บทที่****137: ความปรารถนาของบุรุษ
ในตอนนี้เจ้าอ้วนกลายเป็นบุคคลไร้ซึ่งเรี่ยวแรงโดยสมบูรณ์ เขารีบดื่มน้ำแห่งองค์ประกอบทั้งห้าทันทีพร้อมเฝ้าดูอาการตัวเองอย่างเร่งรีบ พร้อมกับมองการต่อสู้ตรงหน้าด้วย แม้ว่ายู่เฟิงจะเสียเลือดมากและอวัยวะของเขาถูกทุบจนแตกหัก พร้อมเหลือปราณจิตวิญญาณอยู่ไม่มากนัก สำหรับผู้ฝึกตนบางคนการบาดเจ็บเช่นนี้ไม่เรียกว่าร้ายแรงนัก อีกทั้งพวกเขายังมีความสามารถในการสู้รบอีกด้วย
ในขณะนั้นเขาทั้งรู้สึกหดหู่และมีความสุขในเวลาเดียวกัน ความจริงที่ว่าเขาไม่ได้เป็นคนสังหารมันดังนั้นจึงแปลว่าเขาจะไม่ต้องทุกข์ทรมานกับคำสาป แต่สิ่งที่ทำให้เขาหดหู่นั่นคือไม้ตายของเขาไม่สามารถสังหารยู่เฟิงได้
ก่อนอื่นที่ต้องรู้คือเขาอยู่ในระดับเซียนเทียนขั้นสิบสามและในเขาแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นหลังจากที่สู้กับตู๋เชียนเฉิง คลื่นเสียงของเขามีพลังทำลายล้างมากขึ้น การโจมตีครั้งนี้ของเขาสามารถสังหารผู้ฝึกตนระดับจินตันได้ แต่แล้วการโจมตีครั้งนี้ของเขาไม่สามารถสังหารยู่เฟิงได้ แน่นอนว่ามันจะต้องเป็นพลังการป้องกันของภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าแน่นอน!
ขณะที่เจ้าอ้วนกำลังคิดเรื่องราวต่าง ๆ ยู่เฟิงเช็ดคราบเลือดที่มุมปากของเขาและจ้องมองมาที่เจ้าอ้วนอย่างโกรธแค้น จากนั้นเขาเริ่มการข่มขู่ทันที “ไขมันบัดซบ เจ้าเก่งมาก! ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจ้าจะครอบครองสมบัติเช่นนี้ แต่น่าสมเพชที่เจ้าไม่อาจสังหารข้าได้! ของขวัญที่เจ้ามอบมันให้กับข้า ข้าได้รับมันแล้ว สักวันข้าผู้นี้ขอสาบานว่าจะทำลายเจ้าให้หายไปจากโลกนี้ซะ!”
ความอาฆาตบนใบหน้าของยู่เฟิงในตอนนี้สามารถเปรียบเทียบได้กับอสรพิษผู้หิวโหย แม้ในตอนนี้เจ้าอ้วนจะไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้แต่เขาก็ไม่ใช่คนขี้ขลาดที่จะวิ่งหนีการสู้รบ ดังนั้นเขาจึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นเฉียบ “กล่าววาจาได้ขำขันนัก เจ้ายังคิดว่าจะมีชีวิตรอดกลับไปอีกงั้นสิ? เหอะ ถ้าเช่นนั้นเจ้าคงจะต้องถามศิษย์น้องหญิงว่าเห็นด้วยกับการกระทำเช่นนั้นหรือไม่!”
เมื่อกล่าวเช่นนั้น เขารีบมองไปที่ฉุ่ยจิ้งอย่างมีความหวัง เจ้าอ้วนรู้ตัวเองดีว่าเขาไม่อาจหยุดยู่เฟิงได้ในตอนนี้ ความตายจะมาถึงตัวเขาอย่างแน่นอนหากฝืนที่จะต่อสู้อีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงพึ่งพาฉุ่ยจิ้งเท่านั้น
เมื่อฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น นางเข้าใจทันทีว่าเจ้าอ้วนจะสื่อถึงสิ่งใด จากนั้นนางเผยยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนและกล่าวด้วยความมั่นใจ “ขอให้ศิษย์พี่อาวุโสวางใจเถิด ภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้านั้นถูกหยุดไว้ชั่วคราวโดยท่านแล้ว ศิษย์พี่ยู่เฟิงที่เหลือเพียงแค่สมองในตอนนี้ไม่มีทางจะหนีรอดจากที่แห่งนี้ไปได้!”
แน่นอนว่าเจ้าอ้วนย่อมมั่นใจในตัวของฉุ่ยจิ้งที่มีเคล็ดวิชาเทพธิดาพยากรอยู่ในมือ เมื่อเขาได้ยินนางกล่าวออกมาเช่นนั้น เขารู้สึกผ่อนคลายทันที เพราะก่อนหน้านี้เขากลัวว่ายู่เฟิงจะสามารถหนีไปได้และเปิดโปงสมบัติที่เขาครอบครองอยู่ สมบัติชิ้นนี้มันหยุดการโจมตีของภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าได้และแน่นอนว่าระดับพลังของมันสูงกว่าขั้นแปด
เพียงแค่ภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้ายังสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้มากมายเช่นนี้ ถ้าหากสมบัติของเขาถูกเปิดเผยออกไป มันจะไม่เป็นการเชิญชวนให้ปัญหาใหญ่ตามมาอย่างนั้นหรือ? เช่นนี้เรื่องของระฆังจึงจะต้องถูกเก็บไว้เป็นความลับ แม้จะไม่รู้ว่าฉุ่ยจิ้งรู้เรื่องราวเหล่านี้หรือไม่ แต่เจ้าอ้วนมั่นใจในตัวนางว่านางจะปิดปากเงียบและไม่เปิดเผยมันให้ผู้อื่นล่วงรู้ แต่กับยู่เฟิง อีกฝ่ายไม่อาจมีชีวิตรอดไปได้!
เมื่อได้ยินเสียงของฉุ่ยจิ้งที่ตอบกลับ ยู่เฟิงกล่าวออกมาอย่างรังเกียจ “แม่นางฉุ่ยจิ้ง เจ้าดูมั่นใจเหลือเกิน! แม้ว่าข้าจะไม่มีภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า แต่ก็ยังไม่อาจสังหารข้าได้โดยง่ายเช่นนั้น! ถ้าเจ้าคิดจะจับข้า เหอะ ข้าขอให้เจ้าตื่นจากฝันเสียเถิด!”
เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น เขาทุบหน้าอกของตนเองจนกระทั่งถึงจุดที่บ้วนเลือดออกจากปากก้อนใหญ่ หลังจากคายออกมาเขาไม่ปล่อยให้มันล่วงหล่นสู่พื้น เขาคว้ามันไว้อย่างรวดเร็วและใส่ปราณจิตวิญญาณเข้าไปทันที ด้วยเลือดที่บริสุทธิ์ของเขาสามารถเปิดใช้งานเวทมนตร์ต้องห้ามได้ เขาตะโกนสั้น ๆ “เคล็ดวิชาโลหิตหลบหนี!” ตามเสียงของเขา ร่างกายของเขาทั้งหมดกลายเป็นเงาสีโลหิตพร้อมกับมีปีกสยายออกมาและเริ่มกระพรืออย่างต่อเนื่อง
เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินคำว่า ‘เคล็ดวิชาโลหิตหลบหนี’ เขารีบตะโกนออกมาทันที “หยุดมัน!”
เคล็ดวิชาโลหิตหลบหนีเป็นวิชาที่แข็งแกร่งมากที่สุดของสำนักพันปีศาจ มันใช้เลือดที่บริสุทธิ์เพื่อเปิดใช้งานและทำให้ร่างกายของคนผู้นั้นกลายเป็นเงา ซึ่งสามารถหลบหนีได้ไกลกว่าห้าสิบลี้ ถ้าหากเขาสามารถเปิดใช้งานมันได้สำเร็จ มันจะเป็นเรื่องยุ่งยากทันทีที่จะต้องตามหาเขาภายในหุบเขาแห่งนี้ และคงไม่มีผู้ใดสังหารเขาได้อีก
นอกจากนี้ ในสถานที่แห่งนี้เขาไม่ได้อยู่ลำพัง เขาเป็นถึงศิษย์ของสำนักพันปีศาจ และสำนักพันธมิตรของเขาย่อมให้ความช่วยเหลือเขาอย่างแน่นอน อีกทั้งภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้ายังไม่ถูกทำลาย มันเพียงแค่ถูกผนึกใช้งานไว้ชั่วคราวเท่านั้น อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า มันจะสามารถฟื้นคืนกลับมาใช้งานได้ตามปกติ ในขณะนั้นแม้ว่าจะจับตัวเขาได้ก็คงไม่สามารถจะเอาชนะได้อีกครั้ง! ในตอนนี้เจ้าอ้วนได้รับชัยชนะเนื่องจากยู่เฟิงประมาทเกินไป ในครั้งต่อไปคงไม่ง่ายที่จะจับเขาไว้ด้วยระฆังทองแดง
เมื่อมองเห็นเคล็ดวิชาโลหิตหลบหนีพร้อมกับมองใบหน้าที่หดหู่ของเจ้าอ้วน ฉุ่ยจิ้งยังคงอยู่ในสภาวะสงบเช่นเดิม นางยกมือซ้ายขึ้นและเริ่มการทำนาย จากนั้นมือขวาของนางยิงเหรียญชะตาฟ้าดินออกไปทั้งหกเหรียญ สร้างกำแพงสีทองไว้ที่ด้านซ้าย
เคล็ดวิชาโลหิตหลบหนีของยู่เฟิงและเหรียญชะตาฟ้าดินของฉุ่ยจิ้งถูกเรียกใช้งานพร้อมกัน แต่ความจริงคือฉุ่ยจิ้งเร็วกว่าเขาเพียงเสี้ยวนาที จึงทำให้ยู่เฟิงพุ่งชนเข้ากับกำแพงสีทองอย่างรุนแรง ทั้งที่มีทิศทางอื่นให้พุ่งไปอีกมากมาย ทำให้ร่างกายของเขากระเด็นถอยหลังทันที
ในขณะนั้นยู่เฟิงตกอยู่ในอันตรายอย่างสมบูรณ์ เคล็ดวิชาโลหิตหลบหนีนั้นรวดเร็วอย่างมากแต่ถ้าหากมันถูกขัดขวางนั้นหมายความว่าความเร็วของมันจะลดฮวบลงอย่างน่าตกใจ อย่างไรก็ตามฉุ่ยจิ้งไม่มีเจตนาที่จะสังหารเขา นางจึงสร้างกำแพงขังเขาไว้เท่านั้น
แต่เพื่อที่จะหยุดเขาไว้ นางจึงใช้กำแพงสีทองจับกุมหัวไหล่และขาของเขาไว้อีกด้วย ส่งผลให้ยู่เฟิงที่น่าสังเวชไม่สามารถขยับตัวในพื้นที่แคบเช่นนั้น แม้ว่าลำตัวของเขาจะไม่ถูกควบคุม แต่การถูกกระชากกลับเช่นนี้ส่งผลกระทบใหญ่หลวงให้กระดูกซี่โครงของเขาถูกทำลายไปสองถึงสามซี่ อวัยวะภายในที่ไม่อาจรับแรงกระชากเมื่อครู่ได้ฉีกออกอย่างรวดเร็ว ราวกับทุกสิ่งถูกทุบจนแตกหักดั่งข้าวต้มในหม้อ
เมื่อเผชิญหน้ากับอาการบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ยู่เฟิงไม่สามารถกล่าวสิ่งใดออกมาได้อีกแถมยังรู้สึกว่าร่างกายจะฉีกออกเป็นชิ้น ฉุ่ยจิ้งเกรงกว่าเขาจะตายตกไปจริงและตนเองจะพบเจอกับคำสาป ดังนั้นนางจึงวิ่งไปด้านหน้าเพื่อตรวจสอบและใช้เวทมนตร์วารีเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดของเขา จากนั้นจึงใช้ยาอายุวัฒนะกับเขาให้อาการของเขาดีขึ้นเล็กน้อยพร้อมหันไปกล่าวกับเจ้าอ้วน “ขอบคุณศิษย์พี่ที่ช่วยเหลือข้าในวันนี้! ถ้าหากไม่ใช่ท่าน ศิษย์น้องหญิงคงจะต้องตายตกไปอย่างแน่นอน!”
เจ้าอ้วนโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ศิษย์น้องสุภาพกับข้าเกินไปแล้ว ด้วยเคล็ดวิชาเทพธิดาพยากร เจ้าจะพบเจออันตรายได้อย่างไร? แน่นอนว่าเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงโชคร้ายได้เสมอ แม้ว่าไม่เจอข้า!”
เมื่อฉุ่ยจิ้งได้เช่นนั้น นางหัวเราะออกมาเล็กน้อยและไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ แต่นางกลับรู้สึกโศกเศร้าอยู่ในใจ ‘ไร้สาระ เจ้าคือผู้ที่นำโชคร้ายเข้ามาในชีวิตข้า ถ้าหากไม่มีเจ้า ข้าจะพบอันตรายได้อย่างไรกัน? ถ้าหากข้าไม่พบเจอกับอันตราย แล้วข้าจะจบเรื่องยุ่งเหยิงทั้งหมดนี้กับเจ้าได้อย่างไร? ท่านอาจารย์กล่าวถูก การที่ข้าออกมาท่องเที่ยวในครั้งนี้ ข้ากับเจ้าจะไม่สามารถแยกออกจากกันได้อีกตลอดชีวิต!’
ในขณะที่นางกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ใบหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที นางกลัวว่าเจ้าอ้วนจะมองเห็นว่านางกำลังอับอาย นางจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “ศิษย์พี่ ระฆังใบนี้ได้ทำให้ศิษย์หลายร้อยคนพัฒนาตนเองขึ้น และยังช่วยให้ศิษย์ที่มีอาการตีบตันเลื่อนระดับได้อย่างอัศจรรย์ ข้าคิดว่ามันมีสมบัติซ่อนอยู่ด้านใน”
“เหอะ ๆ!” เจ้าอ้วนเพียงหัวเราะเสียงเบา ทว่าไม่ได้ตอบกลับสิ่งใด
เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนเงียบ ฉุ่ยจิ้งรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย จากนั้นนางจึงเผยยิ้มเล็กน้อยพร้อมกล่าวต่อ “ศิษย์พี่ ข้าได้ยินมาว่านักบวชฮัวอวิ๋นทำการแลกเปลี่ยนระฆังใบนี้กับดาบแห่งธาตุทั้งห้ากับท่านเพราะคิดว่ามันคือสมบัติวิญญาณ ถ้าหากข้าเดาไม่ผิด เขาเอาไปเพียงเปลือกนอกของระฆังเท่านั้น แต่สมบัติที่แท้จริงซ่อนอยู่ภายใน ข้ากล่าวถูกหรือไม่?”
เมื่อเห็นว่าฉุ่ยจิ้งสามารถคาดเดาเรื่องนี้ได้ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนทันทีพร้อมกล่าวออกมาอย่างอ้อนวอน “ศิษย์น้อง ศิษย์น้องหญิง ในตอนนี้ศิษย์พี่ผู้นี้อยากจะขอร้องเจ้า ช่วยทำเหมือนว่าเจ้าไม่เคยพบเจอสมบัติชิ้นนี้ ได้หรือไม่?”
เมื่อเห็นใบหน้าของเจ้าอ้วนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ฉุ่ยจิ้งไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากเผยรอยยิ้มอย่างยินดี จากนั้นนางจึงถามอีกครั้ง “แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะเก็บมันเป็นความลับ แต่หากมีค่าใช้จ่ายสักเล็กน้อยมันก็จะช่วยให้ปากของข้าปิดสนิท ดีหรือไม่ศิษย์พี่?”
“ตกลง!” เจ้าอ้วนตอบตกลงทันทีพร้อมชี้ไปยังกระเป๋ามิติเก็บของสามชิ้นที่หล่นอยู่บนพื้นพร้อมกล่าวออกมาอย่างสุภาพ “ทุกอย่างเป็นของเจ้า พอหรือไม่?”
“ศิษย์พี่เป็นคนใจกว้างยิ่งนัก!” เมื่อฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น นางรีบตรวจสอบกระเป๋ามิติทั้งสามอย่างรวดเร็ว กล่องหยกสีทองสามชิ้นปรากฏขึ้นในมือของนาง นางถือมันไว้พร้อมส่ายไปมาและถามเจ้าอ้วน “ผลไม้วิญญาณสามชิ้น ศิษย์พี่จะมอบมันให้ข้าอย่างนั้นหรือ?”
นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าอ้วนรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา จากนั้นเขากล่าวกับตนเองในใจ ‘สารเลวยู่เฟิงผู้นี้รวดเร็วเกินไปแล้ว มันมีผลไม้วิญญาณมากกว่าข้าถึงสองผล!’
แต่แม้ว่าจะรู้สึกหงุดหงิด แต่เขาก็กล่าวออกมาอย่างชาญฉลาด “สุภาพบุรุษกล่าวแล้วไม่คืนคำ! ถ้าหากข้าได้กล่าวออกไปแล้วว่าจะมอบมันให้กับเจ้า ข้าก็จะไม่คืนคำพูดเด็ดขาด!”
ฉุ่ยจิ้งมองตาเจ้าอ้วนพลางพิจารณา ราวกับนางกำลังตรวจสอบว่าเขากำลังกล่าวเท็จหรือไม่ เจ้าอ้วนจ้องตากลับอย่างไม่เกรงกลัว ในขณะที่ได้มองใบหน้าที่งดงามของนางโดยไม่ระมัดระวัง คำพูดพลันผุดภายในใจของเขา ‘แน่นอนว่าเจ้านั้นพิเศษสำหรับข้า นางช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน สิ่งสำคัญคือนางฉลาดมาก ราวกับถูกส่งลงมาจากสรวงสวรรค์ นางเกิดมาจากสิ่งใดกันจึงได้งดงามเช่นนี้?’
เมื่อเผชิญหน้ากับดวงตาที่ปราศจากความชั่วร้ายของเจ้าอ้วน ฉุ่ยจิ้งจึงลดละการจ้องมอง นางเก็บผลไม้วิญญาณเข้ากระเป๋าอย่างรวดเร็วพร้อมกล่าวออกมาอย่างจริงจัง “ถ้าหากศิษย์พี่กล่าวเช่นนั้น ศิษย์น้องหญิงก็จะขอเก็บมันไว้เอง!”
หลังจากนั้น ฉุ่ยจิ้งหยิบเอาภาพวาดหญิงงามทั้งเก้าที่ตกอยู่ข้างยู่เฟิงออกมาและถามว่า “ศิษย์พี่ เราควรจะทำเช่นไรกับสมบัติชิ้นนี้?”
ด้วยความซื่อสัตย์ทั้งหมด แน่นอนว่าเจ้าอ้วนถูกล่อลวงด้วยภาพวาดนี้เรียบร้อยแล้ว กล่าวคือมันไม่ได้มีเพียงความสามารถในการสู้รบเท่านั้น ในสถานการณ์ปกติมันยังสามารถใช้งานได้อีกมากมาย หนึ่งในการใช้งานนั้นเป็นสิ่งที่ดึงดูดเหล่าสุภาพบุรุษได้ นั่นก็คือใช้เพื่อเก็บตัวฝึกฝน!