” อย่างแรก เราต้องหาสถานที่ซึ่งอยู่ระหว่างหุบเขาและลำธาร  เราจักตั้งค่ายที่นั่น  พวกเราจักรอให้ทัพใหญ่มาถึง จากนั้น เราจักเดินทางต่อไป พร้อมพวกเขา”

จวินโม่เซี่ยออกคำสั่งไม่เร่งรีบ  พวกเขากำลังจักไปถึง มณฑลฉือฮั่น และ จวินโม่เซี่ยไม่ต้องการกระทำการโง่เขลาและมองหาศัตรูที่ป่าเถื่อนด้วยตัวเอง

พวกเราจะประสบโชคร้าย แต่ อย่างน้อย สกุลทรงอำนาจทั้งหลายก็จักได้ประสบสิ่งนั้นด้วยกัน

 

คุณชายน้อยจวิน พยายามหาข้อได้เปรียบเล็กๆน้อยอย่างลับๆ หากสถานการณ์เป็นไปได้  อย่างไรก็ดี เขามิได้ปิดบังความประทับใจที่ดีของ มณฑลฉือฮั่นในเหตุการณ์ก่อนหน้านี้  เขาจักไม่โศกเศร้า หากสมาชิกของ มณฑลฉือฮั่นล้มตาย

 

ยิ่งไปกว่านั้น … การลุกฮือของสัตว์เชวียนนั้นเกินกว่าจักควบคุมแล้วตอนนี้  อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยก็ยังคงเป็นผู้ส่งเสริม ดังนั้น ในอีกนัยสัตว์เชวียนแห่งป่าเถียรฟาก็กำลังต่อสู้เพื่อจวินโม่เซี่ย หากไม่แล้ว … พวกเขาก็ยังคงเป็นพันธมิตรของเขา

 

หวางดงส่งหกคนออกไปยังหกทิศทางเพื่อมองหาสถานที่ ที่เหมาะสมสำหรับการตั้งค่าย และในที่สุดก็มีผู้ที่พบสถานที่นั้น  จวินโม่เซี่ย กวนเซียงฮั่น และ ตู่กู้เซี่ยวอี้ เลือกจุดของพวกเขาในทันที

 

สถานที่นั้น เป็นเนินเขาเล็กๆ

 

มันเป็นสถานที่โล่งหน้าเนินเขา  ล้อมรอบไว้ด้วยต้นไม้หนาทึบ  มีทางโค้งอยู่ใกล้ๆ  เป็นเส้นทางหลักสายเดียว พวกเขาสามารถจับตาดูทุกสิ่งอย่างได้ในพื้นที่นั้นได้ หากส่งหน่วยสอดแนบไปประจำยังสถานที่นั้น

 

เสียงน้ำไหลสามารถได้ยินจากด้านหลังเนินเขา มันเหมือนดั่งเสียงคนกำลังทำเกี๊ยว  เห็นเป็นสายน้ำขนาดกลาง  คดเคี้ยวไหลเรื่อยลงมา สายน้ำใสถึงก้นลำธาร และไม่อาจคาดได้ว่าจักมี แอ่งน้ำใสอยู่ที่นี่  ไม่ไกลออกไป ถัดจากลำธารคดเคี้ยว

 

ตู่กู้เซี่ยวอี้  และ กวนเซียงฮั่น รู้สึกตื่นตะลึงเมื่อได้เห็น

 

หญิงสาวรักความสะอาด  ทั้งสองเดินทางมาเป็นเวลานาน  เช่นนั้น พวกนางจึงรู้สึกเหนื่อยอ่อน  พวกนางจักปล่อยผ่านโอกาสในการชำระล้างร่างกายได้อย่าไงกัน ?  พวกนางสามารถชำระร่างกายได้ก็ต่อเมื่อ ได้พบกับลำธารในยามค่ำคืน  แต่ มันก็ไม่เหมือนดั่งอ่างอาบน้ำในบ้าน  อย่างไรก็ตาม ในที่สุดพวกเนางก็ได้เห็นกับสระน้ำใสอยู่เบื้องหน้า  ร่างของ ตู่กู้เซี่ยวอี้ เริ่มคันเมื่อได้พบเห็นสระนั้น

 

กวนเซียงฮั่น ก็ได้พบกับสระน้ำที่เปล่งประกายยิ่งนัก  อย่างไรก็ตาม นางก็ควบคุมความคันของนางไว้ได้  นางเข้าใจถึงพฤติกรรมของน้องเขยได้เป็นอย่างดี

เขาจักไม่พยายามแอบมองหรอกหรือ หาข้าลงไปในแอ่งน้ำนั้นพร้อมกับเซี่ยวอี้ ?  ข้าต้องหาวิธีที่ทำให้เขามิอาจทำเช่นนั้นได้  ข้าจักไม่ตายด้วยความอับปยศหรือ ?

 

จวินโม่เซี่ยกระแอมอย่างผ่าเผยเมื่อเขาได้เห็นแอ่งน้ำนั้น  จากนั้นเขาแสร้งมองไปยังที่อื่นประหนึ่งไม่เห็นสถานที่นั้น

 

 

…. ….

 

จวินโม่เซี่ยเห็น กลุ่มยอดฝีมือเชวียนมากมาย ผิวปาก ตลอดการเดินทางนี้  คนเหล่านี้ เร่งรีบมุ่งหน้าไปยัง เถียรฟา  อย่างไรก็ตาม เขาพบว่าคนเหล่านี้มีท่าทางที่เหมือนกัน  พวกเขามองไปยังกลุ่มของจวินโม่เซี่ยอย่างเหยียดหยาม หรือผ่านไปหลังจากเหลือมมองพวกเขา

 

ชัดเจนว่า กองทหารมิได้สำคัญในความคิดของเหล่ายอดฝีมือเชวียน  เช่นนั้น จึงชัดเจนว่าพวกเขาไม่ได้ใส่ใจจวินโม่เซี่ย

 

อย่างไรก็ตาม พวกเขาพบกว่าได้เผชิยหน้ากับเหล่ายอดฝีมือเชวียนน้อยลงในหลายวันที่ผ่านมา เส้นทางเริ่มรกร้างมากขึ้น

 

ถนนสามสายแยกออกไป ที่ทางออกด้านนอกป่าโปร่ง  เส้นทางนี้ดูเหมือนยาวไกลยิ่งนัก  ทุกเส้นทางดูว่าเปล่าและรกร้าง  ท้องฟ้าเบื้อบนดูห่างไกลสุดลูกหูลูกตาต่างจากในเมือง

 

องครักษ์สองร้อยกว่ากำลังตั่งค่าย  จวินโม่เซี่ย กวนเซียงฮั่น และคนอื่นๆ เดินไปยังปากทางหุบเขา เพื่อหลบเลี่ยงฉากการก่อสร้างที่รุนแรง

 

พวกเขาออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์  จวินโม่เซี่ยและสองหญิงงาม มีผู้ติดตามใกล้ชิดอีกสี่คน  พวกเขาคือ ผู้นำ รองผู้นำ กลุ่มทำลายสวรรค์ และ กลุ่มดูดกลืนวิญญาณ

 

จวินโม่เซี่ยถอนหายใจยาว  เขารู้สึกถึงความว่างเปล่า และปลอดโปร่งรอบๆตัว  ท้องฟ้าเริ่มเงียบสงบ  แมลงและจั๊กจั่น กำลังส่งเสียงอยู่รอบๆผ่านป่า  ดูราวจวินโม่เซี่ยกำลังครุ่นคิด  ดูเหมือนว่าคิดของเขากำลังสับสน แต่ก็ดูเหมือนกำลังเงียบสงบ  ความคิดของเขาซับซ้อน แต่เรียบง่าย  เขาอดที่จักงุนงงมิได้

 

แม้แต่ความสับสนเพียงชั่วครู่ก็มีผลที่ร้ายแรงสำหรับมือสังหาร  แม้แต่มือสังหารอันดับหนึ่งเช่นจวินโม่เซี่ยก็มิอาจได้รับการละเว้นจากความจริงนี้ได้  อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยได้สูญเสียสติไปแล้วในตอนนี้  ยิ่งไปกว่านั้น สภาวะนี้ก็กินเวลานานพอสมควร

 

ธรรมชาติสร้างมนุษย์  จิตวิญญาณของข้ามิได้เป็นของโลกที่พวกเขานำพา เกือบครึ่งปีตั้งแต่ที่วิญญาณของข้ามายังที่นี่  ทุกวันที่ต้องดิ้นรน ดั่งเช่นชีวิตก่อนที่ข้าเคยมี  ข้าใช้ความคิดมากยิ่งกว่า  แต่ แขนขามิได้ออกกำลังมากมายเช่นนั้น  ข้าแสร้งโง่มากมาย แต่ข้ามิได้ใช้วิธีการสำหรับเลือดเหล็กของข้ามากนัก

 

เวลาครึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว  ข้าถูกความเบื่อหน่ายทับถม  แต่ ข้ามายังโลกนี้เพื่ออันใดกัน ?

 

มันคือการพิชิตโลกนี้ ?  จักยังได้เป็นขุนนางไปตลอดชีวิต ?  หรือเป็นการใช้ชีิวิตอย่างอิสระ ?  …. ประสงค์ใดที่ข้าถูกส่งมาที่นี่ ?

 

จวินโม่เซี่ยเอามือไขว้หลัง และเริ่มเดินไปข้างหน้าไม่ช้าไม่เร็ว แต่มันคือสิ่งอัศจรรย์ในสายตาของชายทั้งหก !  จวินโม่เซี่ย ซึ่งมีท่าทีอันธพาล และไร้ศีลธรรมได้ถูกกำจัดออกไป  นิสัยใจคอแปรเปลี่ยน  ดูราวเขาเป็นดาบสผู้ละเรื่องทางโลก  เห็นได้ชัดว่าเขาก้าวเดินไปอยางมั่นคง  แต่ผู้ที่เฝ้ามองจักรู้สึกว่าเขากำลังเดินอยู่ในช่วงเวลาอื่นไปพร้อมๆกัน

 

ในช่วงเวลาและสถานที่นั้น … เป็นความลึกลับที่ลึกซึ้งสำหรับคนเหล่านั้น

 

รู้สึกถึงความรู้สึกที่มิอาจหยังถึง

คนผู้นี้มีได้อยู่ในโลกนี้  ความจริง เขาไม่ควรที่จะอยู่ในโลกนี้

เห็นได้ชัดว่าความรู้สึกนี้เป็นเรื่องที่ไร้สาระในสายตาของพวกเขา  แต่ มันก็ยังมีอยู่

 

เขาเดินก้าวต่อไป  แต่ดูเหมือนทุกสิ่งในโลกนี้ ผู้คนนอกจากเขา …พสุธาที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า … แมกไม้ข้างกาย และฝุ่นควันในอากาศ … มิได้มีไว้สำหรับเขา   ชัดเจนว่า ไม่มีสิ่งใดในโลกนั้นที่เกี่ยวของกับเขา

 

ทุกสิ่งยังคงสอดประสาน แต่ มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนจะแปลกไปจากโลกนั้น  และ เป็นสิ่งเดียวที่มีอยู่ตรงหน้าพวกเขา …

 

ดูเหมือนเขาเป็นอิสระ ระหว่างโลกและสวรรค์  เขามิได้เป็นสิ่งมีชีวิต ดูเหมือนว่าคนผู้นี้ จวินโม่เซี่ย โดดเดี่ยวอยู่ในโลกใบเล็กของเขา

 

นี่มิใช้ความรู้สึกที่อ้างว้าง แต่ .. มันคือการปลดเปลื้อง  ยิ่งไปว่ากนั้น … ยังมีอากาศที่โศกเศร้า

 

เขาอยู่เหนือทุกสิ่ง  เขาเป็นอิสระจากชีวิตในโลก  แต่ เขาก็ยังสามารถแทรกแซงมันได้

 

ข้ามิได้เป็นของโลกนี้ แต่ข้าอยู่ในโลกนี้  โลกนี้มิใช่ของข้า แต่ข้าจักตายในโลกนี้

 

กวนเซียงฮั่น และ ตู่กู้เซี่ยวอี้  ลืมเรื่องการเดินไป  พวกเขาเพ่งมองอย่างว่างเปล่าไปยังบุรุษผู้อยู่ตรงหน้าของพวกนาง พวกนางคิดเหมือนกัน

นี่คือตัวตนจริงๆของเขาหรือ ….?

 

ตู่กู้เซี่ยวอี้  อดที่จักเดินไปหาจวินโม่เซี่ยและคุยกับเขาไม่ได้  อย่างไรก็ตาม นางรู้รู้สึกหวาดกลัวจากความรู้สึกอันแปลกประหลาดที่ส่งผ่านมาจากเขา  กวนเซียงฮั่นดึงนางกลับมาและหยุดมิให้นางเอ่ยปาก

 

กวนเซียงฮั่นไม่รู้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับจวินโม่เซี่ย  นางมิรู้ว่าเหตุใดสิ่งต่างๆจึงกลายเป็นเช่นนี้  อย่างไรก็ตาม ฉลาดพอที่จักรู้ว่า ไม่ควรรบกวนจวินโม่เซี่ยในเวลานี้  นางรู้ว่า แม้แต่เสียงเพียงแผ่วเบาก็สามารถรบกวนเขาได้

 

จากนั้นก็มีเสียงตะโกนขึ้น..

 

จวินโม่เซี่ยถอนใจยาวขณะที่เขาหยุดเดิน  จากนั้นเขาเอามือไขว้หลัง และมองขึ้งสู่สรวงสวรรค์  เขาเพิ่งมองไปยังกลุ่มเมฆเนิ่นนาน จากนั้น คุณชายน้อยยิ้มเล็กน้อย และพยักหน้า  และ เขาก็ยังคงยืนสงบนิ่ง เพียงเพื่อพบว่าความคิดในใจขอเขากระจ่างใส

 

ไร้ความปรารถนาหากไร้ซึ่งความคิด  ไร้สิ่งใดถาวรในโลกหล้า

 

ราวกับคนที่ตื่นจากฝันและกลับมาสู่ความเป็นจริง  จวินโม่เซี่ยรู้สึกอย่างชัดเจนว่า ปราณของเขาเติบโตขึ้นมาก  แต่มันก็ยังมิอาจฝ่าข้ามขีดจำกัดได้  ดูเหมือนว่า มีชั้นหมอกบางๆปิดบังสายตาของเขาอยู่  ชั้นของหมอกนี้กั้นเขากับขั้นต่อไปอยู่  มันพร่ามัว อย่างไรก็ตาม ปราณของเขาจักก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดหากเขาสามารถบรรลุข้อจำกัดได้

 

และ … จวินโม่เซี่ย สามารถสัมผัสถึงที่มาของการขัดขวางนั้นได้รางๆ

 

มันมาจากหัวใจของเขา

 

” โม่เซี่ย .. เจ้า .. เมื่อครู่เจ้าคิดถึงเรื่องอันใด … ? “

น้ำเสียงของกวนเซียงฮั่นคล้ายเยือกเย็นและชัดเจน กว่าแต่ก่อน  แต่จวินโม่เซี่ยสามารถสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความใส่ใจและเป็นห่วง

 

กวนเซียงฮั่นฉลาดล้ำ  นางสามารถสัมผัสได้ว่า จวินโม่เซี่ยเพิ่งตกอยู่ในภวังค์  และ นางรู้สึกได้ว่าเขากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ  เช่นนั้น นางจึงเฝ้ามองขณะที่เขาดูเหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์นั้น  นางเฝ้ามองเขาชั่วครู่  แต่นางรู้สึกได้ว่าเขาเริ่มดูเหมือนผู้ที่กำลังได้เข้าสู่นิพพาน แต่ยังคงติดกอยู่กับเรื่องทางโลก  นางรู้สึกถึงวความแตกต่างในตัวเขา  เช่นนั้น นางจึงอดถามมิได้

 

“เมื่อครู่ … ข้ากำลังคิด … ”

จวินโม่เซี่ยยังคงดูเหมือนยังคงเหม่อลอย  ราวกับขาข้างหนึ่งของเขายังคงติดอยู่ในโลกแห่งจิตวิญญาณ  เขาเอ่ย

“ข้าจักทำสิ่งใดในชีวิตนี้ดี ?  หรือ เหตุใดข้าจึงมีชีวิตนี้ ?  เป้าหมายของข้าคืออันใด ?  ข้าทำอันใดได้บ้าง ?  ข้าจักได้สำเร็จเรื่องใด ? “

 

” เป้าหมาย ? “

กวนเซียงฮั่น ถามอย่างลังเลก่อนเอ่ยต่อ

“มันไม่สำคัญหรือ ที่ผู้คนมีชีวิตอยู่อย่างมีเป้าหมาย ?”

เหตุใดข้าจึงมีชีวิตอยู่ ?  ทีนี่ข้ามีเป้าหมายอันใด ?

 

กวนเชียงฮั่นรู้สึก เซื่องซึมขึ้นทันที

น้องเขยข้ายังมีเป้าหมาย  แล้ว ข้า ?  ข้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จักทำตามเป้าหมายของข้า ?  ข้ามีความสามารถหรือไม่ ?

 

” ใช่ ทุกคนควรมีเป้าหมาย ทุกคนควรมีมัน  ข้าเคยมีความคิด  ข้าต้องการใช้ความแข็งแกร่งเพื่อทำให้โลกดีขึ้น  ข้าต้องการที่จักสังหาร และฆาตรกรรมหมู่ เพื่อชำระล้างโลก  ข้าหวังว่ามันจักนำพาความสุขและความรุ่งโรจน์ดั่งที่ข้าต้องการ  ข้าไม่ต้องการมองเห็นสิ่งที่ดูเหมือนไม่ยุธิธรรมาในสายตาข้า … ”

จวินโม่เซี่ยยิ้มเล็กน้อย ขณะที่เขาเอ่ย

 

” ข้ามิเคยสนใจผู้อื่น  ข้าทำตามเพียงวิธีของข้า และข้าทำในสิ่งที่ข้ารู้สึกอยากทำในทุกโอกาส  ข้าเดินไปตามทางของข้าเสมอ  ข้าจักไม่เปลี่ยนแปลงแม้นเมื่อข้ารู้ว่ามันยังไม่ดีพอ และข้ายังคงดื้อดึง … แต่ข้าเปลี่ยนไปหลังจากที่มาที่นี่  ข้าเปลี่ยนไปย่างสิ้นเชิง … ”

 

กวนเซียงฮั่น ไม่รู้ว่า ความดื้อดึงที่จวินโม่เซี่ยพูดนั้นหมายถึงอันใด  และ นางไม่เข้าใจถึงความหมายของคำว่ามาที่นี่ แม้แต่น้อย  อย่างไรก็ตาม นางได้ฟังจวินโม่เซี่ยพูด และรู้ว่าจวินโม่เซ่ยรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างมาก

 

สิ่งนี้ทำให้นางสงบดั่งน้ำนิ่ง  อย่างไกร็ตาม นางรู้สึกเจ็บปวดในส่วนลึกของหัวใจ

 

มันเหมือนการเฝ้าดู ขุนศึก ที่ไม่เคยพ่าย ใช้พลังและฝีมือทั้งหมดที่เขามี เพียงเพื่อพบว่าศัตรูของเขามีมากมายทั่วโลก … และมันเกินกว่าความสามารถของเขาที่จัดเอาชนะ และกำจัดศัตรูให้หมดไปได้

 

เขาพยายามมาตลอดทั้งชีวิต  แต่ เขาเอาแต่โอ้อวด และพยายามทำสิ่งที่มิอาจเป็นไปได้  มันคือความหดหู่ หมดหนทาง และผิดหวัง ซึ่งมิอาจอธิบายเป็นคำพูดได้

 

กวนเซียงฮั่นครุ่นคิดชั่วระยะ จากนั้น นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม

“มนุษย์มีเพียงหนึ่งชีวิต หญ้ามีเพียงหนิ่งวสันต ผู้ใดล่วงรู้หนึ่งชีวิตมีประสงค์อันใด ?  ยากยิ่งจะกล่าว  ตอนนี้นั่นคือสิ่งที่เรากำลังเอ่ย … พวกเราหญิงสาวเพียงช่วยเหลือสามีและเฝ้าดูแลลูกหลาน วันแล้ววันเล่า .. ปีแล้วปีเล่า … ไม่สำคัญว่าเราจักอายุถึงเพียงใด  แต่ พวกเรามิรู้สึกสิ้นหวังแต่อย่างใด  ข้ามั่นใจหญิงสาวส่วนใหญ่ในโลกเป็นเช่นนี้  และ ชีวิตที่โง่เขาและเข้มงวดเช่นนี้ ทำให้หญิงสาวนับไม่ถ้วนมีความสุข และ พึงใจ  สำหรับบุรุษ .. โดยเฉพาะผู้ทรงอำนาจ ความแข็งแกร่ง และความสามารถ .. พวกเขาเพียรพยายามเพื่อเกียรติ ชื่อเสียง และความสำเร็จ  พวกเขาพยายามอย่างอาจหาญ และดุเดือด  แม้แต่สามัญพวกเขาพยายามเพื่ออาหาร และเสื้อผ้า  นั่นเป็นดั่งที่เขากล่าว บุรุษ กินบุรุษ … ”

 

นางไม่รู้ว่าจวินโม่เซี่ยหันมาและเข้ามาใกล้ ขณะที่นางเอ่ยสิ่งนี้  ดวงตาของเขาลุกโชนราวพระจันทร์เต็มดวงขณะที่เขามองมาที่นาง  แต่ ดวงตาเหล่านั้น มิได้ตกตะลึง พวกมันดูลึกล้ำ สงบสุข และ ครุ่นคิด  สีหน้าของเขา ครุ่นคิดล้ำลึก

 

ไม่มีหญิงสาวในสังคมศักดินาเช่นนั้น สามารถเห็นสิ่งต่างๆได้อย่างเด่นชัดเท่า กวนเซียงฮั่น สิ่งนี้ทำให้เขาประหลาดใจนัก

 

“บุรุษส่วนใหญ่ในโลกนี้ทำงานอย่างหนัก  และ แท้จริงแล้วมันไร้ค่า ”

มีความซับซ้อนในดวงตาของกวนเชียงฮั่น  แต่ ดวงตาของนางดูเหมือนจะเต็มไปด้วยการแก้ปัญหาที่ยากลำบาก และการดูหมิ่นเล็กน้อย  ดูเหมือนคำถามที่ว่า สิ่งที่บุรุษควรทำ เป็นสิ่งสิ่งที่นางถือว่าควรกล่าวถึง

 

” เช่นนั้น เจ้าคิดว่าสิ่งต่างๆในโลกนี้มีอยู่เพื่ออันใด ?  บางที เจ้าสามารถบอกข้าได้ว่าเราควรทำสิ่งใดในโลกนี้ ? “

จวินโม่เซี่ยถามนาง ขณะที่เขาครุ่นคิด

 

” ข้ามิรู้จุดประสงค์ของผู้อื่น  ข้าไม่สามารถเพียงพอจักเอ่ยแทนพวกเขาได้  แต่ ข้ารู้ตัวข้า ”

กวนเชียงฮั่นเอ่ยเชื่องช้า  ดวงตานางเปล่งประกายชัชวาล

” ข้า กวนเซียงฮั่น เป็นเพียงหญิงสาวผู้อ่อนแอ  สำหรับโลกของบุรุษ .. ข้านั้นไร้สามารถเพียงพอที่จะเป็นภรรยาที่ดี … เช่นนั้น ส่งที่ข้ามองหาในตอนนี้ .. คือความสงบของข้า .. และนั่นเพียงพอแล้วสำหรับข้า  “

 

ใช่  ข้า กวนเซียงฮั่นเพียงมองหาความสงบสุข

 

ข้าหมั้นหมายกับ จวินโม่โย่ว เพื่อประโยชน์ของสกุล  ข้ามิเคยพบเจอเขา แต่ข้าทำมันเพื่อประโยชน์ของสกุลข้า .. เพื่อประโยชน์ของพ่อแม่  ข้าไร้ทางเลือกอื่นใด

 

และข้าจักต้องชดใช้เพื่อพ่อแม่ และสกุล

 

ดังนั้น หัวใจข้าจึงสงบสุข

 

ชั่วชีวิตข้าพบ จวินโม่โย่ว เพียงสองครั้ง  อารมณ์ของข้านั้นไม่มีค่าพอจักเอ่ยถึงเรื่องนี้ .. แต่ข้ารู้ว่าเขาเป็นคนดี และเขาจักได้เป็นสามีที่ดี  ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็ได้หมั้นหมายอยู่กับเขาแล้ว  เช่นนั้น ข้าจึงยอมรับโชคชะตา …

 

และจากนั้น เมื่อจวินโมโย่ตายในสนามรบ … ข้าคิดว่าบุรุษที่ดีเช่นนี้ควรค่าให้เสียใจ

 

ดังนั้น ข้าจักร้องให้เพื่อจวินโมโย่ว วีรบุรุษของอาณาจักร  ทำให้สกุลของข้าท้อใจ ข้าตัดสินใจมีชีวิตอยู่กับสกุลจวินในฐานะหญิงหม่าย และ แต่ วิญญาณวีรชนของจวินโมโย่สำคัญมากนักสำหรับข้า  ข้าจักรู้สึกไร้ค่าหากข้าถอนคำสาบาณกับเขา

 

และความจริงนี้ … สิ่งที่ข้าเลือกนั้นถูกต้อง  ข้าโดดเดี่ยวในเวลานี้ .. โดดเดี่ยวยิ่งนัก

 

แต่หัวใจของข้าสงบสุข

 

และตอนนี้  ข้าไม่ลังเลที่จักไปยังเถียรฟาด้วยร่างกายที่อ่อนแอนี้เพื่อทำให้แน่ใจว่า จวินโม่เซี่ย และท่านน้าสามา จักได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย  ข้าเตรียมพร้อมสำหรับความยากลำบากทั้งหมด  ข้าไม่ลังเล หรือละความพยายาม เพื่อให้แน่ใจว่า สองหน้าหลาน จักได้กลับทางเหนืออย่างปลอดภัย

 

ข้าเตรียมตัวเพื่อสังเวยชีวิตข้าเพื่อประโยชน์ของสองคนนี้

 

และหัวใจข้า จักได้สงบสุขด้วยเรื่องนี้

 

ข้าไม่มีความต้องการอื่นใด ! เลยทั้งสิ้น !

 

สกุลจวินเลี้ยงดูข้าอย่างดี .. ราวกับข้าเป็นเลือดและเนื้อที่แท้จริงของพวกเขา  เช่นนั้น ข้าจักไม่ไร้ค่าดั่งสัตว์หากข้าเฝ้ามองจวินโม่เซี่ย และน้าสามจวินต้องตายอย่างหมดหนทางเพราะข้าอย่างนั้นหรือ ?

 

ยังไม่เหตุผลที่มิอาจบอกได้อีก … ดูเหมือนจวินโม่เซี่ยจักมีความรู้สึกมากมายต่อนาง  นางเคยเย็นชาต่อจวินโม่เซี่ย และ ไม่สนใจต่อความรู้สึกเขา  แต่นางอ่อนข้อลงไม่นานมานี้ และละเลยสัญญาณอันตรายต่างๆ  นี่คือความจริงอย่างยิ่ง เนื่องจากจวินโม่เซี่ยช่วยให้การบำเพ็ญปราณเชวียนของนางเพิ่มพูนขึ้น  มีเพียงชั้นผิวบางๆขวางกันระหว่างทั้งสองในเวลานั้น  ความรู้สึกนั้นกลับมาหา กวนเซียงฮั่น ทุกค่ำคืน  มันยิ่งแย่ลงเมื่อไม่นานมานี้  และ สิ่งนี้ทำให้นางวิตก …

 

ดังนั้น มันเป็นการดีในการไปยังเถียรฟา  ความตายของข้าจักแก้ปัญหาทุกอย่าง  มันจักเแก้ปัญหาความขัดแย่งของข้ากับชีวิตปุถุชนนี้  ข้าสามารถตอบแทนต่อความเมตตาของสกุลจวินด้วยชีวิตข้า อีกทั้งยังสามารถกำจัดความหลงไหลในตัวข้าของน้องเขย

 

สิ่งนี้จักแก้ไขทุกสิ่ง และหัวใจข้าจักสงบสุข

 

เกียรติสกุลจวินจักไม่เสื่อมถอย และเกียรติสกุลกวนจักไม่เสื่อมเสีย  ชื่อเสียงของสกุลทั้งสองจักไม่ได้รับผลกระทบอันใด  สำหรับข้า … ข้าไม่ต้องคิดถึงอันใด

 

” ดี !  เจ้าพูดได้ดี !  เจ้าพูดได้ดีมาก !  ฮ่าฮ่าฮ่า … ”

จวินโม่เซี่ยเริ่มหัวเราะในทันทีทันใด

“เพียงแค่มองหากความสงบแก่หัวใจ !  เพียงแค่ไม่ขัดแย้งกับมโนธรรมของตัวเอง !  ผู้คนมักเอ่ยกล่าว หัวใจที่สงบสุขสามารถประสบความยุติธรรมในโลกนี้  แต่ ผู้ใดจักคิดได้ว่า หใจที่สงบนั้นคือความเป็นธรรมในโลกนี้ ! ”

 

” การสังหารผู้คนนั้นถูกต้อง  การช่วยผู้คนนั้นถูกต้อง  คนผู้หนึ่งมิควรแบกรับภาระในชีวิตสามัญนี้ ตราบใดที่หัวใจยังคงเป็นสุข  ข้า จวินโม่เซี่ย มิได้ทำงานเพื่อบ้านเมืองหรือผู้คน  ข้าจักทำงานเพื่อหัวใจ  ข้าจักทำเพื่อให้หัวใจของข้าเป็นสุข !  ทุกสิ่งสามารถทำได้ด้วยหัวใจ !  จักเป็นต้องคิดอันใดมากมาย ?  ความรุ่งโรจของบ้านเมืองคือสิ่งใด ?  เรื่องทางโลกคือสิ่งใด ?  ไร้สาระ เพียงเท่านั้น !

 

” ดังนั้น ข้าจักใช้ชีวิตตามทางของข้า !  ข้าจักเป็นอิสระ ข้าจักปลดปล่อย !  ไม่มีผู้ใดชักจูงความคิดข้าได้ !  ไม่มีผู้ใดควบคุมการกระทำของข้าได้ !  โลกอาจให้ร้าย หรือสรรเสริญข้า … มันอาจเป็นกลางกับข้า .. มันจักต่างอันใด ?  หัวใจข้าจักเป็นสุขตราบใดที่ข้าเดินไปในโลกนี้ตามเส้นทางของข้าเอง !  ข้าเพียงมองหาหัวใจที่สงบ และ จิตใจที่ไม่ย่อท้อ !  และ นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับชีวิตนี้ ! ”

 

จวินโม่เซี่ยหัวเราะลั่น  กวนเซียงฮั่น ไขปัญหาของเขาได้โดยไม่ตั้งใจ

 

คุณชายน้อยจวินมีความสุขยิ่งนัก  แต่ ตู่กู้เซี่ยวอี้  และ กวนเซียงฮั่นกลับตกตะลึง  และ ผู้รักษาการแทนผู้นำ กลุ่มทำลายสวรรค์ และ กลุ่มดูดกลืนวิญญาณ  ชายทั้งสี่ที่ัยืนอยู่เบื้องหลังหญิงทั้งสอง สามารถเห็นการเปลี่ยนไปของจวินโม่เซี่ยได้อย่างชัดเจน

 

จวินโม่เซี่ยได้เปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาดในสายตาของพวกเขา

 

เขาเปลี่ยนไป จากคุณชายน้อยผู้เกเร ไร้ศีลธรรม เป็นนักบวชทรงศีล  การเปลี่ยนแปลงนี้ ยอดเยี่ยมและสง่างามอย่างไม่ต้องสงสัย  อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงที่ยิดเยี่ยมและสูงส่งอีกสิ่งได้เกิดขึ้นกับเขาอีกครั้ง  และ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เขาอยู่เหนือคนสามัญ  ความจริง มันเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นพลังที่เยือกเย็น

 

เขาคล้ายดั่งกระบี่ที่ถูกชักออกจากฝัก  กระบี่ที่แหลมคมนี้ยืนหยัดระหว่าโลกและสวรรค์  ดูเหมือนว่าเขาสามารถส่องสะท้อนแสงสว่างไสว  สวรรค์และโลกยิ่งใหญ่  แต่ ดูเหมือนมิอาจยับยั้งเขาได้

 

ความรู้สึกสับสนมิอาจพรรณนาถูกกำจัดไปจากใจของเขา  เขาสามารถสัมผัสถึงการเพิ่มขึ้นของปราณภายในอย่างก้าวกระโดด

 

เขาผสานเข้ากับโลกและเขามิได้ยึดติดอยู่กับสิ่งใด

 

ข้าจักมีความสุขกับสภาพที่เป็นอยู่ในชีวิตนี้ได้อย่างไร ?  ข้าจักนอนหลับไหลอยู่ใต้สรวงสวรรค์นี้ได้อย่างไร ?

 

ข้าจักฝ่าโลกไปอย่างมิอาจขวางกัน !  ข้าจักถือยอดกระบี่ และโลกจักต้องไถ่ถาม

” วีรบุรุษผู้สูงส่งนั้นคือผู้ใด ? “

 

ข้าไม่ต้องการเอาชนะโลก  แต่ ไม่มีผู้ใดในโลกนี้ที่จักมาบอกได้ว่าข้าต้องทำสิ่งใด !  พวกเขาจักไม่คิดจะรบกวนข้า หรือสกุลของข้า !

 

สุดท้ายเป้าหมายของข้าก็ชัดเจน !

 

ข้าต้องการให้สกุลจวินของข้าดำรงอยู่เนิ่นนานเกินกว่า นครพายุหิมะสีเงิน และ มณฑลฉือฮั่น ข้าต้องการให้สกุลของข้านั่งอยู่บนจุดที่สูงที่สุดในโลกนี้ !

 

แม้แต่องค์จักรพรรดิ หรือปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ก็มิอาจมองมายังสมาชิกสกุลของข้าได้ !

 

และ สิ่งนี้จำเป็นต้องมีการนองเลือด

 

แต่หัวใจข้าจักสงบสุข !

 

นี่จะเป็นแนวทางในชีวิตข้า !  ข้า … จักต้องไม่เสียใจ !

 

มุมปากของจวินโม่เซี่ยเริ่มโค้งขณะที่เขายิ้มด้วยทีท่างเย็นชา  จากนั้น เขาเอ่ยนุ่มนวล

” แล้ว เส้นทางการสังหารของข้าเริ่มขึ้นกับเถียรฟา ! ”

กลิ่นอายเยือกเย็นและชั่วร้ายแผ่นซ่านออกมาจากร่างของเขาและตรงขึ้นสู่สรวงสวรรค์อย่างรวดเร็ว

 

กลิ่นอายชั่วร้ายมิอาจเทียบโหมกระหน่ำ และทำให้แขนเสื้อของสหายั้งหกสั่นกระพือ  เป็นช่วงเวลาท้ายฤดูใบไม้ร่วง และใบไม้ที่เหี่ยวเฉากำลังจะหายไป  พวกมันสั่นกระพือเนื่องจากกลิ่นอายชั่วร้ายสูงส่งของเขา  จากนั้น พวกมันหลุดออกจากก้าน และร่วงหล่นตามสายลม

 

ฉากนี้ดูราวกับสายฝนสีเหลือง

 

นกจำนวนหนึ่งบินออกจากแมกไม้  ปีกของพวกมันกระพือสองสามครั้งก่อนได้พบกับกลิ่นอายชั่วร้ายอันหนาแน่น จากนั้นพวกมันหอบหายใจชั่วครู่ก่อนจักร่วมลงสู่พื้นดิน

 

สามเงาร่างพุ่งผ่านป่าเขาห่างไกลอย่างรวดเร็ว  แต่ พวกเขากลับหยุดลงทันทีหลังจากได้เห็นสิ่งนี้  คนหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

” เป็นกลิ่นอายชั่วร้ายที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก  เป็นของผู้ใดกัน ? “

 

บุรุษสองคนที่อยู่ด้านหลังมีสีหน้าระมัดระวังขณะมองตรงไปยังเส้นทางนั้น  จากนั้น พวกเขาเอ่ยขึ้น

” หรือ ฉือฉีฮั่นจักมาถึงแล้ว ? “

 

” ไม่น่าเป็นจริงดังนั้น  เป็นความจริงที่ กลิ่นอายชั่วร้ายของ ฉือฉีฮั่นจักทรงพลัง  แต่ มันเฉียบคมและเข้มข้น  เช่นนั้น มันจักพุ่งไปข้างหน้า ทิศทางเดียวกับเขา  แต่ กลิ่นอายของคนผู้นี้ท้วมท้นยิ่งนัก  มันทำให้แม้แต่สวรรค์ยังพร่าเลือน  สองกลิ่นอายนี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง  เช่นนั้น ข้าสามารถบอกได้ว่าคนผู้นั้นมิใช่ ฉือฉีฮั่น !  อย่างไรก็ตาม กลิ่นอายชั่วร้ายของคนผู้นี้มิได้ต่ำต้อยไปกว่ายอดมือสังหาร ฉือฉีฮั่น ความจริง มันอาจล้ำหน้ากว่าเขา ! ”

 

” ไม่สำคัญว่าคนผู้นี้เป็นใคร  … ดูสิ่ ! ”

อีกคนหนนึ่งเอ่ยขึ้น

” พวกเราทั้งสามนั้นทรงพลัง  มิจำเป็นต้องหวาดกลัวคนผู้นี้ … หรือแม้แต่ยอดมือสังหาร ฉือฉีฮั่น ! ”

 

” ดี ! ”

บุรุษเคราดำวัยกลางคนครุ่นคิดและตอบกลับด้วยท่าทางแน่วแน่ และกล้าหาญ

” ดี !  พวกเราคือสามกระบี่แห่ง ดงฝาง เช่นนั้น เหตุใดพวกเราจึงต้องหวาดกลัว ?  แม้นจักเป็น ฉือฉีฮั่น… มีเหตุผลอันใดที่เราต้องกลัว ? “

 

” ถูกแล้วท่านพี่  ข้าได้ยินมาว่า ผู้บัญชาการสามแห่งสกุลจวินจักมาถึงที่นี่  พวกเราไม่ควร … ”

คนที่ตัวเตี้ยและอ้วน พึมพัม

 

” ไม่ !  เรื่องนั้นยังคงกวนใจท่านแม่ !  ยิ่งไปกว่่านั้น เขายังได้รับบาดเจ็บ และ เส้นลมปราณของเขายังเสียหาย  เช่นนั้น เหตุใดพวกเราจึงควรไปยุ่งเกี่ยวกับสกุลจวิน ?  น้องสาวก็ยังคงหมดสติในช่วงสิบปีที่ผ่านมา  เช่นนั้น เหตุใดพวกเราจำต้องก่อปัญหา ?  มันจักเป็นกิจธุระของเราหรือ หากฝีมือของจวินวูอี้จักกลับมา หรือตายไปที่นี่ ? “

คิ้วของบุรุษเคราดำวัยกลางคนเชิดขึ้น ขณะเขาเอ่ยด้วยโทสะ

 

” ถึงอย่างนั้น … จวินโม่เซี่ยก็เป็นหลานชายของเรา  เขาเกี่ยวข้องกับเราทางสายเลือด !  ท่านเแม่เอ่ยเรื่องนั้นกับเจ้า .. แต่ เจ้าไม่เป็นกังวลถึงโชคชะตาของเขา ? “

บุรุษอ้วนเตี้ยเอ่ยขึ้นแข็งขืน

 

” มันคือตราบาป ! ”

บุรุษเคราดำวัยกลางคนถอนใจลึก  จากนั้นเขาเอ่ยอย่างกล้าหาญ

“ข้าไม่ปล่อยให้ผู้ใดทำร้ายจวินโม่เซี่ย  และข้ารู้วา จวินวูอี้เป็นคนดี  เขากล้าหาญและซื่อสัตย์  แต่ น้องสาวของเรา น้องเขย และ หลานทั้งสองของเราจักไม่ต้องตาย หากมิใช่เพื่อเขา  เช่นนั้น พวกเราจักไม่คุยเรื่องนี้กันอีก ! ”

 

ชายผู้นั้นถอนใจขณะเขาเอ่ย  จากนั้น ชายทั้งสามเปลี่ยนเส้นทาง และพุ่งตรงไปราวดาวตก  พวกเขามุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ซึ่งกลิ่นอายชั่วร้ายแผ่กระจายมา