บทที่ 549 เป็นพวกคุณที่ขอเอง

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

“เย่เทียน?”

เมื่อมองเย่เทียนที่อยู่ใกล้กับจี้เยียนหรัน สีหน้าของผางอานคางก็มืดมนลงในทันใดพร้อมกับพูดอย่างเยาะเย้ย “นายเป็นตัวแทนที่ไร้ประโยชน์ของเมืองเจียนหนันที่ถูกจัดส่งมาเหรอ?”

“ตัวแทนที่ไร้ประโยชน์?”

เย่เทียนตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนจะคืนสติกลับมา เขาไม่ได้โกรธแต่กลับยิ้มและพยักหน้า “ปากอยู่บนตัวของนาย นายจะพูดแบบนั้นฉันเองก็ทำอะไรไม่ได้”

เมื่อผางอานคางได้ยินคำตอบของเย่เทียน การดูถูกในสายตาของเขากลับรุนแรงกว่าเดิม เขาเยาะเย้ยอีกฝ่ายขนาดนี้แต่กลับไม่โกรธเลยงั้นเหรอ?คงเป็นพวกขี้ขลาดตาขาวสินะ?

“เจ้าหนู ฉันขอโน้มน้าวนายเลยว่าทางที่ดีมาทางไหนก็กลับไปทางนั้นซะ!”

“ยังไงซะนายก็ไม่ได้มาจากกองทัพของเรา ดังนั้นมันคงไม่เสียหน้าหากถอยไปตั้งแต่ตอนนี้!”

“ไม่เช่นนั้นเกรงว่านายจะใช้ชีวิตอย่างไม่สงบสุขที่เมืองเจียงหนันอีกต่อไป!”

ไม่พูดคงไม่ได้ว่าคำพูดของผางอานคางนั้นช่างดูจองหองเสียจริง

แต่สิ่งที่เขาพูดก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล อย่างน้อยเขาก็แน่ใจว่าเขามีความสามารถที่จะทำให้เย่เทียนใช้ชีวิตอย่างลำบากได้ช่วงหนึ่งเลยล่ะ!การทำให้คนนอกต้องล่าถอยออกไปก็ง่ายเหมือนกับการเล่นอย่างไงอย่างงั้น

“จิ๊จิ๊ ถ้าเป็นเช่นที่นายพูด งั้นตอนนี้ฉันก็ควรที่จะหันหลังกลับไปซื้อตั๋วเครื่องบินกลับเลใช่หรือไม่?”

เมื่อเย่เทียนได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกขบขันแต่ใบหน้ากลับแสร้งทำเป็นกลัว

“ฮ่าฮ่า!ไม่ผิด!ตอนนี้นายควรไสหัวกลับไปอย่างเศร้าหมองซะ!”

ผางอานคางมองเย่เทียนอย่างเย็นชา ไม่ได้มีเขาในสายตาแแม้แต่น้อย

ดวงตาสีเข้มของเย่เทียนนั้นหรี่ลงเล็กน้อย เขาแค่เดินมาและทักทายแต่กลับโดนอีกฝ่ายไล่ให้กลับไปเสียนี่ เสือที่ไม่แสดงบารมีก็กลายเป็นแมวไปเลยงั้นสิ?

“ไสหัวไป?ต้องขอโทษจริงๆ ในพจนานุกรมของฉันไม่มีคำคำนี้อยู่!”

เมื่อคิดถึงตรงนี้ มุมปากของเย่เทียนก็ได้ยิ้มออกมาอย่างขี้เล่น “ไม่อย่างนั้นนายสาธิตให้ฉันดูก่อนสิ?”

“สาธิต?นี่แม่มึงล้อเล่นใช่ป่ะ?”

ทันใดนั้นผางอานคางก็โกรธจัด เขาโบกมือออกโดยไม่คิดอะไร

เห็นเพียงแค่ชายร่างกำยำสองคนเดินเข้ามาพร้อมกับพูดทำความเคารพผางอานคาง “หัวหน้าผาง เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”

ผางอานคางชี้ไปที่เย่เทียนและพูดเยาะเย้ยว่า “ฉันมองไอ้หนูนี่แล้วอารมณ์เสียจริงๆ จับมันซะ!”

ทันใดนั้นชายร่างกำยำทั้งสองคนก็เข้าใจกัน สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่เย่เทียนอย่างไร้ความปรานี

“เฮ้ อย่าหาว่าฉันไม่เตือนพวกนายนะ พวกนายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉัน อย่าหาเรื่องให้ตัวเองเลย!”

เย่เทียนสังเกตเห็นคนสองนี้มานานแล้ว เมื่อมองดูรูปลักษณ์อันทรงพลังของพวกเขาแล้วก็ดูออกเลยว่าคเป็นผู้ฝึกสอนเป็นแน่ แต่ทำไมเขาต้องสนใจด้วยล่ะ?

อย่างไรก็ตาม การเตือนด้วยเจตนาที่ดีของเขากลับทำให้ชายร่างกำยำทั้งสองคนตกตะลึงและตอบสนองในทันที ดวงตาจ้องเขม็งราวกับว่าจะพ่นไฟออกมาได้

ทั้งคู่มาจากหน่วยรบพิเศษแต่ตอนนี้กลับมาถูกไอ้เด็กเหลือขอนี่ดูถูก นี่เป็นสิ่งที่ทนไม่ได้!

“ไอ้เด็กเหลือขอ แกนี่หยิ่งใช้ได้เลย!”

เย่เทียนพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับพูดเยาะเย้ยว่า “หยิ่ง?พวกนายหยิ่งยโสกว่านี่?”

สามคนที่มากับเซวหมานจื่อไม่คิดเลยว่าแค่คำพูดไม่กี่คำจะทำให้ทั้งสองฝ่ายนั้นดูเหมือนจะสู้กันจริงๆ

จี้เยียนหรันที่ได้สติก็ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วพร้อมกับห้ามเย่เทียนเอาไว้ หล่อนพูดกับเย่เทียนด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “ผางอานคาง นายทำแบบนี้มันเกินไปหน่อยไหม!”

“เยียนหรัน หล่อนอย่าโกรธสิ!ฉันก็แค่อยากเห็นความสามารถของเขาก็เท่านั้นเอง จะได้ไม่ต้องไปอับอายขายขี้หน้าตอนคัดเลือกสมาชิกไง!”

ผางอานคางยิ้มแต่ไม่ได้โบกมือเรียกชายร่างกำยำสองคนนั้นให้กลับมา

“เยียนหรัน หล่อนก็ใช่ว่าไม่รู้จักฝีมือของเย่เทียน ให้เขาสั่งสอนผางอานคางหน่อยก็ดี”

จี้เยียนหรันเองตระหนักถึงสิ่งนี้ดี คิ้วของหล่อนขมวดลงลึกกว่าเดิมและอยากจะพูดอะไรต่อแต่กลับถูกหยุนเหมิงหยานยื่นมือออกมาคว้าแขนของหล่อนไว้

ด้วยท่าทางที่หยิ่งยโสของผางอานคาง เธอเองก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก หากไม่ได้กลัวล่ะก็เธอคงตบหน้าไปสักฉาดตั้งแต่แรกแล้วล่ะ

“แต่…..”

เมื่อเห็นเย่เทียนกับผางอานคางสองคนนี้ทะเลาะกัน เธอจึงมีความสุขอย่างไม่ต้องสงสัย

“แต่…..”

จี้เยียนหรันขมวดคิ้วแน่กว่าเดิม หล่อนจะไปเต็มใจให้เย่เทียนรู้สึกไม่ยุติธรรมได้ยังไงกัน หล่อนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง

“เยียนหรัน ไม่มีอะไรหรอก ก็เป็นแค่พวกตัวกระจ้อย สู้อะไรฉันไม่ได้หรอก!”

แต่ยังไม่ทันที่จี้เยียนหรันจะพูดอะไรออกมา เย่เทียนก็ได้เอื้อมมือตบไปที่ไหล่ของหล่อน

“งั้น….ก็ได้!แต่อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ล่ะ ในกองทัพ ผางอานคางถือว่ามีบทบาทอยู่นะ”

เมื่อจี้เยียนหรันได้ยินเช่นนั้นจึงถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ หล่อนรู้ดีว่าเมื่อเย่เทียนได้ตัดสินใจแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปได้ง่าย

เย่เทียนพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันรู้”

หลังจากได้รับคำตอบที่แน่นอนแล้ว จี้เยียนหรันก็ได้ก้าวออกไปด้านข้างสองก้าวและยอมถอยให้ชั่วคราว

สำหรับหยุนเหมิงหยาน เธอรู้สึกตื่นเต้นเมื่อคิดอยากเห็นหมาสองตัวอย่างเย่เทียนและผางอานคางจะกัดกัน นี่เป็นสิ่งที่เธออยากดูมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

แน่นอนว่านี่เป็นความคิดที่อยู่ภายในใจ เธอไม่ได้โง่ที่จะแสดงมันออกมาและรีบดึงจี้เยียนหรันให้ห่างออกมาเพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากอันตรายที่จะเกิดขึ้น

“ยืนบื้ออะไรอยู่!ไปจับมันมาสิ!เกิดเรื่องอะไรฉันรับผิดชอบเอง!”

เมื่อเห็นจี้เยียนหรันปกป้องเย่เทียน อกของผางอานคางก็สุมไฟความโกรธเอาไว้จนเต็มเปี่ยมแต่ตอนนี้เย่เทียนเป็นคนเริ่มยืนออกมาเองแล้วจะไปลังเลอะไรอีกล่ะ

ชายร่างกำยำทั้งสองก็โกรธเช่นเดียวกัน เมื่อได้รับหลักประกันจากผางอานคางจึงไม่ได้ลังเลอะไรอีกต่อไป พวกเขาวิ่งเข้าหาเย่เทียนราวกับหมาป่าและเสือที่โหดร้าย

“พวกนายหาเรื่องกันเองนะ อย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน!”

มุมปากของเย่เทียนเกิดรอยยิ้มที่ขี้เล่นขึ้น เมื่อดวงตาเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังพุ่งเข้ามา เขาไม่ได้ถอยหลังแต่กลับพุ่งเข้าหาแทน!

“เอ๊ะ?ไม่คิดว่านายจะทำอะไรเก่งหรอกนะ!”

เพียงแค่เมื่อเย่เทียนชกหมัดออกไปแต่กลับชกไม่โดนอีกฝ่าย สิ่งนี้ทำให้เขาประหลาดใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ไอ้เด็กเหลือขอ นายรอพาดหัวข่าวพรุ่งนี้ได้เลย!”

ชายร่างกำยำหัวเราะอย่างโหดร้ายก่อนจะยกเท้ากวาดไปทางท่อนล่างของเย่เทียน

ขณะเดียวกัน ชายร่างกำยำอีกคนก็ได้วิ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็วและร่วมมือกันโจมตีเย่เทียนจากด้านซ้ายขวาและบนล่าง

เมื่อเห็นพฤติกรรมของทั้งสอง เย่เทียนจึงได้หรี่ตาลงเล็กน้อย แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้รับการฝึกฝนแต่ก็คงไม่ใช่คนธรรมดา หากร่วมมือกันคงจัดการชายร่างกำยำได้หลายสิบคนอย่างไม่มีปัญหา

แน่นอนว่าเย่เทียนไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย เมื่อเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งต่อให้จะร่วมมือกันก็ไร้ประโยชน์!

เย่เทียนวางเท้าหันกลับมาเล็กน้อยเพื่อหลบการโจมตีของสองคนนั้น ร่างของเขาโผลไปทางด้านหลังชายร่างกำยำสองคนราวกับปีศาจ

สองมือพุ่งหมัดออกไปใส่ด้านหลังของชายร่างกำยำทั้งสองคนพร้อมกัน!

ปังปัง!

เสียงร้องสองเสียงดังออกมา ชายร่างกำยำทั้งสองคนอดไม่ได้ที่จะร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ภายใต้แรงเฉื่อยมหาศาจ ร่างทั้งร่างได้ล้มลงไปทางด้านหน้า…..