” อนิจจัง สามปีมานี้ผู้ว่าฉิ้งเก็บเงินได้เพียง หนึ่งแสนตำลึงเงิน  ไม่คาดว่าเจ้าหน้าที่ปกครองมีระดับเพียง ห้าหมื่นในห้าปีที่ผ่านมา เจ้าไม่มีดีอันใดเลย ! ”

จวินโม่เซี่ยถอนใจต่อเนื่อง

ตัวเจ้าบอกว่า เจ้าหน้าที่ปกครองผู้นั้นอยู่ในระดับหนึ่งแสน  แต่ข้าเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ปกครองมณฑล ที่นี่มีมณฑลในปกครองของเขานับหมื่น  มิใช่ตำแหน่งของข้า … มิแตกต่างจากข้าหลวงหรอกหรือ ?

เฟ้ยจูฉาง อธิบายต่อในใจ อย่างไรก็ตาม ท่าทางของเขาก็แสดงออกถึงความเคารพและนับถือ ขณะที่เขาฟังท่านผู้นำจวินตักเตือน

 

“อย่างไรก็ตาม มิใช่เรื่องสำคัญ  บางทีเจ้าอาจมีความรู้มากขึ้นหลังจากตกลงไปในคูเมือง  หรือบางที เจ้าจักรู้ว่าต้องทำอย่างไรหลังจากคุณชายน้อยผู้นี้กลับไป  คุณชายน้อยผู้นี้น่าจักกลับมาจากเถียรฟ้าในอีกสองเดือน  และข้ากลัวว่าข้าจะมิต้องการนั่งในรถม้านี้แล้ว  เจ้าจักต้องใช้ความพยายามอย่างมากในสองเดือนนี้ เก็บภาษีผู้คนให้มาก และยักยอกเงินให้มากเท่าที่เจ้าทำได้  และ รถม้าจักต้องรออยู่แล้วเมื่อคุณชายน้อยผู้นี้กลับมา  เจ้าต้องรีบตระเตรียมการให้เร็วที่สุด  เจ้าไม่ต้องเร่งรีบเช่นนี้ โอกาสที่ดีจักเข้าข้างผู้ที่มีการเตรียมการ …. ! ”

คุณชายน้อยจวินเอ่ย

 

เฟ้ยจูฉาง ล้มลงที่พื้น  เอาหัวกระแทกพื้น  เขาเริ่มร่ำร้อง และคร่ำครวญออกมา

“ขุนพลจวิน !  เจ้าหน้าที่ปกครองต่ำต้อยผู้นี้มิกล้า !  เขาเสียใจในความผิดพลาด และปรับปรุงตัว !  เจ้าหน้าที่ผู้นี้จักแก้ไขความผิดพลาดของเขา และกลับไปยังเส้นทางที่ถูกต้อง !  บุตรฟุ่มเฟือยผู้นี้จักกลับไปยังเส้นทางแห่งคุณธรรม ! ข้าจักสำนึกผิด และข้าจักเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง !  ข้าจักทำอย่างหนักเพื่อผลประโยชน์ของผู้คน !  บุรุษต่ำต้อยผู้นี้จักพยายมอย่างเต็มที่  ข้ามิควรคลางแคลงในความเมตตานี้ …. ”

 

” เจ้ามันต่ำต้อย !  เจ้านั่นสำนวนยิ่งนัก !  พูดมากไปแล้ว !  บางทีข้าควรเห็นใจและแสดงความเมตตาเจ้า … ”

จวินโม่เซี่ยหัวเราะ และเอ่ยวาจาเหล่านั้นขณะที่มองเขาด้วยความชมเชย

 

เฟ้ยจูฉาง คำนับด้วยความชื่นชม  เขาตัดสินใจว่าหากเขาควรตายมากกว่าจักไม่เปลี่ยนแปลง  เขาจึงตัดสินใจว่าเขาควรจักเป็นเจ้าหน้าที่ปกครองที่ดีและซื่อตรง

ข้าจักไม่เป็นเจ้าหน้าที่ ที่ฉ้อฉลอีกแล้ว ! ตอนนี้ข้ารู้แล้ว ว่าเจ้าหน้าที่ ที่ฉ้อฉลจักได้ประสบกับสิ่งใด …

 

ข้าเสียใจกับพฤติกรรมในอตีด… ข้าจัดต้องสร้างรถม้าให้กับคนผู้นี้อีกไหม หากเขากลับมาในอีกสองเดือน ?

 

น้ำตาข้าหลั่งไหเป็นสายน้ำในหัวใจ !

 

ข้าคิดว่าข้างคงต้องตายหากข้าร้องไห้ต่อหน้าเขา …

 

ข้าจักเรียกผู้ใต้บัญชา และต้องบอกให้พวกเขาหยุดการฉ้อฉล  ข้าต้องบอกให้พวกเขาซื่อตรง … เพื่อบริการประชาชน …

 

คุณชายน้อยจวิน ออกไปปล้นผู้ร้ายอีกครั้ง  เขาได้ส่ง กลุ่มดูดกลืนวิญญาณ ออกไป  พวกเขากลับมาพร้อมกับศรีษะของคน  เลือดหยดลงพื้นส่งเสียง หยดเลือดเต็มไปทั่วโถงของเจ้าหน้าที่ปกครอง  มันทำให้ เฟ้ยจูฉาง ผู้น่าสงสารหวาดกลัว ความจริงแล้วเขาเกือบหมดแรง

 

 

หัวของคนผู้นี้ … แม่ข้า !  ทั้งหมดมีอยู่เท่าใหร่กัน …

 

หยวนหน้าของจวินโม่เซี่ยกินอาหารของพวกเขา  จากนั้นพวกเขาก็ตบเท้าเดินออกไปเมื่อบีบบังคับคนจนพอใจ  เฟ้ยจูฉาง เงยหน้าขึ้นด้วยความหวัง  เขาหัวงจักได้เห็นกองทหารของจวินวูอี้ในไม่ช้า  นั่นเพราะว่าคุณชายน้อยจวินบอกเขาไว้ว่า

“ข้าจักกลับมาและให้เจ้าสร้างรถม้าให้อีก หากเสียงของกองทัพมีปัญหา และ ข้าจักทำลายรถม้าใหม่นั้น หากมันไม่ดีพอ  นอกจากนี้ คุณภาพของเสบียงจักขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ ขุนพลจวินวูอี้  เช่นนี้ เจ้าควรพิจารณาทั้งหมดนี้ให้เหมาะสม เข้าใจหรือไม่ ?…. “

 

ดังนั้น ความกระตือรือล้นของ เฟ้ยจูฉาง ทำให้ขนหลังคอของจวินวูอี้ลุกชูชัน

เกิดอันใดกับคนผู้นี้ ?

 

ในขณะที่จวินโม่เซี่ยนำคนของเขาสองร้อยห้าสิบ กลุ่มทำลายสวรรค์ และ กลุ่มดูดกลืนวิญญาณ  มุ่งหน้าลงใต้อย่างมีชีวิตชีวา  ดูเหมือนวาจักไม่ต้องเปิดเส้นทางผ่านหุบเขาและลำธาร  อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้กระจายความหน้ากลัวไปตลอดเส้นทาง

 

เขาทำให้พวกเขาเจ็บปวดไปตลอดเส้นทางอย่างกระหายเลือด  ความแข็งแกร่งของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด นิสัยของพวกเขาแต่ละคนเริ่มโหดร้ายขึ้น พวกเขาเป็นดั่งปิศาจที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากส่วนลึกของขุมอเวจี  สีหน้าและกลิ่นอายของพวกเขานั้นได้ปราณี และมองเห็นได้อย่างชัดเจน พวกเขาเป็นเหมือนกลุ่มผู้บดเนื้อที่น่าหวาดกลัวในสนามรบ

 

ดั่งเช่นพลังที่เคลื่อนที่ไปเร็วดั่งสายฟ้า  กลุ่มของเขาถูกส่งออกไปจัดการกับเหล่าผู้ร้ายทุกวัน  พวกเขาจักส่งออกไปทีละกลุ่มตามตารางที่ถูกจัดไว้  อย่างไรก็ตาม ทั้งสองกลุ่มก็มีการแข่งขันกัน ในการกวาดล้างศัตรูอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ไร้คู่ต่อสู้ที่จักลอดพ้นเงื้อมมือพวกเขาได้  กลุ่มที่แพ้จักได้รับการลงโทษที่หนักหน่วง  ความจริง การลงโทษนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นเรื่องง่าย …. ซึ่งได้รับการลงโทษโดยการซักชุดชั้นในของกลุ่มที่ชนะจากวันก่อนหน้า

 

กางแข่งขันนี้ทำให้ทั้งสองกลุ่มมองว่าโจรผู้ร้ายคือยาที่ทำให้พวกเขามีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว  หรือเป็นหมูอ้วนแสนหวาน เนื่องจากพวกเขาเพ่งเข้าใส่ดั่งหมาป่าและเสือ ที่ตะครุบเหยื่อของเขาดั่งลูกแตง …

 

โทษฑัณท์นั้นมิใช่เรื่องใหญ่ แต่มันคือชื่อเสียง …

 

กองหน้าของจวินโม่เซี่ยนำหน้าห่างจากกองทัพใหญ่ห้าร้ายกิโลเมตรในเที่ยงของวันที่ห้า  จวินโม่เซี่ยนั่งอ้อยอิ่งอยู่ภายในรถม้าที่นำขบวนและถูกล้าโดยม้าหกตัว รถม้านั้นกว้างใหญ่นัก มันกว้างสองเมตร และยาวสามเมตรครึ่ง  มีเตียงเล็กอยู่ภายใน  และมันยังมีพื้นที่เพียงพอสำหรับโต๊ะไม้ตัวเล็กๆ  ความจริง มันยังมีพื้นที่เพียงพอให้จวินโม่เซี่ยจัดประชุมภายในรถม้าของเขาได้

 

แต่จวินโม่เซี่ยได้ทำเช่นนั้นเพียงครั้งเดียว  ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมิทันประชุมได้เพียงครึ่งทางก็ต้องจบการประชุมลง  มิใช่เพราะปัญหาใหญ่อันใด.. มันเป็นเพราะว่า คนเหล่านั้นเดินทางข้ามเขามาตลอดทั้งวัน  ทหารแต่งกายด้วยเสื้อผ้า และรองเท้า แต่กลิ่นเท้าของพวกเขาตลบอบอวนยิ่งนัก ซึ่งทำให้คนเหล่านี้วิงเวียน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อรถม้าคันนี้ถูกปิดผนึกมาอย่างดี  กลิ่นของมันคล้ายดั่งปลาเค็มทอด นั่นทำให้จวินโม่เซี่ยใช้เวลาทั้งวันเพื่อกำจัดกลิ่นเหล่านั้นออกไป

 

” คุณชายน้อย เปิดประตูเถิด … มีใครบางคนอยู่เบื้องหน้า  พวกเขากำลังขวางทาง ”

ผู้ที่พูดคือ ผู้นำ กลุ่มดูดกลืนวิญญาณ  หวางดง

 

คนผู้นี้ต้องโหดร้ายอย่างมากที่จักทำให้ผู้นำ กลุ่มดูดกลืนวิญญาณ พูดติดอ่างได้

 

“ขวางทาง ?  แม่เจ้า !  ผู้ใดในเทียนเชียงที่อาจหาญขาวทางคุณชายน้อยผู้นี้ ”

จวินโม่เซี่ยเอ่ยประหลาดใจ  จากนั้นเขาเปิดหม่านรถม้า และกระโดดลงมาเพื่อมองดูผู้ที่อาจหาญพอทำสิ่งนี้

 

จวินโม่เซี่ยออกมาจากรถม้าและมองดู จากนั้นมีบางสิ่งดึงดูดความสนใจของเขา  และเขาอ้าปากค้าง

แม่เจ้า !  ไม่ประหากใจที่ หวางดงจักตะกุกตะกัก !

 

คาดไม่ถึง …

 

ฉากที่อยู่ตรงหน้าของเขามิได้น่าหวาดกลัวมากนัก มีสองหญิงสาวงามเลิศตรงหน้าของพวกเขาเพียงเท่านั้น  ผู้มากเสน่ห์ผู้นึ่งอยู่ในชุดสีม่วง นางดูน่ารักและอ่อนโยนยิ่ง นางอุ้มลูกเสือดาวสีขาวดั่งหิมะ  ลูกเสือดาวมองไปยังจวินโม่เซี่ยและขยิบตา  มันแลบลิ้นออกมา  ต้องการจักโยนตัวเองเข้าสู่อ้อมแขนของจวินโม่เซี่ยจนจะแย่

 

หญิงสาวอีกผู้หนึ่งอยู่ในชุดสีขาว  นางมีใบหน้าที่เย็นชาและทะนงเยือกเย็น นางงดงามยิ่งนัก  นางมีท่าทีที่สง่างาม

 

สองสาวงามมองไปยังจวินโม่เซี่ยด้วยสีหน้าพึงพอใจดั่งแมวที่ไล่จับหนูได้แล้ว

 

สองหญิงสาวผู้นั้นคือ กวนเซียงฮั่น และ ตู่กู้เซี่ยวอี้

 

จวินโม่เซี่ยคร่ำครวญ เขารู้สึกอ่อนแรง

 

นี่เป็นสิ่งที่น่าตกตะลึงยิ่งนัก

 

ไม่แปลกใจเลยที่ข้าไม่โดนนางทั้งสองรบกวนเลย ในสองวันก่อนที่พวกเขาจักเดินทัพ !  ข้าผิดไปที่คิดว่าโน้มน้าวพวกนางได้ แต่แท้จริงแล้วพวกนางล้วงหน้าออกจากบ้านมาแล้ว !  และตอนนี้ พวกนางรอข้าอยู่ที่นี่ !

 

ข้าจักทำเช่นไร ?!

 

คุณชายน้อยจวินรู้สึกเสียใจที่ได้รับตำแหน่งแนวหน้าเป็นครั้งแรก …

 

ความจริง เขาเสียใจอย่างยิ่ง …

ไม่หัวมันทั้งสองจึงตกมาอยู่ในมือของข้า ?  ข้า … ชีวิตของข้าพินาศแล้ว !

 

เหตุใดข้าจึงได้รับเลือกให้เป็นแนวหน้า ?  เหตุใดข้าจักติดตามทัพใหญ่ราวกับเด็กดีได้ ?  ปัญหาใดจักเกิดขึ้นกับคำสั่งของน้าสามข้า ?  แต่ตอนนี้ … ข้าตะโกนออกไปทั้งวันและไม่มีผู้ใดมาช่วย…แม้นข้าจักตะโกนจนปอดหลุดออกมาก็ไร้ประโยชน์ …

 

นี่คือเส้นทางไปยังเถียนฟา !  นี่มิใช่เส้นทางสำหรับการท่องเที่ยว !

 

จวินโม่เซี่ยไม่รู้ว่าเขาควรเอ่ยสิ่งใด  สิ่งใดที่เขาควรเอ่ยในสถานการณ์ที่บีบคั้นนี้ ?

 

คุณชายน้อยจวินหันหลังกลับอย่างกระสับกระส่าย  เขาหวังว่าจวินวูอี้จักอยู่เบื้องหลังกลุ่มควัน .. และน้าผู้นี้จักนำทัพสิงหมื่น และลงมาจากสวรรค์เพื่อช่วยเขาจากสถานการณ์ร้ายแรงนี้

 

นั่นคือความหวังที่ลมแล้ง … ระยะห่างระหว่างทั้งสองนั้นคือสี่ร้อยกิโลเมตรเป็นอย่างน้อย … ซึ่งมันไม่มีเวลามากพอ

 

“อย่ามองเช่นนั้น  มันไร้ประโยชน์ที่จักมองเช่นนั้น  พวกเขาสืบข้อมูล และมารอเจ้าที่นี่ “

กวนเชียงฮั่นเอ่ยขณะที่มองไปที่เขา

“เจ้าออกมาจากรถม้าได้  เซี่ยวยี่ และข้าจักใช้มันเดินทาง เขาขี่ม้าไปได้  เจ้าไม่มีปัญหาอันใดใช่ไหม ? “

 

 

จวินโม่เซี่ยไร้วาจาชั่วครู่

 

ดูเหมือนนี่จักเป็นการสนทนาที่เป็นมิตร ?  ข้าจักมีปัญหาอันใด ?  ข้าจักกล้ามีปัญหาอันใด ?  นี่มิใช่สิ่งที่เจ้าเรียกว่าพฤติกรรมป่าเถื่อน ?  สำหรับความจริง … นี่คือสิ่งที่มันเป็น  พฤติกรรมของข้ากับ เฟ้ยจูฉาง นั้นตรงไปตรงมายิ่งกว่าหญิงสาวใหญ่โต  นางปล้นรถม้าข้า … นี่เป็นดั่งตำนานเรื่องเต่าทะเลที่ยึดรังนกนางแอ่น !

 

สมาชิก กลุ่มดูดกลืนวิญญาณ แอบหัวเราะ  จวินโม่เซี่ยเพ่งมองพวกเขาด้วยโทสะ  นั่นทำให้เสียงหัวเราะเงียบลงทันที และพวกเขามองตรงไปข้างหน้าด้วยท่าทีจริงจัง

 

“อะแฮ่ม…”

จวินโม่เซี่ยกระแอม และเตรียมจักใช้วาจาประจบประแจง เขาต้องการจักโน้มน้าวให้หยิงสาวกลับไปทำในสิ่งที่ถูกต้อง

“ฟังข้าพี่สะใภ้ และ .. แม่นางตู่กู้ … ”

 

” พี่โม่เซี่ย เจ้าไม่ดีใจที่เจอข้าหรือ ?  นี่เป็นสิ่งที่มิได้คาดคิดใช่หรือไม่ ?  เจ้ามิต้องการกอดข้าหรือ ?  ข้ารู้ !  ข้าเข้าใจอย่างชัดเจนว่ามันจักเป็นเช่นนี้ ! ”

ตู่กู้เซี่ยวอี้ ยิ้มกว้าง ทันใดนนั้น นางกระโดดไปตรงหน้าจวินโม่เซี่ย เงยหน้า และยิ้ม

 

เจ้าขาวน้อยยังคงรู้สึกอยากกระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของจวินโม่เซี่ย  แต่ ลูกสาวสกุลตู่กู้ยังคงหักห้ามตัวเองไว้เพื่อความสุภาพ เจ้าขาวน้อยพร้อมที่จักกระโดดออกไป แต่ ตู่กู้เซี่ยวอี้ ต้องการรอให้จวินโม่เซี่ยเริ่มครุ่นคิด ก่อนที่นางจักกระโจนเข้าใส่เขา

 

ดีใจ ?

 

ข้ารู้สึกหวาดกลัว  และ เหตุการนี้เป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดได้ ..​และกอดเจ้า ?  ข้ารู้สึกอยากจะตีก้นของเจ้า

จากนั้นจวินโม่เซียเหลือบมองก้นของขาง และคิดว่ามันก็มิได้ถือว่าเล็ก  เขาสงสัยว่ามันจักรู้สึกเช่นไรหากเขาจักตีมันสักสองสามครั้ง …

 

จวินโม่เซี่ย หลงระเริงในความเพ้อฝันอยู่ชั่วครู่  จากนั้น เขาดึงสติกลับมาได้ และพยายามที่จักทำให้แม่นางทั้งสองกลับไป  ผิวที่หมองคล้ำของเขาเริ่มเปล่งประหาย

“พี่สะใภ้ แม้นางตู่กู้ … เจ้าเป็นห่วงพวกเรา  และข้า ในฐานะตัวแทนของคนในกองทัพรู้สึกของคุณเป็นอย่างมาก  แต่ เส้นทางไปยังป่าเถียรฟานั้นทอดผ่านหุบเขาที่อันตราย  มีโจรผู้ร้ายมากมาย  และ เส้นทางนี้ยังมีปิศาจกินคนออกอาละวาด ! นอกจากนี้เจ้าทั้งสองยังเป็นสาวโสด  เช่นนั้น จักเป็นการไม่เหมาะสมที่จะเดินทางยาวนานไปกับเจ้า  ดังนั้น บุรุษผู้นี้ขอให้เจ้ากลับไปยังนครเทียนเชียง ”

 

เอ่ยอีกอย่าง .. ทั้งสองออกมาโดยไม่มีสาวใช้ !  พวกนางคิดว่านี่เป็นการออกมาเดินเล่นในสวนกระนั้นหรือ ?!  พวกเราไปทำสงครามกันจริงๆ !

 

” เช่นนั้นเจ้าก็ลองดู และข้าจักดูว่าผู้ใดกล้าส่งพวกเรากลับ ”

กวนเซียงฮั่นเอ่ยอย่างไม่สนใจขณะที่นางมองไปที่เขาอย่างเบือกเย็น

 

“พี่โม่เซี่ย เจ้าจักให้เรากลับไปหลังจากที่เราหาหนทางมาที่นี่ได้จริงๆหรือ ? “

ตู่กู้เซี่ยวอี้ ไม่มั่นใจเหมือนกวนเชียงฮั่น  เช่นนั้นนางจึงมองเขาด้วยสายตาน่าสงสาร  ขอบตาของนางเป็นสีแดง  ดูเหมือนว่านางจักร้องออกมาได้ตลอดเวลา

” นอกจากนี้เส้นทางกลับไปยังนครหลวงยังห่างไกลถึงห้าร้อยกิโลเมตร  เป็นการเดินทางกลับที่ยาวนาน !  เจ้าจักทำอย่างไรหากมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับท่านพี่สาวและข้า ?  เส้นทางอันตราย และผู้ใดจักรู้ความคิดของบุรุษ ? “

 

“อย่าตามข้ามา  ร้องไห้ต่อหน้าข้านั้นไร้ประโยชน์ ! ”

จวินโม่เซี่ยเอ่ยด้วยท่าทีเหินห่าง

ข้ารู้ว่าเส้นทางอันตราย .. ไม่สามารุเข้าใจความคิดของบุรุษ ?  เจ้ามิได้คิดถึงเรื่องนั้นตอนที่เจ้าออกเดินทางหรือ ?  เจ้าคิดว่าการโกหกเช่นนี้ใช้การได้สำหรับคุณชายน้อยผู้นี้หรือ ?  เจ้าคิดว่าข้าโง่เขลาเช่นไรกัน ?