จวินโม่เซี่ย ยกจอกสุราของเขาขึ้นและระบายมันออกไปพร้อมหลับตา เขานนั้นจำบทกวีได้แต่มิอาจร้องมันออกมาได้
” ความตายในวันนี้คืออะไร ? มันยากที่จะต่อสู้กับศึกแห่งชีวิต นี่เป็นเพียงแผนการจากผู้จากไปในอดีต พญามัจจุราชสังหารชนมากมาย ! “
จากนั้นเกิดเสียง ปั้ง ! ….. จวินโม่เซี่ยขว้างจอกของเขาลง ร่างของเขาปรากฏสูงตระหง่าขณะที่เขานั่งอยู่บนหลังม้า และประกาศ
” ไม่จำเป็นต้องบอกว่า สกุลของพวกเจ้าทั้งสามร้อยจักได้รับการดูแลจากสกุลจวินตั้งแต่บัดนี้ ไม่ว่าตอนที่พวกเขาแก่ ..หรือการแต่งงาน … พวกเขานับเป็นสกุลของเราตราบใดที่สกุลจวินยังคงอยู่ ! ข้า จวินโม่เซี่ย ข้าไม่ปล่อยให้พวกเขาสักคนต้องทำผิดพลาด ! “
” ขอบคุณมาก คุณชายน้อยจวิน ! พวกเราจักตอบแทนความช่วยเหลือนี้ในชาติหน้า ! “
ใบหน้าของบุรุษทั้งสามร้อยแสดงถึงความสำนึกบุญคุณ พวกเขาฝึกฝนตัวเองเพื่อ ศึกชี้ชะตานี้ แต่ มิใช่เพียงเพราะความกล้าหาญและความสูงส่งของจวินวูอี้ …แต่มันเป็นเพราะกฏอัยการศึกเช่นกัน ! พ่อแม่ ลูก ภรรยา ของพวกเขา…สกุลของพวกเขาจักต้องพบกับความเสื่อมเสียหากพวกเขาหวาดกลัวการต่อสู้ เช่นนั้น พวกเขาจึงต้องตื่นตัวเข้าไว้ สถานการณ์นั้นยากลำบากนัก แต่พวกเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้
แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังคงหวาดกลัวความตาย วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่และสูงส่งอาจจะได้พบกับชะกรรมอย่างมีเกียรติ…โดยที่ไม่ต้องได้รับการตำหนิใดมาตั้งแต่ครั้งอดีต แต่ พวกเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเดินเข้าสู่ความตาย และ มันเป็นเช่นเดียวกันกับบุรุษเหล่านี้ในเวลานี้
อย่างไรก็ตาม พวกเขารู้สึกว่าพวกเขากำลังจะตายไปพร้อมกับสหายรักเมื่อได้ยินสิ่งที่จวินโม่เซี่ยเอ่ย ! พวกเขารู้ว่าจะต้องตายใน ศึกชี้ชะตา ที่จะเกิดขึ้นนี้ และพวกเขาก็อดที่จะคิดถึงสกุลของพวกเขาได้ในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม คนที่พวกเขามองด้วยสายตาที่เบื่อหน่ายที่สุดกลับมอบความสบายใจให้แก่พวกเขา และ คำสัญญาที่จริงจังก็ทำให้พวกเขารู้สึกโล่งใจ
บุรุษมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ? พวกเขาตรากตรำลำบากเพื่ออะไร ? พวกเขาต่อสู้แลกเลือดเนื้อไปเพื่ออะไร ? พวกเขาทำมันเพื่อพ่อแม่ ภรรยา และลูกๆ ความคิดถึงความมั่งคั่งและชื่อเสียงนั้นเป็นรอง … โดยเฉพาะก่อนการต่อสู้ถวายชีวิตเป็นครั้งสุดท้าย
สิ่งเดียวที่พวกเขาเป็นกังวลคือครอบครัวที่อยู่เบื้องหลัง แต่ จวินโม่เซี่ยได้สัญญาที่จักแก้ปัญหานี้ พวกเขาไม่รู้ว่าเขาได้ตัดสินใจไปเนื่องจากความรู้สึกผิด แต่ พวกเขายังคงรู้สึกเชื่อมั่น
พวกเขาจักเผชิญกับความตายอย่างสงบ !
จากนั้น บุรุษสามร้อยคุกเขาและดื่มสุราของพวกเขา จากนั้น พวกเขามองจวินโม่เซี่ยล้ำลึกก่อนที่จะยืนขึ้น จากนั้นพวกเขาเดินไปตามเส้นทาง …โดยไม่หันหลังกลับมา … หรือแม้แต่หันมามอง
” นี่เป็นเพียงแผนการของผู้ที่สูญเสียไปในอดีต พญามัจจุราชสังหารชนมากมาย !”
จวินวูอี้หัวเราะ และเอ่ยต่อ
” นี่เป็นกวีที่ยอดเยี่ยม มีพี่น้องที่ดีของข้าอยู่มากมายที่นั่น ! ”
จากนั้น เขาจึงสั่งด้วยเสียงต่ำ
” ไป !”
ทหารม้าสองหมื่นลงจากม้า คุกเข่า และเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
” พวกเราคาราวะท่านแม่ทัพ ! ขอให้เขากลับมาอย่างปลอดภัยและรุ่งโรจน์! ”
” ของให้เขากลับมาอย่างปลอดภัยและรุ่งโรจน์ ! “
วาจานั้นทำให้ร่างของจวินวูอี้แข็งทื่อ แต่ เขาก็มิได้หันไปมอง ร่างของสามพี่น้องตงฟางตั้งตรงขณะที่พวกเขาผลักเก้าอี้เลื่อนไปช้าๆ ….
เสียงสะอื้นจางๆ ดังให้ได้ยินอยู่ด้านหลังพวกเขา เหล่าทหารสองหมื่นที่คุกเข่าอยู่ไม่อาจยืนขึ้นได้
ธงของ นครสวรรค์ใต้ โบกสะบัด
กองกำลังสี่พันรอคอยอย่างเงียบๆอยู่ที่ประตูเมืองอย่างเป็นระเบียบ จวินวูอี้อยู่บนเก้าอี้เลื่อนของเขา มองดูสงบสุข ไม่ว่าเขาจะรอดหรือตาย … ไม่สำคัญ เขาได้ปล่อยวางความคิดถึงความเป็นตายแล้ว
เซี่ยวฮั่น และ คนอื่นๆยืนอยู่อย่างเป็นระเบียบ พวกเขามองจวินวูอี้อย่างมีหวัง เล่ห์เหลี่ยมอันล้ำเลิศของพวกเขาสำเร็จแล้ว เช่นนั้น ตอนนี้พวกเขาจึงมองไปอย่างพึงพอใจ ผู้ที่จะแทงข้างหลังนั้นมิได้โชคดีในวันนั้น … ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ! พวกเขาไม่จำเป็นต้องลงมือเองเนื่องจากอุบายนี้จะถูกต้องตามเหตุผล ตอนนี้เขาถูกบังคับให้เข้าสู่อันตราย และไม่อาจเดินทางกลับมาได้อีก !
ลีจื้อเทียน เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เล้ยวูเบ้ย ฉีฉางเซี่ยว เฟิงจวนจุ้น ยืนอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ บุรุษทั้งห้า มองออกไกลจากฝั่งของพวกเขา ลี่เติ้งหยวน และ คนอื่นๆจาก สกุลลี่ทรงอำนาจยืนอยู่ด้านหลังพวกเขาในฐานะผู้ชมการต่อสู้ แต่ละคนมีสีหน้าที่ต่างออกไป ชัดเจนว่าพวกเขานั้นมีความคิดที่แตกต่างไปเช่นกัน
” การตอสู้ในวันนี้ไม่อาจประเมินได้จริงหรือ ?”
เฟิงจวนจุ้นสวมชุดคลุม ผม และฝักกระบี่สีดำตระหง่าอยู่บนร่าง เขายืนตรงราวทวนหอกขณะที่มองไปยัง จวินวูอี้ที่สงบนิ่งผู้ที่อยู่หน้าสุดของขบวน เขารู้สึกเสียใจ
บุรุษผู้เป็นเลิศจะต้องตายต่อหน้าข้าและข้าไม่อาจช่วยอันใดได้ !
” ไม่มีโอกาสที่จะเป็นไปได้เลย ! ”
ใบหน้างของเหยี่ยมผู้โดดเดี่ยวหม่นหมอง และดวงตาของเขามีร่องรอยแห่งโทสะที่สั่นคลอนอยู่ เขาเกือบที่จะทนไม่ไหว เขามิเคยแสดงความเคารพต่อ ลีจื้อเทียน แม้แต่น้อย แต่ ความไม่พอใจต่อคนผู้นั้นของเขานั้นมาถึงจุดสิ้นสุด วันนั้นเป็นครั้งแรกที่บุรุษทั้งสองซึ่งเป็นปฏิปักษ์กันมาครึ่งชีวิต เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และ เฟิงจวนจุ้น มีความคิดเดียวกัน
ฉีฉางเซี่ยว ยืนอยู่ข้างๆ เขาก็แสดงความรู้สึกถึงเหตการที่เกิดขึ้นบนสีหน้า เล้ยวูเบ้ย ยืนหน้านิ่ง และ ลีจื้อเทียน ยืนเอามือไขว้หลัง สีหน้าของเขาสงบนิ่ง แต่ มีประกายแห่งความทะนง นี่แสดงให้เห็นว่า เขาเชื่อว่ามีเพียงเขาผู้เดียวที่เป็นเลิศไม่อาจเทียมทาน
ลีจื้อเทียน ถือตัวเองเป็นใหญ่ ความคิดของผู้อื่นนั้นไม่สำคัญกับเขา
ข้าจะเป็นคนตัดสินใจว่าวิธีของข้านั้นจักยอดเยี่ยมหรือน่าอับอาย ! ข้าจะกำจัดทุกผู้ที่ปฏิเสธข้า ! แม้นว่าเจ้าเป็นยอดปรมาจารย์ที่มีชื่อเทียบเท่าข้า …. ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ! ข้าจักจัดการเจ้าในตอนที่เจ้ากล้าแม้เอ่ยปาก ! หมัดนั้นเป็นเหตุผลที่แข็งแกร่งที่สุด !
เฟิงจวนจุ้นถอนใจ
ทันใดนั้นเขาก็ตั้งใจว่าจักเป็นยอดปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุด บุรุษผู้นั้นไม่เข้าใจถึงความรู้สึกที่แปลกประหลาดนี้ แต่ เขาเบื่อหน่ายกับพฤติกรรมของ ลีจื้อเทียน
จักเป็นอย่างไรหากเขาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสองในโลก ? เขาจักทำตัวกดขี่ข่มเหงเมื่อเขาต้องการปิดบังจุดอ่อน ! ตัวเขานั้นไร้ซึ่งใสิ่งใดดีเลย … เว้นเสียแต่ความแข็งแกร่งสะเทือนโลกาของเขา !
ยิ่งกว่านั้น เฟิงจวนจุ้น ไม่อาจทนต่อการรวมมือกับของ มณฑลฉือฮั่น และ นครพายุหิมะสีเงิน ในการจัดการเรื่องนี้
พวกเขาหยุดความแค้นส่วนตัวในช่วงเวลาสำคัญนี้ได้อย่างไรกัน ?
เจ้ารู้ดีว่าการต่อสู้นี้จักตัดสินอนาคตของ ยอดฝีมือเชวียน และ ป่าเถียนฟา แล้ว … เข้ายังสมคบคิดกันให้คนผู้นั้นนำกองกำลังไปติดกับในช่วงเวลาอันสำคัญนี้ ยิ่งกว่านั้น เจ้ายังรีบไปช่วยสมาชิกระดับสูงของเจ้าเอง ! เจ้าไม่รู้สึกผิดชอบชั่วดีหรืออย่างไร ? คุณธรรมของเจ้าอยู่ที่ใดกัน ?
ยิ่งกว่านั้น ลีจื้อเทียน และ นครพายุหิมะสีเงิน ยังมีกำลังคนมากพอที่จะล่าถอยอย่างปลอดภัย หาก อสูรเชวียนชนะในสงครามนี้ แต่ชีวิตของเหล่าคนสามัญจักตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงหากการก่อกบฏนี้คืบคลานเข้าภายในอาณาจักร !
มันจักกลายเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้าย ! ลีจื้อเทียนและเหล่ายอดฝีมือเทพเชวียนเหล่านี้มองไม่เห็นมันหรืออย่างไร ? นครพายุหิมะสีเงิน อาจจะล่าถอยไปยังยอดเขา และ รักษาระยะห่างออกจากทุกสิ่ง แต่ ไม่อาจอยู่ห่างจากโลกภายนอกนี้ได้ตลอดไป !
เฟิงจวนจุ้นนั้นเป็นยอดฝีมือกระบี่ที่โดดเดี่ยวและเป็นอิสระ แต่ เขานั้นเป็นคนที่เยือกเย็นภายนอกอบอุ่นภายใน และมีความกล้าหาญ เขาไม่ยอมใช้แผนการที่มีเล่ห์เหลี่ยม หรือใช่ความแข็งแกร่งของตัวเองเพื่อกลั่นแกล้งผู้ที่อ่อนแอ วิธีการต่ำช้าเช่นนี้ไม่เหมาะสมกับวีรบุรุษในความคิดของเขา เขาไม่อาจยอมให้เกิดขึ้นได้
การเป็นยอดปรมาจารย์นั้นมีประโยชน์อันใดหากมีนิสัยเช่นนี้ ? ชื่อเสียงของเหล่ายอดปรมาจารย์นั้นจะไม่หม่นหมองหากเราพ่ายแพ้สงครามนี้ และหายนะนี้คืบคลานเข้าสู่อาณาจักรหรอกหรือ ? เราจักกำจัดความอับอายนี้ออกไปได้อย่างไร ? ยอดปรมาจารย์จักมีชื่อเสียงได้อย่างไรหลังจากเรื่องนี้ ?
” ข้าจักรู้ถึงการรอดในการต่อสู้นี้ได้อย่างไร ? โอ้ว …. เพียงแค่เสี่ยงชีวิตคนสี่พันออกไปต่อสู้อย่างนั้นหรือ ? เราจักทำอะไรได้ ? เช่นนั้น เราไม่ไปนั่งดูละครกันดีกว่า ? “
เฟิงจวนจุ้นคำรามทางจมูกและเอ่ยต่อ
” ข้าเดินทางมาไกลเพื่อช่วยต่อสู่ที่นครสวรรค์ใต้ ! แม้แต่คนสามัญทั่วไปยังส่งกองกำลังมา และ มณฑลฉือฮั่น ส่งเพียงแค่ลูกกระจ๊อกไป เหตุใดเจ้าไม่ส่งข้าไปต่อสู้ ? เจ้าส่งไปเพียงแค่ยอดฝีมือ สวรรค์เชวียน และ ปฐพีเชวียน จำนวนหนึ่ง มันจะใช้การอะไรได้ ? “
เขานั้นเป็นคนที่ทะนงและอดทนอย่างมาก แต่ ตอนนี้เขามิอาจทนได้อีกต่อไป ความจริง คนผู้นี้จักเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาแม้นจะอยู่ตรงหน้าพระพักต์องค์จักรพรรดิ
” ใช้การอันใดได้ … ข้าเกรงว่านั่นมิใช่การตัดสินใจของเจ้า เฟิงจวนจุ้น และ มณฑลฉือฮั่นของข้าก็ไม่ได้ใช้ยอดฝีมือระดับสูงเช่นเจ้าเป็นคนรับใช้ ! ”
ลีจื้อเทียน เอามือไขว้หลัง เขาไม่หันมาแม้นขณะเอ่ยอย่างนุ่มนวล
” พี่เฟิง สามารถถอนตัวได้หากพบว่าสิ่งนี้ไม่เป็นที่พอใจ และ เขายินดีอย่างยิ่งหากเขารู้สึกว่าข้านั้นผิดพลาดและรู้สึกว่ากำลังจะสอนบทเรียนแก่ข้า ! ”
” ข้าไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะสั่งสอน ยอดปรมาจารย์ เทียน ข้ารู้ ”
เฟิงจวนจุ้นตอบกลับเยือกเย็น
” ข้าไม่ต้องการสั่งสอนเจ้า ”
วาจาของเขานั้นสื่อความหมายที่ชัดเจน …
ข้าจักต้องเจียมตัวหากจัดโจมตีเจ้า
” เฟิงจวนจุ้น ข้าถือว่าเจ้าเป็นยอดปรมาจารย์ ! แต่เจ้ายังไม่มีความสุขในสิ่งที่เจ้ามีอยู่ ! เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ใด ? เจ้าคิดว่านี่คือใคร ? เมื่อใหร่กันที่เจ้ากล้าไร้เหตุผลต่อหน้าพ่อของข้า ? “
ลี่เติ้งหยวนกระทืบเท้า และตะโกนขึ้นด้านหลังของเขา
สีหน้าของ เฟิงจวนจุ้น เยือกเย็นราน้ำแข็ง
” ปั้ง ! ” ลี่เติ้งหยวน ตีลังกาลอยขึ้นไป ใบหน้าของเขาบวมเป่ง
” เจ้าสำคัญตัวเกินไปแล้ว เจ้าเหลือขา ! เจ้ากำลังตั้งคำถามจากผู้ที่ชื่อ เฟิงจวนจุ้นอย่างนั้นหรือ ? “
ร่างสองร่างกระโจนเข้าใส่กัน แต่ การโจมตีนั้นเป็นการกระทำของ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถเคลื่อนไหวได้เร็วเท่า เฟิงจวนจุ้น
เขาได้เห็นมือของ เฟิงจวนจุ้นขยับ และเข้าใจถึงความความท้อใจที่ส่งออกมา ดังนั้น ข้าจึงพุ่งไปตบ ลี่เติ้งหยวน ก่อน ความจริง เขาได้ตบไปที่ ลี่เติ้งหยวนแล้วในตอนที่มือของ เฟิงจวนจุ้นเคลื่อนไปถึงปลายด้ามกระบี่
เฟิงจวนจุ้นคือใคร ? เป็นผู้ที่ ลี่เติ้งหยวน สามารถดูหมิ่นได้อย่างนั้นหรือ ? ลี่เติ้งหยวน นั้นเป็นลูกของยอดปรมาจารย์อันดับสอง แต่ เขานั้นเป็นเหมือนมดปลวกในสายตาของ เฟิงจวนจุ้น จวินโม่เซี่ยอาจใช้กวีจากอดีตเพื่อบ่งบอกถึง เฟิงจวนจุ้นได้
” สังหารคนทุกสิบย่างก้าว และเมื่อถึงหมื่นลี้ก็ไม่เหลือผู้ใด “
ไม่มีผู้ใดในโลกนี้สามารถช่วย ลี่เติ้งหยวน หากมือของ ลี่เติ้งหยวน เคลื่อนไปถึงด้ามกระบี่ ถ้า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ไม่เคลื่อนไหวเสียก่อน แม้แต่ ลีจื้อเทียน ก็ไม่อาจช่วยลูกชายของเขาได้ เฟิงจวนจุ้น มีความแข็งแกร่งเท่ายอดปรมาจารย์เมื่อเขามีกระบี่อยู่ในมือ ไม่มีกระบี่ใดสามารถช่วย ลี่เติ้งหยวน ไว้ได้หากเขาโจมตี
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว จึงเคลื่อนไหวและ สั่งสอนบทเรียนแก่ ลี่เติ้งหยวน การทำเช่นนี้ไม่เพียงแค่ช่วยชีวิตของเด็กชายผู้นั้นไว้ แต่ยังช่วยชีวิตของ เฟิงจวนจุ้น ไว้อีกด้วย สุดท้ายแล้ว ลีจื้อเทียน ก็จะไล่ล่าเขาหากเขาสังหาร ลีจื้อเทียน เมื่อนั้น ชีวิตของ เฟิงจวนจุ้น ก็จบลงเช่นกัน
เป็นการแลกชีวิตของ เฟิงจวนจุ้น กับชีวิตของ ลี่เติ้งหยวน แต่ ชีวิตชั้นต่ำชั่วช้าเช่นนั้นไม่คู่ควร !
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ต่อสู้กันมานับ ทศวรรษ แต่ค่อยๆรับรู้ถึงคุณค่าของกันและกันมาตลอดหลายปี พวกเขาจึงกลายเป็นสหายกัน ทั้งๆที่พวกเขาเป็นคู่แข่งกัน ดังนั้นจึงเป็นปกติที่เหยี่ยมผู้โดดยเดี่ยวจักเป็นคนคลี่คลายสถานการณ์แทน
อีกคนที่เคลื่อนไหวคือ ฉีฉางเซี่ยว ตรงข้ามกับที่ทุกคนคาดไว้ เขาคิดสิ่งเดียวกับ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ความจริง เขาได้ก้าวล้ำหน้าไปแล้วหนึ่งก้าว พันธมิตรจักพังทลายลง หากสองยอดปรมาจารย์เริ่มต่อสู้กันเอง มันจะเป็นเรื่องไม่ดีของอาณาจักร หากกองกำลังของเหล่าพันธมิตรได้เห็นการแตกแยกกันภายในและจักทำให้มันล่มสลายลง เพียงแค่ว่า ฉีฉางเซี่ยว นั้นมีความเร็วน้อยกว่า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว