วันหลังกองทัพออกเดินทาง .. หรือจักกล่าวให้เที่ยงตรงกว่านั้น .. ในเที่ยงคืนของวันที่ออกเดินทัพ ลูกค้าที่แท้จริงของ หอกระบี่เลือด องค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรเทียนเชียง ในที่สุดก็ได้รับข่าวที่พระองค์เฝ้ารอ คนของสกุลลี่ผู้ที่ก้าวเข้าสู่เมืองหลวงถูกกวาดล้างไปพร้อมกับกองกำลังที่พวกเขาจ้างมาจากกองคาราวานการค้าทางใต้ องครักษ์สวรรค์พิโรจขององค์ชายสองก็ได้รับชะตากรรมเดียวกัน
องค์จักรพรรดิ คิดว่าข่าวนี้มิใช่สิ่งที่น่าตกตะลึง ความจริงมันเป็นสิ่งที่พระองค์คาดไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม จักไม่มีสิ่งที่ผิดไปจากการเตรียมการของพระองค์เลยหรือ ? แต่กระนั้น การรายงานมิได้หยุดลงเพียงเท่านี้ เนื่องจากการสูญเสียนั้นมิได้จบลงเพียงความตายที่กล่าวมา คนของ หอกระบี่เลือด ที่มีส่วนในภารกิจนี้ตายด้วยความโหดร้าย
สามยอดฝีมือสวรรค์เชวียน สิบห้ามือสังหารปฐพีเชวียน และสี่สิบมือสังหารหยกเชวียน..ถูกกำจัด ข่าวนี้เป็นสิ่งที่น่าตกตะลึงยิ่งนัก
การทำลายกองกำลังนี้ได้จำเป็นต้องใช้ความแข็งแกร่งอย่างสูง และ นี่เป็นความพ่ายแพ้ที่ไม่สามัญนัก … มันอาจเป็นสถานการณ์ที่ถูกโจมตีและพ่ายแพ้อย่างราบคาบ อย่างไรก็ตาม กองกำลังเหล่านี้ถูกทำลายลงทั้งหมด ไม่เหลือผู้รอดชีวิตเลยแม้เพียงหนึ่งคน
อีกทั้ง สิ่งสำคัญในเหตุการณ์นี้ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย นั่นคือ … อาวุธสังหารที่ร้ายแรง ซึ่งทำมาจากเอ็นของสัตว์เชวียน และเหล็กคุณภาพสูง ซึ่งผู้มีอำนาจหลายคนได้เฝ้าหวัง แย่งชิง ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
องค์จักรพรรดิ กวาดโต๊ะของพระองค์ และจอกชาร่วงหล่นลงพื้น ใบหน้าที่มืดมนของพระองค์ยังไม่จากหายไปอีกหลายวัน หน้าไม้ และ ความแข็งแกร่งของหอกระบี่เลือดนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งกับองค์จักรพรรดิ พระองค์ไม่เคยคาดว่าการเตรียมการที่ไร้ตำหนิของพระองค์จักผิดพลาดแทนที่จักได้หน้าไม้เหล่านั้นมา ความจริง พระองค์มิได้เพียงสูญเสียหน้าไม้ไปเท่านั้น พระองค์ยังสูญเสีย กองกำลังชั้นเลิศที่อยู่ใต้บัญชาของพระองค์กว่าครึ่งอย่างลึกลับ
ความจริงนั้นทำให้พระองค์กริ้วยิ่งเนื่องจากเหตุการณ์นี้ทิ้งร่องรอยอันใดไว้เลย เช่นนั้น พระองค์จึงไม่ ตัดสินพระทัยว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่เบาะแสเพียงเล็กน้อยก็ไม่หลงเหลือ องค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรเทียนเชียงจักไม่เศร้าหมองได้อย่างไรกัน ? พระองค์จักไม่ทรงกริ้วได้อย่างไร ? ความเศร้าหมองและกริ้วนี้ สิ่งให้เกิดหมอกแห่งความกังวลและควันแห่งความทุกข์ภายในราชวัง ทุกผู้ตัวสั่นด้วยความกลัว และก้าวเดินอย่างระมัดระวังเนื่องจากไม่มีผู้ใดต้องการกระตุ้นโทสะขององค์จักรพรรดิ
สำหรับผลของข่าวนี้ต่อองค์ชายสอง … เขาสลบไปเมื่อได้ยิน นี่มิใช่การกล่าวเกินจริง … เขาเป็นลมไปจริงๆ
ซึ่งสามารถเข้าใจได้ ท้ายที่สุด เขาต้องพบกับความเสียหายมากที่สุดในหมู่ผู้ร่วมขบวนการ เขาใช้จ่ายทรัพยากรณ์มากมายตั้งแต่ต้นจนจบ ความจริง เขาไม่สามารถจ่ายกับผลลัพธ์สุดท้ายของมันได้ องค์ชายสอง จ่ายเพื่อวัตถุดิบที่ใช้สำหรับการสร้างสิ่งนั้น ความจริง พระองค์จ่ายเป็นราคาที่สูงส่งยิ่ง บางที อาจบอกได้ว่าเขาจ่ายไปในราคาที่สูงลิบลิ่ว จากนั้น เขาจ่ายค่าแรงเป็นสองเท่า องค์ชายจัดหากำลังคนมากมายเพื่อใช้ในการขนส่ง และตอนนี้ เขาต้องประสบกับความสูญเสีย ยิ่งไปกว่านั้น องครักษ์สวรรค์พิโรจของเขาถูกกำจัดไปหมดสิ้น พวกเขาเป็นกองกำลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดขององค์ชายสอง
อาจบอกได้ว่า เขากำลังล้มละลายเพื่อจ่ายสำหรับงานแต่งของผู้อื่น ความจริงที่ทำให้มีโทสะมากขึ้นนั้นคือ เขาไม่รู้ว่า คนผู้นั้นเป็นใคร … องค์ชายสอง อาจไม่สามารถหาทางตอบโต้กับสถานการณ์นี้ได้หากเขาไม่สลบไปเสียก่อน …
อีกผู้หนึ่งที่เศร้าหมองเช่นเดียวกัน คือ ลี่โย่วหลาน คุณชายน้อยลี่ มิได้ประสบกับความสูญเสียมากมายเช่นองค์ชายสอง แต่ ก็ยังถือว่าเขา ใช้จ่ายไปจำนวนมาก อาจบอกได้ว่า เขาได้เสียเงิน ออมไปมากมาย …
เขาส่งกองกำลังที่ได้รับการฝึกฝนอย่างลับๆเพื่องานนี้ไปครึ่งหนึ่ง และ พวกเขาถูกกำจัดไปหมดสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น ศิษย์พี่คนหนึ่งของเขาถูกสังหาร และ หลายเป็นก้อนเนื้อ
อย่างไรก็ตาม ความจริงนั้นทำให้เขาหดหู่ยิ่งขึ้น เขาไม่รู้ว่า จักต้องตอบโต้กลับไปยังผู้ใด
ข้าควรมองไปยัง หอกระบี่เลือด ? ข้าควรหามือสังหารเพื่อแก้แค้น ?
ยอดปรมาจารย์เลือดเย็น เล้ยวูเบ้ยจักไม่เป็นบ้าไปหรือหากเขามิได้แก้แค้น ? ยิ่งไปกว่านั้น ศิษย์สองคนที่เหลือรอดของเขา ก็มิได้นำร่างไร้วิญญาณของศิษย์ที่สูญเสียไปกลับมา ความจริง เขาคิดว่า ศิษย์พี่ชายและพี่สาวของเขาอาจจะอยู่กับเขาอีกไม่นาน
ศิษย์พี่สาว และ ศิษย์พี่เก้า มายังนครเทียนเชียงเพื่อช่วยเขาในแผนการนี้ อย่างไรก็ตาม ศิษย์พี่แปดได้ตายไปแล้ว และ ที่เหลืออีกสองคน ก็กำลังหวาดกลัวอย่างมาก
คุณชายน้อยแห่งสกุลลี่ ลี่โย่วหลาน ไม่พอใจกับสถานการณ์นี้อย่างมาก
มีบางสิ่งถูกเพิ่มเข้ามาในกองไฟ เขาได้ส่งพี่น้องทรงพลังบางคนเพื่อจัดการควบคุมพวกใต้ดินในนครเทียนเชียงเมื่อหลายคืนก่อน อย่างไรก็ตาม ไม่คาดว่าพวกเขาได้รับการโจมตีในค่ำคืนเดียวกัน และจำต้องล่าถอยมา และ ก๊ก จินหยางก็ได้กลืนกินก๊กใต้ดินทั้งหมด
ก๊กจินหยางได้กลายเป็น ก๊กใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในนครเทียนเขียง ความจริง พวกเขาไม่มีคู่แข่ง
ศิษย์พี่ เล่ยเจียนฮ้ง และศิษย์พี่ ฟางเปียวฮ้งต่อสู้กับศัตรูคืนนี้ สองยอดฝีมือสวรรค์เชวียนผู้นี้ต่อสู้ร่วมกัน ความแข็งแกร่งของศัตรูนั้นเกินกว่าพวกเขามากมายนัก แต่ศิษยพี่ทั้งสองก็ล้มเหลวจริงๆ พวกเขาโวยวาย และสูญเสียความคิดจักต่อสู้ ยอดฝีมทอสวรรค์เชวียนจักต้องรักษาสติและสถานะของพวกเขาได้เป็นอย่างน้อย !
ลี่โย่วหลานมีโทสะอย่างยิ่งในเรื่องนั้น และศิษย์พี่ทั้งสองก็รู้ถึงปัญหาของพวกเขาเช่นกัน พวกเขาละอายที่ทิ้งศิษย์น้องพวกเขา และขอให้เขาปล่อยพวกเขาไป พวกเขาต้องการพบ อาจารย์ เล้ยวูเบ้ย เพื่อถกถึงการตอบโต้
ลี่โย่วหลาน เห็นด้วยอย่างไม่ลังเล เขาได้ให้เงินมากมายแก้พวกเขาเพื่อใช้สำหรับการเดินทาง เขาเฝ้ามองพวกเขาเดินทางไปอย่างสุภาพ อย่าไงรก็ตาม การสถสาปแช่งก็ดังขึ้นจากปากที่เงียบงันของ ลี่โย่วหลาน หลังจากทั้งสองจากไป ทันใดนนั้น เขายกข้าขึ้นและ เตะไปยังประตูบ้าน…
เขาอยู่ในขั้น เชวียนหยก ดังนั้น เขาจึงเริ่มมีพลังมากขึ้น การเตะที่รุนแรงของเขาทำให้ประตูถูกทำลาย
มันเป็นการเตะที่ยอดเยี่ยม
” ก๊กจินหยาง …. ? เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่า พวกเจ้าเป็นคนของจวินโม่เซี่ย? “
ลี่โย่วหลาน กำหมัด จากนั้น ในที่สุดสีหน้าของเขาสงบลง และค่อยๆคลายมัดออก ทันใดนนั้น รอยยิ้มนุ่มนวนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
” จวินโม่เซี่ยไปจากนครหลวงแล้วตอนนี้ เจ้าคิดว่าข้าไม่สามารถจัดการกับเจ้าได้หรือ ? เจ้าคิดว่าตอนนี้ข้าไม่สามารถรับมือกับเจ้าได้หรือ ? ข้ามีกองฟางมากมาย มันยากที่จักจัดการเจ้าที่หัว แต่หากเป็นรอบตัวก็สามารถสำเร็จได้เช่นกัน ! ”
เลือดคุณชายน้อยจวินเดือนขึ้นในขณะที่เขาร่วมการสาบานก่อนที่จักออกไปทำสงคราม นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงเลือดของ บุตรชายแห่งสกุลทหาร อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยก็พบว่าตัวเองมิอาจรับกับกฏเกณฑ์ทางทหารได้หลังจากที่เขาเดินทางออกจากนครหลวงเพียงครึ่งวัน มันยากเกินกว่าที่เข้าจักรับได้ !
นั่นมิได้รับอนุญาต ! อย่าได้ทำอย่างนั้น !
จวินโม่เซี่ยพบว่าการเดิน หรือพูดออกนอกลู่ทางนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ได้รับอนุญาตในสายตาของน้าสาม
จวินวูอี้อยู่ห่างจากกองทัพมาเป็นเวลากว่าสิบปี แต่ กองทัพที่ป่าเถื่อนนี้ก็ได้รับการควบคุมและได้รับชัยมาแล้วในอดีต ดูเหมือนว่าเขาจักเฝ้าดูคนที่ไม่พอใจด้วยใบหน้าที่เยือกเย็น และจัดการกับพวกเขาด้วยการตัดสินใจที่รวดเร็วและเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาจักจับผิดกับพวกเหล่าอันธพาล ดั่งเช่นหลานชายของเขามากเป็นพิเศษอย่างไม่มีเหตุผลเนื่องจากเขาไม่พอใจที่จักเห็น ดังนั้น หากเขาเห็นพวกเขาหนึ่งคน … เขาจักดุด่าเด็กหนุ่มหนึ่งคนนั้น หากเขาเห็นพวกเขาสองคน .. เขาจักดุด่าพวกเขาทั้งสอง
ดังนั้น มันจึงเป็นธรรมและมีเหตุผลที่ จวินโม่เซี่ย มูล่งเจียนจวิน เมิงไฮ่โจว เมิงเฟ้ย ลี่เฉิน ลี่ฟาง … คุณชายน้อยจากสกุลสูงส่งเหล่านี้ต้องครวญครางอย่างไร้สิ้นสุด
จวินโม่เซี่ยรู้ว่าน้าของเขาต้องการเข้มงวดกับเหล่าทหารเพื่อรับมือกับรูปแบบการต่อสู้ สำหรับเรื่องนั้น น้าของเขาจึงต้องสร้างความเคารพให้เกิดขึ้น เขาต้องสร้างภาพแห่งความจริงจังและ วินัยทางทหารที่มั่นคงเพื่อทำให้มั่นใจว่าพวกเขาจักเชื่อฟั่งเมื่อต้องเดินเข้าไปสู่สนามรบ พวกเขาจักเดินเข้าสู่สงครามได้อย่างไรหากกองทัพขาดระเบียบวินัย ? นั่นจักเป็นเหมือนการเดินทัพเข้าสู่ความตาย !
ดังนั้น จวินวูอี้จึงต้องการผู้โชคร้ายและ แพะรับบาปจำนวนหนึ่งเพื่อสร้างความเคารพที่มีต่อเขา
มันเป็นเหตุการ์คลาสสิคที่เรียกว่า การสังหารเพียงหนึ่งเพื่อข่มขวัญศัตรู เขาต้องสร้างตัวอย่างเพื่อตักเตือนผู้อื่นถึงเรื่องวินัยทางหทาร
อย่างไรก็ตาม เขาไม่คาดว่าเขาจักเป็นแพะรับบาป โชคร้ายคนแรก
เหตุการณ์นี้ฟังดูน่าสนใจ … จวินโม่เซี่ยกำลังขี่ม้า และกำลังต่อสู้กับความปวดฉี่ในช่วงบ่าย เขามองไปรอบๆ พวกเขาออกมาจากกำแพงเมืองเนิ่นนานแล้ว มีต้นไม้อยู่ด้านซ้ายของเขา และ สวนอยู่ทางขวา ชุมชนเล็กๆมองเห็นได้จากที่ห่างไกล
.กองทหารเดินหน้าต่อไปโดยไม่หยุดพัก ดังนั้น ข้าจักจัดการกับเรื่องนี้ได้อย่างไร ?
นี่เป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากมากสำหรับคุณชายน้อยจวิน ดังนั้น เขาจึงเหวี่ยงขาลงจากม้า และ แอบหลบไปฉี่ที่ต้นไม้ใกล้ๆ เขาปลดกางเกง และ ปลดปล่อยสายน้ำที่ไหลหลากออกมาอย่างไม่อดกลั้นอันใน
มีต้นไม้ไม่มากตรงหน้าของเขา กองทัพที่งดงามเดินทัพอยู่ด้านหลังของเขา ใกล้เขาอย่างมา ความจริง พวกเขาอยู่ใกล้ต้นไม้มากจนผู้ที่อยู่ด้านตรงข้ามสามารถยื่นมืออกไป และคว้าเอาไข่นกมาได้ …
ดังนั้น คุณชายน้อยจวินจึงปลดปล่อยสายน้ำอย่างไม่เร่งรีบด้วยความสลายใจ
เขาระเบิดความพึงพอใจออกมา จากนั้นเขาสบัดมันอย่างรวดเร็วหลังเสร็จกิจ เขากำลังจักดึงกางเกงขึ้น แต่ ทันใดนนั้นเองเขารู้ว่ามีมือสองข้างวางมาบนหัวไหล่ของเขา
” เขาออกจากขบวนโดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าไม่สนใจคนของกองทัพ และทำลายศีลธรรมอันดีของพลเมืองโดยการฉี่ต่อหน้าทุกๆคน ! ทหารหนุ่ม เราขอให้เจ้ามากับเรา ”
สอง สารวัตทหารมาถึงราวกับเทพสวรรค์ และจับเขาได้คาหนังคาเขา
“มันฟังดู… ไร้สาระอะไรเช่นนี้ ? เห็นได้ชัดว่าข้าหันหลังให้คนอื่นๆ เช่นนั้น จักบอกได้อย่างไรว่าข้าฉี่ต่อหน้าทุกคน ? “
จวินโม่เซี่ยยืนหยัดหนักแน่น อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยุติธรรมได้จับเขาและนำตัวไปกับพวกเขาด้วย คุณชายน้อยจวินผู้น่าสงสารยังมิทันใส่กางเกงได้เสร็จสิ้น ! จึงสามารถมองเห็น บางสิ่งของเขาได้ เขาถูกจับและถูกนำมาอยู่ภายใต้ร่มเงาของจวินวูอี้
ผลลัพธ์นั้นดี และจวินวูอี้ ผู้บัญชาการจากสกุลจวิน แสดงโชว์ของเขาต่อหน้าเหล่าแม้ทัพ เขาทำพิธีลงโทษจวินโม่เซี่ย ที่กำแพงศาลาว่าการโดยการโบยยี่สิบครั้ง
หากการโทษนั้นหนักเกินไปสำหรับความผิดนี้ …ก็มิอาจเรียกได้ว่าหนัก และหากจะเป็นความปรานี้ … ก็มิอาจเรียกได้ ไม่มีผู้ใดร้องขอความเมตตาแก่จวินโม่เซี่ย แต่ นั้นเป็นเพียงเรื่องธรรมดา ทุกผู้รู้ว่าแม่ทัพจวิน ได้พบข้ออ้างที่จะทำการแสดง ยิ่งไปกว่านั้น คุณชายน้อยจวินก็มิได้มีความสัมพันธ์แนบชิดกับผู้ใด
บุรุษที่แท้จริงจักมิร่ำไห้ในสถานการณ์เช่นนี้ อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยเกือบร้องไห้ เขามองขึ้นไปและขบฟันขณะเอ่ย
” ท่านน้าสาม ท่านใช้อำนาจของท่านออกคำสั่ง หลานผู้น้อยผู้นี้โชคร้ายที่เขาผิดพลาดเล็กน้อย … แต่นี่เป็นเพียงครั้งแรก … ”
” เงียบ ! พวกเราคือแม่ทัพและผู้ใต้บังคับบัญชาในค่ายทหารนี้ ข้ามิใช่น้าสามของเจ้า และ เจ้ามิใช้หลานชายของข้า รองผู้บัญชาการ เจ้าเอ่ยหยาบคาย และเจ้าทำลายวินับทหาร ตีเพิ่มอีกสิบทีเป็นโทษของเขา ! ”
สีหน้าของคุณชายสามจวินจริงจัง
คุณชายน้อยจวิน เข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขามิอาจกล้าเอ่ยสิ่งใดอีก เขามั่นใจว่าจะต้องถูกโบยมากขึ้นหากเขาเอ่ยสิ่งใดเพิ่ม
กระบองทุบลงไปด้วยครั้งที่สามสิบและทุกคนเงียบสงัด เหล่าอันธพาลน้อยใหญ่ในสถานที่นี้ต่างได้เห็น พวกเขาปิติในโชคร้ายแต่ไม่มีผู้ใดเอ่ยอันใด นั้นคือผลลัพธ์ที่พวกเขาต้องการ
อย่างไรก็ตาม แม่ทัพจวินรู้ถึงฝีมือของหลานชาย ดูเหมือนว่า จวินโม่เซี่ยจะได้รับบาดเจ็บสาหัส หากมองไปและเห็นว่าหลังของเขาเขียวช้ำ อย่างไรก็ตาม แท้จริงแล้วมันมิใช่เรื่องใหญ่ ความจริง มันมิได้ทำอันตรายเขามากนักแม้นว่าเขาจักโดนโบยสับร้อยครั้ง ไม่ต้องเอ่ยถึงสามสิบครั้งนี้เลย อย่างไรก็ตาม เขาจับหลานชายได้คาหนังคาเขาหลังจากการปฏิบัติภารกิจทางทหารได้เริ่มขึ้น ดังนั้นเขาจึงเกิดความคิดขึ้น
เด็กน้อยเอ๋ย เขาไร้วินัยอย่างยิ่ง นี่มิใช่สิ่งดี
สกุลจวินคือสกุลแม่ทัพวันยันค่ำ เช่นนั้นเขาจึงตัดสินใจใช้โอกาสนี้ ดัดนิสัยของหลานชายอย่างระมัดระวัง นี่คือการวางรากฐานสำคัญหากเขาต้องนำทัพเข้าต้องสู้ในภายภาคหน้า
สำหรับความจริงนั้น … ความคิดนี้เดิมทีต้องยกความชอบให้แก่จวินวูอี้ ปู่จวิน ตักเตือนเขาให้ฝึกฝนจวินโม่เซี่ยอย่างหนักก่อนพวกเขาจักออกไปทำสงคราม หรือพูดอีกอย่าง เขาได้รับอนุญาตจากตัวปู่จวินเอง เช่นนั้น คุณชายสามจึงเตรียมตัวเพื่อ ทารุณหลานชายของเขาด้วยทีท่าเดือดดาล
อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมากเกินไปสำหรับเด็กหนุ่มที่ทำความผิดเป็นครักแรก
จวินโม่เซี่ยเอามือกุมก้นหลังจากเขาได้รับการโบยสามสิบครั้ง และเดินออกจากเต้นผู้บัญชาการพร้อมขบฟัน จากนั้น เขาเริ่มมองหาคนที่เขาไม่ชอบ
” เอ๋ ! นั้นคือคุณชายน้อยสามสกุลจวินผู้ทรงอำนาจมิใช่หรือ ? สีหน้านั้นคืออะไร ? นี่เป็นครั้งแรกหรือที่ผู้บัญชาการสั่งสอนเจ้า ? ฮี่ฮี่ฮี่ … คุณชายน้อยจวิน เจ้าดูหล่อเหล่ายิ่งเมื่อเจ้าเอามือกุมก้น ! คุณชายน้อยผู้นี้นับถือเจ้าอย่างแท้จริง ! ”
จวินโม่เซี่ยเป็นคู่รักคู่แค้นขององค์หญิงหลิงเมิ่งมาเนิ่นนาน เช่นนั้น คุณชายน้อยแห่งสกุลมูล่ง มูล่งเจียนจวิน จึงยักไหล่ให้เขาอย่างแปลกประหลาด ความจริง ดูเหมือนว่า เขาตั้งใจทำเสียงหัวเราะออกมา เมิงไฮ่โจวและคนอื่นๆที่อยู่ใกล้ๆก็เช่นกัน พวกเขาหัวเราะลั่นสำหรับเรื่องนี้
จวินโม่เซี่ยไม่เอ่ยสิ่งใด เขาเพียงเดินออกไปยืนอยู่ตรงหน้าของ มูล่งเจียนจวิน จากนั้น เขาคว้าหอกจากทหารที่ยืนอยู่ข้างๆเขา และใช้มันฟาดและกระหน่ำโจมตีไปยังฝ่ายตรงข้าม เขาใช้อกโจมตีด้วยความเร็วสูง
คุณชายน้อยผู้นี้มิอาจหาสถานที่ใดเพื่อปลดปล่อยโทสะได้ และเจ้ายังกล้ามายั่วยุข้าเช่นนี้ ? เจ้าพยายามทำให้ตัวเองโชคร้ายอย่างนั้นหรือ ?
นี่คือสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าเกินทน !
อย่างน้อย คุณชายน้อยจวินผู้นี้จักมิยอดทน !
มูล่งเจียนจวินคาดหวันสิ่งใดได้ ? อีกฝ่ายทำความผิดและ ละเมิดวินัยทหาร และจากนั้น ยังกระทำต่อหน้าเพื่อนของพวกเขา อย่างไรก็ตาม เขาถูกองครักษจับคุมจากการโดยคุณชายน้อยจวินแก้แค้น
เขามิอาจหลีกเลี่ยงได้แม้นว่าเขาจักเตรียมตัวแล้วก็ตาม เขาโดนตีโดยกระบอง ดวงตาของเขาเริ่มสว่างวาป และมองเห็นดวงดาว
หัวของสกุลมูล่งนั้นมีลักษณะรูปร่างที่สมบูรณ์ หอกกระแทกเข้าไปที่กลางหัวของเขาและมันหัก กระโหลกของมูล่งเจี้ยนจวินนั้นสมบูรณ์แบบ แต่หน้าผากของเขานั้นโดดเด่นนัก มีก้อนเนื้อปูดขึ้นตรงกลางหน้าผากของเขาอย่างรวดเร็วจนน่าอัศจรรย์ ความจริง มันก่อให้เกิดเสียง ซูป มันปูดขึ้นตรงราวกับเขาของ ยูนิคอน
” โอ้ว ? นี่มิใช่คุณชายน้อยมูล่งผู้สง่างามหรอกหรือ ? เขามีจู๋ขึ้ตรงหัว ? อย่าบอกข้า นี่คือความสามารถโดยกำเนิดของเจ้า ? มันเป็นไปได้หรือว่าสิ่งนี้มิได้อยู่ในเป้ากางเกงของเขา แต่กลับมาอยู่บนหัวของเขาแทน ? น่าเสียดาย …. น่าเสียดายที่มีไข่แค่ฟองเดียวเท่านั้น แต่ มันช่างสง่างามนัก ความจริง ทั้งดินแดนนี้มิอาจมีผู้ใดเทียบ เป็นประวัติการณ์อย่างแท้จริง ข้าชื่นชมอย่างแท้จริง ! ”
จวินโม่เซี่ยหัวเราะขณพที่เขาใช้หัวแสดงท่าทาง ท่าทางของเขามิอาจถือได้ว่า บกพร่อง เมื่อเทียบกับสิ่งที่อยู่บนหัวของ มูล่งเจียนจวิน จากนั้น เขาโยนหอกที่หักครึ่งทิ้งไป และกาวยาวๆจากไป
เขาใช้ปราณเชวียนของเขาในการโจมตีนี้ เช่นนั้น หอกที่ปะทะเข้าร่างของ มูล่งเจียนจวิน นั้นรุนแรงและแม่นยำ และผิวหนังของเขามิได้ฉีกขาด อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้เป็นเหตุให้หัวของเขาปูดขึ้นอย่างมาก และสร้างผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจ
ทุกคนที่ได้ยินว่าจานั้นก็หันมามอง และพเพียงก้อนที่ปูดขึ้นบนหัวของ มูล่งเจียนจวิน มันตั้งตรง และคล้ายกับจู๋อย่างน่าอัศจรรย์ มันค่อนข้างหาดูได้ยากเนื่องจากมันมิได้ยาว แต่มันมีความหนาและคล้ายคลึงกันอย่างมาก มันเลียนแบบได้อย่างสมบูรณ์และเหมือนจริงอย่างมาก !