บทที่ 451 สุดท้ายแล้วจะมีปัญญาแค่ไหน

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

ยู่ยี่ไม่เห็น

หรี่ตาเล็กน้อย ฉันทัชเปิดตาอีกครั้ง อย่างอ่อนโยนเช่นเดิม พลางยิ้มอ่อน:“ก็แล้วแต่ เธอไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป แต่ถ้าหากรู้สึกไม่เหมาะสม ก็บอกฉันเลย……”

ยู่ยี่คิดว่าเขาจะพยายามต่อ คิดไม่ถึงว่าเขาจะถอย เธอคิดว่า หรือเขาจะมองอะไรออก?

แต่แววตาของเขาช่างล้ำลึกเหลือเกิน เธอก็เดาไม่ถูก ไม่ได้คิดมากต่อ เธอพยักหน้า

“งั้นก็ดี ตอนนี้พวกเราไปกินข้าวเย็นกัน ของโปรดที่สุดของเธอ ฉันสั่งไว้หมดแล้ว กินเยอะๆหน่อย……” ฉันทัชโอบเธอ นั่งลง

ขณะที่ทานอาหาร ยู่ยี่ก็เอาแต่คิด สรุปแล้วเขามองความผิดปกติของเธอออกมั้ย?

แต่ว่าคิดแล้ว ก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ ที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีลูก รอบตัวก็ไม่ได้มีคนตั้งครรภ์ ผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่คงจะไม่ใช้เวลาว่างมานั่งสนใจเรื่องการตั้งครรภ์พวกนี้ เธอคิดว่า ตนคิดมากไปแล้ว

……

เรนนี่ไปโรงพยาบาล เธอรู้ ช่วงเวลานี้ ที่โรงพยาบาลจะไม่มีคน

อย่างที่คิด มีแค่หัสดินที่นอนอยู่บนเตียงคนเดียว เธอวางของขวัญลง และไม่คิดจะอยู่ต่อ เอ่ยปากพูด:“ฉันรู้ ครั้งที่แล้วที่ฉันมาไม่ใช่เวลาเหมาะ ฉันไม่ควรมา แต่ฉันแค่วางใจไม่ลงจริงๆ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ฉันจะไม่มาแล้ว!”

สายตาของเธออ่อนโยน มันอ่อนยวบมากๆ พูดคำแบบนี้ออกมา ทำให้ไม่ใจแข็งพอที่จะใจร้าย

หัสดินเหงาเล็กน้อย อยู่ในห้องผู้ป่วยมาทั้งวัน แถมบวกกับช่วงนี้อารมณ์หงุดหงิดมากๆ ได้ยินประโยคนี้ เขาเอ่ยปากพูด:“ถ้าหากมีเวลาว่าง ก็นั่งลงแล้วกินข้าวเย็นเป็นเพื่อนฉันสิ……”

เรนนี่ไม่นึกไม่ฝัน จึงไม่ปฏิเสธ ตอบรับ และนั่งลง กินข้าวเย็นเป็นเพื่อนเขา

แน่นอนว่า แต่ก็แค่กินข้าวเย็นเท่านั้น คำพูดที่ไม่จำเป็น หัสดินก็ไม่ได้พูด เรนนี่จ้องไปที่เขา

ความอยากอาหารของหัสดินก็โอเคอยู่ กินไปไม่มาก แต่ก็ไม่น้อย กลับกัน เรนนี่ไม่ได้กินอะไรเท่าไหร่

หลังจากจ้องเขาอยู่นาน เรนนี่ก็ค่อยๆเอ่ยปากขึ้น:“นายยังรอเธออยู่เหรอ?”

เธอ ที่ว่านั่นหมายถึงยู่ยี่ เธอรู้ว่า หัสดินก็รู้

หัวคิ้วเลิกขึ้นด้านบน หัสดินไม่ได้ตอบเธอ แต่พูดว่า:“อาหารรสชาติไม่เลว ฉันชอบ”

“รสปากของนายฉันยังจำได้ เมื่อก่อนนายชอบอาหารร้านนี้ วันนี้ ฉันยังคงสั่งร้านนี้” น้ำเสียงของเรนนี่อ่อนโยนมากๆ

ในใจของเธอนั้นรู้อยู่ชัดเจน ผู้ชายที่ได้รับบาดเจ็บต่างก็ชอบการปลอบอย่างอบอุ่น ใส่ใจ ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เป็นตัวของตัวเอง

“ขอบคุณนะ” ประโยคสองคำนี้ออกมาจากริมฝีปากบางของหัสดิน คำขอบคุณนี้เป็นความจริงใจจริงๆ

“นายก็รู้ ว่าฉันไม่มีวันต้องการคำขอบคุณของนาย……” เรนนี่พูดอย่างอ่อนโยน และเข้าใจผู้อื่น:“ฉันถามนายคำถามสุดท้ายได้มั้ย? ”

หัสดินยักไหล่อย่างขี้เกียจ แสดงท่าทีให้เธอถาม

“ถ้าหากตอนนี้ไม่มียู่ยี่ นายจะเลือกมาแต่งงานกับฉัน มีลูกด้วยกันมั้ย? นี่เป็นคำถามเดียวที่ฉันต้องการได้รับคำตอบ”

ไม่ลังเลเลยสักนิด หัสดินตอบออกมาเลย:“เลือก”

ในใจเขา คำถามนี้ไม่มีค่าพอที่จะให้คิดและสงสัย

เรนนี่ยิ้ม:“คำพูดนี้ทำให้ฉันพอใจแล้ว พักผ่อนเถอะ รอให้นายหลับแล้ว ฉันค่อยออกไป”

หลายวันนี้ นอกจากชฎารัตน์ ธรรมดาแล้วก็ไม่มีใครมา ถึงแม้ว่าจะเงียบจริง แต่สำหรับหัสดินแล้ว มันเงียบเหงาไป

การปรากฏตัวของเรนนี่ตอนนี้สำหรับเขาแล้วมันพอเหมาะพอดีเลย จนทำให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่น และก็ทำให้เขารู้สึกสงบ

อีกฝั่งนึง

เครื่องทำความร้อนกำลังเปิดอยู่ ยู่ยี่ได้หลับไปแล้ว แต่ว่าไฟในห้องนั่งเล่นยังสว่างอยู่ ฉันทัชยังไม่หลับ โน้ตบุ๊กอยู่ตรงหน้า นิ้วเรียวยาวกำลังเคาะกดแป้นพิมพ์อยู่

ไม่รู้เหมือนกันว่าเขากำลังค้นหาข้อมูลอะไร สักครู่ มุมปากก็ยกขึ้น โค้งยิ้มขึ้น ตาซ้ายหรี่เล็กน้อย

และจากนั้น ก็ลุกขึ้น ฉันทัชยืนอยู่ตรงหน้าต่าง แสงไฟกลางคืนด้านนอกหน้าต่างสว่างไสว แสงสีเงินที่หักเหส่องลงมา ได้อารมณ์บรรยากาศที่แตกต่าง

บนแก้มของใบหน้าที่มีมิติมักจะมีรอยยิ้มอ่อนๆ รอยยิ้มอ่อนๆกับฉากหลังของแสงจันทร์ ยิ่งดูเป็นประกายยิ่งขึ้น

จู่ๆฉันทัชก็อยากจะสูบบุหรี่ขึ้นมาเล็กน้อย เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก็ล้วงเจอซองบุหรี่ แต่ก็ฉุกคิด ปล่อยลง ไม่ได้สูบ

เขายืนอยู่ที่หน้าต่างอยู่นาน ประมาณครึ่งชั่วโมง หรืออาจจะเป็นชั่วโมง สองชั่วโมง ราวกับรูปปั้น ใครก็คาดเดาไม่ออกว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไร……

ฉันทัชลูบกระเป๋าเสื้อสูท และหัวเราะออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่การขำแบบไร้เสียง แต่เป็นการหัวเราะออกมาเบาๆ

เสียงหัวเราะเบาๆดูเหมือนจะกะทันหันเล็กน้อยในห้องที่เงียบสงัดกลางดึก แต่กลับน่าหลงใหล

มือใหญ่ที่เห็นข้อกระดูกอย่างชัดเจนยกขึ้นมาลูบคางก่อน และจากนั้นต่อมาก็ตบไปที่ต้นขา นี่คือปฏิกิริยาที่สนุกสุดขีดของเขา……

ชายวัยสามสิบสี่สามารถใช้คำแบบนี้พูด เขาเคยผ่านช่วงขึ้นๆลงๆของชีวิตมาแล้ว ทั้งสุขและทุกข์

โดยเฉพาะ เขาเป็นคนเงียบๆและเก็บตัว ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก แต่ตอนนี้ ยืนอยู่ตรงหน้าหน้าต่าง กลับหัวเราะอย่างสะใจ

อืม รอยยิ้มแบบนี้น่ามองก็จริง แต่จะไม่พูดสักคำก็ไม่ได้ ดึกๆมายืนขำดีใจอยู่คนเดียว ดูแล้วเอ๋อๆเล็กน้อยจริงๆนะ……

หยุดลงอีกจากนั้นสักครู่ ฉันทัชถึงหันมา และนั่งลงข้างๆ

หญิงสาวกำลังหลับสนิท ลมหายใจแผ่วเบา ท่านอนของเธอก็ดี มักจะนอนหลับท่าหงาย ตั้งแต่แรกจนจบ ล้วนแต่อยู่ท่าแบบนี้ ผิวบนใบหน้านั้นเรียบ ราวกับไข่ไก่ที่เพิ่งปอกเปลือก ขาวนุ่ม กระชับ เปล่งประกาย แถมยังอมชมพู เธอแบบนี้ช่างน่าหลงใหลมากๆ……

จ้องมองเธออย่างตั้งใจ ฉันทัชไม่สามารถยับยั้งความใจเต้นและความรู้สึกในหัวใจของเขาได้ โน้มตัว ไปจูบริมฝีปากของเธอ ขณะที่ลมหายใจอันเร่าร้อนระอุออกมา เขาก็งับใบหูที่บอบบางของเธอ และพูดที่ข้างหู:“ขอบคุณนะ ที่รัก……”

เธอหลับลึก จึงไม่รู้ตัว รู้สึกถึงแค่ที่ห้างหูมีไอ ร้อนๆ จั๊กจี้ๆ แต่ก็เธอไม่ได้ลืมตาดู แค่เลียริมฝีปาก และขยับหน้าบนหมอน

เช้าวันถัดมา ยู่ยี่ไม่ได้ไปทำงาน เรื่องที่บริษัทยังไม่คลี่คลาย เธอจึงไม่มีทางได้ไปทำงาน

อาหารเช้าฉันทัชให้โก๋ซื้อกลับมาให้ แบบหวือหวา คนไม่รู้นึกว่าเป็นบุฟเฟ่ต์ในโรงแรม

เมื่อคืนไม่ค่อยได้ทานอะไร ตอนนี้จึงหิวจริงๆ เธอกินเต้าฮวยติดกันรวดเดียวสองชาม แถมยังดื่มนมไปอีกแก้ว และยังกินพายไปอีกชิ้น อยากอาหารมากๆ กินมากกว่าปกติมากๆ

กินเสร็จแล้ว เธอจึงลูบมุมปากและคิด เขาจะเห็นความแปลกประหลาดจากจุดนี้มั้ยนะ?

หางตายกขึ้นเล็กน้อย ยู่ยี่จ้องมองสีหน้าของเขาอย่างระวัง

ยังคงเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนแปลง แขนยาวๆของฉันทัชยื่นออกมาเล็กน้อย ดึงทิชชูยื่นให้เธอ ปฏิกิริยานิ่งๆ……

แบบนี้ ยู่ยี่ก็วางใจแล้ว

พอกินอาหารเช้าแล้ว ฉันทัชก็ออกไป มีเรื่องต้องทำ ในบ้านเหลือแค่ยู่ยี่ เธอง่วงเล็กน้อย ทิ้งตัวลงบนเตียง และงีบไปอีกครั้ง

งีบคราวนี้นานมาก สุดท้าย เธอก็ถูกเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ปลุกให้ตื่น เธอพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง และรับสาย

“ตื่นแล้วเหรอ? ” เขาฟังออกถึงเสียงที่อู้อี้เล็กน้อย และแหบจากน้ำเสียงของเธอ:“ฉันปลุกให้เธอตื่นใช่มั้ย? นอนต่ออีกหน่อย อีกแป๊บฉันค่อยโทรหา……”

เธอกอดผ้าห่มและลุกขึ้นนั่ง ยู่ยี่อดยิ้มอ่อนไม่ได้:“ไม่ได้ดัดจริตขนาดนั้น ยังไงก็ตื่นแล้ว นอนไม่หลับและ นายกำลังทำอะไรอยู่? ”

“เข้าสังคม กินข้าวกลางวัน กลางวันเกรงว่าจะไปกินข้าวเที่ยงกับเธอไม่ได้แล้ว……” ฉันทัชทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย

ยู่ยี่ก็ยังคงยิ้มอยู่:“ไม่เป็นไร นายกินกับคนอื่นไปเถอะ ฉันกินเองได้”

“งั้นตอนเที่ยงเธออยากกินอะไร ฉันให้โก๋ออกไปซื้อ และเอาไปส่งให้เธอ บอกมา เธออยากได้อะไร……”

ยู่ยี่คิดอยู่ครู่ จากนั้นก็พูดขึ้น:“ไม่ต้องหรอก ฉันอยู่ที่บ้านทำข้าวเที่ยงกินเองได้”

“มื้อเย็นล่ะ? ” ฉันทัชเอ่ยปาก ถามต่อ

ถูกเข้าแกล้งจนมักอยากจะหัวเราะ ยู่ยี่ส่ายหน้า:“อะไรก็ไม่เอา ตอนเย็นนายกลับมาเร็วหน่อย จากนั้นฉันทำมื้อเย็น ขอแค่นายรีบกลับมาจะดีมาก”

ความอบอุ่นที่เผยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจนั้นช่างน่าประทับใจที่สุด ความอบอุ่นไหลผ่านเข้ามา ใจและน้ำเสียงของฉันทัชยิ่งอ่อนยวบมากขึ้น เขาตอบ:“โอเค”

ฉันทัชอยู่ที่โรงแรม มีการเข้าสังคมเล็กน้อย เกี่ยวกับปัญหาในโครงการ ตรวจสอบออกมาได้เล็กน้อย ตอนนี้ที่ต้องการคือหลักฐาน

เหตุการณ์นี้ เขาไม่คิดจะยืดเยื้ออีกต่อไป คิดแค่ภายในเวลาที่สั้นที่สุด เร็วที่สุด ต้องคลี่คลายเรื่องนี้ให้ได้

โครงการนี้ในตอนแรกมีปัญหาด้านการออกแบบ มิฉะนั้นก็ยังไม่ได้สร้าง การทรุดตัวจะมาจากไหน?

อีกอย่างก็คือปัญหาจากวัสดุ ตอนนี้ได้พบปัญหาแล้ว แบบนั้นก็ต้องตามตรวจสอบให้ถึงที่สุด

เรนบีพักร้อนอยู่ที่ต่างประเทศ ส่วนข่าวเธอก็รู้ ผู้จัดการเคยส่งข้อความให้เขา ขณะเดียวกันก็เคยโทรหาเขา

เธอไม่ได้มีความคิดที่จะกลับมาแต่อย่างใด แค่อยากจะหลีกเลี่ยงไป

ปัญหาเรื่องใช้วัสดุ โดยทั่วไปบริษัทก่อสร้างทุกแห่งจะได้กินเปอร์เซ็นต์จากมัน ประเด็นปัญหาก็คือจะมากหรือจะน้อย

มีบางพวกกินในนั้นเล็กน้อย แต่บางพวกกับกินซะเยอะ ครั้งนี้ เธอกับผู้จัดการจะทำเกินไปหน่อย

ทั้งสองคนวางแผนย้ายหนีกันเรียบร้อยแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าอยู่ๆโครงการเกิดปัญหาขึ้น มีคนตาย และก็ค้นพบได้ก่อน

จู่ๆ แขนสองข้างก็ถูกคล้องจับจากด้านหลัง เรนบีไม่ทันได้มีปฏิกิริยาอะไร แม้แต่ยังไม่ทันได้หันกลับไปมอง ก็ถูกคนกระชากลากออกไป

หัสดินยังคงรออยู่ เขาสงสัยเล็กน้อย สุดท้ายแล้วฉันทัชจะทนได้สักกี่น้ำ ยู่ยี่ จะทนได้สักเท่าไหร่?

สองวันนี้ ที่เมืองsข่าวถูกแพร่กระจายไปเป็นอย่างมาก ราวกับว่าทุกคนต่างจะโทษผู้รับผิดชอบโครงการ

แค่คิดว่ายู่ยี่ตั้งท้องเด็กนามสกุลเดียวกับฉันทัช ในใจของเขาก็โกรธเกรี้ยวและโมโหอย่างไม่สามารถควบคุมได้

เขารอ รอให้เธอมา

หลายวันที่ผ่านมาใจของผู้จัดการตุ้มๆต่อมๆ ทำให้ยู่ยี่ให้รับโครงการนี้ไปในช่วงระหว่างกลาง ตอนนี้เขารู้สึกเสียดายเล็กน้อย

เรื่องมันเกิดขึ้นนอกเหนือความคาดหมายของเขา นี่คือสิ่งที่เขาเกลียดมากที่สุด อีกสองวัน เขาก็สามารถลาออก จากไป แต่ตอนนี้……

ส่วนฉันทัช สิ่งเดียวที่ผู้จัดการรู้คือ เขากับคนที่รับผิดชอบมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลว ดังนั้นจึงได้ประจบประแจงไม่หยุด

ตอนนี้ยู่ยี่เข้าไปอยู่ในวังวนแบบนี้ สุดท้ายแล้วฉันทัชจะมีปัญญาแค่ไหน ปัญหานี้ เขากังวลใจมาก และก็สนใจมาก