าจำเป็นจริงๆเขาก็อยากที่จะแวะไปดินแดนสายลมด้วย เขาเกรงว่าเหตุการณ์สุดท้ายจะทำให้ดินแดนสายลมเหินห่างไปหน่อย

นอกจากนี้การพัฒนาดินปืนก็ยังไม่ค่อยน่าพอใจเท่าไรนัก ยิ่งเมื่อเขาได้รู้ว่าดินแดนดำมืด (เฮยเฉิน)มีกองกำลังทหารที่แข็งแกร่ง แล้วแบบนี้เขาจะยังมีเวลามาเที่ยวเล่นอยู่อีกได้ยังไง

มู่หรงเสวี่ยพูดออกมาอีก “ถ้าเจ้าไม่ว่าง ข้าไปกับเสี่ยวฉิงก็ได้นะ ยังไงซะครั้งที่แล้วเราก็ออกไปกันเองได้ ได้ยินมาว่าวันนี้จะมีเทศกาลโคมด้วย ถ้าไม่ได้ออกไปดูคงน่าเสียดาย”

หวังฉิงมองอย่างจริงไปที่มู่หรงเสวี่ยแต่ก็ไม่เห็นความผิดปกติอะไรจากสีหน้าของเธอเลย เขาหวังว่าตัวเองคงจะคิดมากไปเอง มู่เทียนกับเสี่ยวฉิงก็ออกไปข้างนอกกันบ่อยๆ

เพราะยังไงก็ยังมีเสี่ยวฉิง แต่ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่ออกไปข้างนอกก็จะซื้อของกลับมาด้วยทุกครั้ง แต่ก็จะซื้อแค่เครื่องประดับเล็กๆน้อยๆ ไม่ได้มีอะไรพิเศษ

ช่วงนี้เขาจะคอยให้ทหารชุดดำรายงานว่ามู่หรงเสวี่ยไปไหนมาบ้างและก็ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะค่อนข้างมีความสุขด้วย บางทีเธออาจจะยอมรับเขาแล้วจริงๆก็ได้

“ยิ้มอะไร? แล้วเรื่องที่ข้าถามล่ะ?” มู่หรงถามออกมาอย่างไม่พอใจเล็กน้อย พร้อมด้วยท่าทางแก้มป่องเล็กน้อย

อย่างที่คิดไว้เลย ปากของหวังฉิงยิ้มมากขึ้นไปอีกและกำลังรู้สึกอารมณ์ดี เขาจับไปที่แขนของมู่เทียนอย่างแผ่วเบา “เอาเป็นว่าคืนนี้ข้าจะออกไปดูเทศกาลโคมไฟเป็นเพื่อนเจ้าเอง โอเคไหม?” ถึงแม้เขาจะยุ่งมากแต่เมื่อผู้หญิงอันเป็นที่รักขอ ทำไมเขาจะสละเวลาให้ไม่ได้ล่ะ

มู่หรงดึงไปที่แขนของหวังฉิงเบาๆเพื่อเป็นการแสดงถึงความพอใจ “พูดแล้วห้ามคืนคำนะ?”

“ได้ ข้าสัญญา” หวังฉิงชอบท่าทางเป็นเด็กๆของเธอ

ในตอนบ่ายหวังฉิงก็กลับไปจัดการเรื่องงานต่อจึงออกจากตำหนักหิมะไป และเมื่อได้ยินประตูของตำหนักหิมะปิดลงก็ไม่มีใครรู้สึกถึงความผิดปกติอะไร ตั้งแต่ช่วงที่ผ่านมา ประตูของตำหนักหิมะก็มักจะปิดแน่นไว้เสมอและขนาดฟางเสี่ยวโหรวที่แวะมาเยี่ยมก็ยังไม่ให้เข้าพบเลย

มีครั้งหนึ่งที่มู่หรงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาจึงเรียกพวกทหารชุดดำมาเพื่อจะสั่งสอนฟางเสี่ยวโหรว แต่หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นหวังฉิงกลับไม่ได้ตอบโต้อะไรและไม่ได้ให้ความยุติธรรมอะไรกับฟางเสี่ยวโหรวด้วยซ้ำ

เหล่าสาวใช้ในวังต่างก็จับตามองและซุบซิบกัน ตอนนี้พวกนางต่างก็รู้กันดีกว่าท่านหญิงแห่งตำหนักหิมะกำลังเป็นที่โปรดปรานอย่างมาก

เครื่องบรรณาการที่ส่งมายังตำหนักหิมะก็ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้นไปด้วย ขนาดสถานะของเสี่ยวฉิงเองก็ยังสูงขึ้นไปด้วย เธอมักจะได้รับสินบนจากทั้งแบบลับๆและเปิดเผยอยู่บ่อยๆ ในช่วงแรกๆเสี่ยวฉิงก็จะรู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจแต่หลังๆเธอก็เริ่มที่จะตอบโต้กับเรื่องพวกนี้ได้อย่างดีมากขึ้น

ตอนนี้เสี่ยวฉิงก็ได้เป็นสาวใช้ใหญ่ไปแล้ว และหน้าที่ที่ต้องทำก็สบายขึ้นมากตามไปด้วย

“นายหญิงเจ้าคะ คืนนี้ถ้าองค์ชายไปกับพวกเราด้วยจะทำยังไงดีเจ้าคะ?” กับเสี่ยวฉิงบางครั้งหวังฉิงก็ยังรู้สึกไม่ค่อยพอใจอยู่เท่าไรแต่ก็เลี่ยงอะไรไม่ได้

มู่หรงนั่งดื่มชาอยู่เงียบๆไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจอะไร

ถึงแม้เธอจะถามคนอื่นมาแล้วและรู้ว่าวันนี้หวังฉิงไม่ว่าง แต่ไม่ว่าเขาจะไปด้วยหรือไม่แผนการก็ไม่เปลี่ยนแปลง

“นายหญิงเจ้าคะ” เสี่ยวฉิงมองไปที่มู่หรงเสวี่ยที่กำลังนั่งดื่มชาอย่างไม่ค่อยพอใจ เอาแต่ดื่มชาอยู่นั่นแหละ ท่านหญิงไม่ร้อนรนเลยได้ยังไงกัน

มู่หรงวางถ้วยชาลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร ชานี่รสชาติไม่ธรรมดาเลยจริงๆ “ไม่ต้องห่วงหรอก ใจเย็นๆ”

เสี่ยวฉิงอยากจะดึงผมตัวเองจริงๆ แต่หลังจากที่รออยู่สักพัก เธอก็เห็นว่ามู่หรงเสวี่ยก็ยังมีท่าทีไม่เปลี่ยนแปลง

ในเมื่อท่านหญิงไม่กังวลอะไรเลย งั้นเธอจะกังวลเรื่องอะไรล่ะ?! เสี่ยวฉิงเริ่มที่จะคลายความกังวลของตัวเองลงเล็กน้อยแล้วจึงรินชาให้ตัวเองเหมือนกัน

ในตอนเย็น มู่หรงเสวี่ยและเสี่ยวฉิงเตรียมตัวพร้อมนานแล้ว

อย่างไรก็ตามท้องฟ้าก็เริ่มที่จะมืดลงแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นหวังฉิงมาเลย มู่หรงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “เจ้าออกไปดูหน่อยสิ” มู่หรงพูด

ถ้าหวังฉิงไม่ว่าง เธอก็จะออกไปกับเสี่ยวฉิงเอง พวกเธอจะรอนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว งานเลี้ยงต้อนรับองค์จักรพรรดิจะจัดขึ้นในอีกสองวันนี้แล้ว

“ฮ่าฮ่า พวกเจ้าจะไปไหนกัน?” หวังฉิงเดินเข้ามาพร้อมเสียงพูดอย่างสดใส

ริมฝีปากของมู่หรงเองก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าเจ้าจะลืมซะแล้ว นี่ก็เกือบที่จะแวะไปดูเจ้าที่ตำหนักแล้ว”

สีหน้าของหวังฉิงยังมีร่องรอยของความเหนื่อยล้าแต่ดูเหมือนจะอารมณ์ดีมาก “ในสายตาข้ามีเพียงแค่เจ้านะ” หวังฉิงพูดออกมาอย่างจริงจัง

ปากของมู่หรงสะดุดไปชั่วขณะ “ไม่อายหรือไง มีคนอยู่ตั้งเยอะ”

“จะได้เป็นการบอกให้คนอื่นได้รู้ไงว่าเจ้าเป็นคนพิเศษที่สุดของข้า ดูสิว่าใครยังจะกล้ามาทำอะไรเจ้าอยู่อีกหรือเปล่า” หวังฉิงพูด

“ได้โปรดให้อภัยด้วย” จู่ๆคนกลุ่มใหญ่ก็ทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้น

“ลุกขึ้น”

“ได้ยินมาว่าคืนนี้ที่เทศกาลโคมคนจะเยอะมาก ข้ายังไม่เคยไปงานแบบนี้เลย รีบไปกันเถอะ” มู่หรงเร่ง

“ไม่ต้องห่วงหรอก งานเทศกาลโคมไฟยังไม่เริ่ม…เดินมองทางด้วย เดี๋ยวก็ชนต้นไม้หรอก” หวังฉิงมองไปที่มู่เทียนที่วิ่งอยู่เบื้องหน้าเขาอย่างมีความสุข “เจ้ารีบไปดูท่านหญิงเถอะ” หวังฉิงพูดกับเสี่ยวฉิงที่เดินตามหลังห่างไปมาก

“เจ้าค่ะองค์ชาย” เสี่ยวฉิงตอบรับและรีบวิ่งตามไป ท่านหญิงที่ไม่เชื่อฟังทิ้งเธอให้อยู่กับองค์ราชาและวิ่งไปแล้ว

หวังฉิงมองตามหลังมู่เทียนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม หัวใจอิ่มเต็มไปด้วยความสุขที่ไม่ต้องพูดอะไรออกมา ถ้าเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิตก็คงจะดีมาก

เสี่ยวฉิงหันกลับมาเห็นท่าทางขององค์ชาย เธออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา ถ้าท่านหญิงชอบองค์ชายก็คงจะดีมากเลย น่าสงสารจริงๆ แต่ก็ไม่มีใครสำคัญกว่าท่านหญิง ตราบใดที่เป็นสิ่งที่ท่านหญิงต้องการ เธอจะต้องหามาให้นางให้ได้

ยังไม่ทันที่จะได้ออกจากวังจู่ๆมู่หรงก็หันกลับมาและพูดกับหวังฉิง “น่าจะชวนท่านพี่ออกไปกับเราด้วยนะคะ คนยิ่งเยอะก็ยิ่งสนุกนะ”

ฟางเสี่ยวโหรวที่คิดจะฆ่าเธอตลอดเวลา งั้นเธอคงจะต้องตอบแทนซะหน่อยแล้ว อาหารเช้าเมื่อเช้าไม่คิดเลยว่าจะมียาพิษใส่มาด้วย ถ้าไม่ใช่ว่าเพราะเธอมีทักษะทางการแพทย์ ป่านนี้เธอคงตายไปแล้ว

แต่เมื่อเทียบแล้วครั้งนี้ก็แย่กว่าครั้งอื่นๆอยู่หน่อยเพราะมันทั้งไร้สีและไร้กลิ่นด้วย เธอคิดว่ายาถอนพิษเม็ดสุดท้ายน่าจะถูกใช้จนหมดไปแล้วด้วย

หวังฉิงมองไปที่มู่เทียนอย่างจริงจังและเมื่อรู้ว่าเธอไม่ได้กำลังทดสอบเขาอยู่จึงหันไปพูดกับคนข้างๆ ว่า “ไปบอกองค์หญิงโหรวให้มาชมโคมไฟด้วยกัน ส่วนคนอื่นๆไม่ต้องชวน”

ตอนนี้เขาเองก็ยังไม่มั่นคงเท่าไร ช่วงที่ผ่านมารัฐมนตรีฟาง พ่อของเสี่ยวโหรวก็ได้ยินข่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในตำหนักและบอกให้เขาอดทนกับความเอาแต่ใจของลูกสาวเขาหน่อย

ถึงแม้เขาเองจะอยากชมโคมไปกับมู่เทียน แต่เขาก็ยังต้องคิดถึงเรื่องหน้าที่ด้วย

เมื่อสาวใช้มาแจ้งข่าวกับฟางเสี่ยวโหรว เธอก็แทบจะเก็บซ่อนท่าทางมีความสุขไว้ไม่มิด

“ท่านแม่นม รีบเรียกสาวใช้เข้ามาแต่งตัวให้ข้าเร็ว อย่าให้องค์ชายต้องรอนาน” องค์ชายยังคิดถึงเธอจริงๆด้วย

ดวงตาของฟางเสี่ยวโหรวถึงกับเอ่อล้น ตั้งแต่เรื่องของนักพรตเต๋า องค์ชายก็ไม่เคยแวะมาหาเธออีกเลย ขนาดเรื่องที่วันก่อนมู่เทียนทำร้ายสาวใช้ของเธอและผลักเธอกระเด็น องค์ชายก็ยังไม่เห็นใจเลยสักนิด

เธอคิดว่าองค์ชายเกลียดเธอซะแล้วและทุกวันที่ผ่านมาเธอก็จะใช้ชีวิตราวกับว่ามีมีดมากรีดใจและน้ำตานองหน้าอยู่ตลอด

“ท่านแสนดีขนาดนี้องค์ชายจะไม่ชอบได้ยังไงละเจ้าคะ องค์ชายก็ยังเป็นคนเดิม เอ้าเร็วเข้า พวกเจ้ารีบมาแต่งตัวแต่งหน้าให้ท่านหญิงสิ” แม่นมหลิวเพิ่งจะจ่ายเงินให้พ่อบ้านไปเพื่อแลกกับข่าว

มันก็ไม่ดีเท่าไรที่ได้รู้ว่านายหญิงมู่ก็จะไปด้วย อย่างไรก็ตามเธอก็ไม่อยากที่จะขัดท่าทางที่มีความสุขของท่านหญิง

ไม่เป็นไรหรอกถ้ามันจะทำให้เสี่ยวโหรวมีความสุข

เมื่อฟางเสี่ยวโหรวแต่งตัวเสร็จและเดินออกมาจากประตูวัง เธอก็เจอเข้ากับรอยยิ้มของมู่หรงเสวี่ย เธอแทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองตาย

แต่เพราะไม่อยากจะทำอะไรให้องค์ชายไม่พอใจเธอขึ้นมาอีก

“องค์ชาย” ฟางเสี่ยวโหรวแสดงความเคารพ

ถึงแม้มู่หรงจะไม่จำเป็นต้องแสดงความเคารพเธอ แต่เสี่ยวฉิงที่เป็นสาวใช้ก็ยังต้องทำอยู่ แต่ไม่รู้ว่าฟางเสี่ยวโหรวตั้งใจหรืออะไร เธอจึงไม่ได้บอกให้เสี่ยวฉิงลุกขึ้นแต่กลับเดินไปยืนข้างๆหวังฉิงและเริ่มพูดคุยเลย

มู่หรงเสวี่ยเผยรอยยิ้มแสยะ “หวังฉิง เจ้าช่วยบอกให้สาวใช้ข้าลุกขึ้นทีได้ไหม? นางคุกเข่าอยู่นานแล้วและข้าเองก็ไม่ค่อยจะพอใจเท่าไรด้วย”

หวังฉิงมองไปที่ฟางเสี่ยวโหรวเล็กน้อยแล้วจึงพูดออกมาเสียงเรียบ “ลุกขึ้น”

“ขอบพระทัยเพคะ” เสี่ยวฉิงลุกขึ้นยืนอย่างเชื่อฟังและมายืนอยู่ข้างหลังมู่หรง

ตอนที่หวังฉิงไม่ทันได้มอง ฟางเสี่ยวโหรวก็จ้องไปที่ มู่หรงเสวี่ย

ถึงแม้เสี่ยวฉิงจะไม่ได้บอกให้เธอเตรียมตัวอะไรแต่ก็มีบางคนที่แสดงความไม่พอใจกับมู่หรงเสวี่ยแต่พวกนางก็เป็นแค่สาวใช้เท่านั้นจึงยังมีความเคารพองค์ชายอยู่บ้าง

นี่คิดจะหักหน้าเธองั้นเหรอ ยังคิดว่าจะทำอะไรเธอได้อีกงั้นเหรอ?!

คนอย่างมู่เทียนจะคู่ควรมาอยู่ข้างๆองค์ชายผู้สูงศักดิ์แบบนี้ได้ยังไง

แต่น่าเสียดายที่องค์ชายชอบนางมาก

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้สีหน้าของฟางเสี่ยวโหรวก็หมองลงมาก คืนนี้เริ่มที่จะไม่สนุกแล้วสิ

ทั้งสองข้างของถนนมีโคมไฟทุกประเภทประดับไว้ยาวไปตลอดทาง ถึงแม้จะเคยเห็นแสงสีของเมืองหลวงสมัยใหม่มาแล้ว แต่ก็ยังอดจะถอนหายใจไปกับความฉลาดของคนโบราณไม่ได้เลยจริง

ที่งานเทศกาลโคมไฟ มีคนเดินเท้ามางานกันอย่างล้นหลาม

ธรรมเนียมของดินแดนแห่งไฟก็ดูเหมือนจะเปิดกว้างมากกว่าอีกสองดินแดน มู่หรงเห็นคู่รักหลายคู่เดินจับมือกันเดินชมโคมไฟไปมา ทุกที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ

เมื่อยกม่านขึ้นมู่หรงเองก็อดไม่ได้ที่จะสนุกไปกับบรรยากาศจึงเผยรอยยิ้มอย่างใสซื่อออกมา

หวังฉิงเองมีความสุขไปด้วย ตราบใดที่มู่เทียนมีความสุขมันก็คุ้มค่าที่จะปลีกตัวออกมาจากตารางที่ยุ่งมากของเขา

ส่วนฟางเสี่ยวโหรวที่อยู่อีกข้าง เธอเองก็มีความสุขเช่นกัน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่หวังฉิงจะยินดีรับฟังเธอแบบนี้ แต่ก่อนการจะได้เจอองค์ชายไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อีกอย่างวันนี้หวังฉิงก็ดูจะอารมณ์ด้วย ดังนั้นเธอจึงอดไม่ได้ที่จะปล่อยวางเรื่องของมู่เทียนไปก่อน

ยังมีโอกาสที่จะได้จัดการมู่เทียนอีกมากแต่โอกาสที่จะได้ชมโคมไฟอย่างมีความสุขกับองค์ชายแบบนี้ไม่ได้หาได้ง่ายๆ แน่นอนว่าเธอต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ก่อน