” เจ้าละเลยผู้ที่ถามคำถามเจ้าหรือ ?  ผู้อาวุโสสกุลของเจ้าสั่งสอนอันใดกัน ?  ผู้ที่มาที่นี่เมื่อครู่อยู่ที่ใด ?  บอกข้ามาเร็ว ?! “

ตงฟางเหวินต้าพยายามอดกลั้นโทสะ  ฝ่ายตรงข้ามคือเด็กผู้ไม่รู้เดียงสา  ยอดฝีมือเทพเชวียนจักถือสาเรื่องนี้ และเริ่มตไหนิได้อย่างไรกัน ?  นั่นจักเป็นการเสียหน้าอย่างมาก

” สกุลข้าสั่งสอนข้าอย่างดี !  ผู้อาวุโสมิจำเป็นต้องข้องเกี่ยว !  การถามทาง หรือเรื่องอื่นๆกับผู้คนควรมีน้ำเสียงเช่นนี้หรือ ? “

 

จากนั้นจวินโม่เซี่ยยิ้มอบอุ่นและมีมารยาท  รอยยิ้มของเขางดงามและสุภาพ ดั่งเช่นลี่โย่วหลาน

” ตอนนี้ หากท่านพี่ถามทางข้า … พวกเขาควรทำเช่นนี้ หากข้าขอถามท่านพี่ .. บอกข้าได้หรือไม่ว่าผู้ที่อยู่ที่นี่ก่อนหน้านี้ไปที่ใด ?   ข้าจักขอบคุณอย่างมาก ”

 

จวินโม่เซี่ยตำหนิพวกเขาด้วยท่าทีพึงพอใจหลังจากเขาพูดจบ

“และนี่เรียกว่า มารยาท  ใช่ !  นั่นคือสิ่งที่เหล่าผู้อาวุโสในสกุลสั่งสอนข้า ”

 

อืม !  เทพเชวียน ?  แล้วอย่างไร ?  เพียงเพราะว่าเจ้าคือเทพเชวียน มิได้หมายความว่าเจ้าสามารถข่มเหงข้าได้ !  ข้ามิอาจสู้เจ้าได้ แต่นั่นมิได้หมายความว่าข้าจักยอมเจ้า !  ข้ามิอาจสังหารเจ้าได้ แต่ข้าก็ยังทำให้เจ้าอับอายได้ !

 

อย่างไรก็ตาม ทั้งสามผู้นี้ค่อนข้างระมัดระวัง  เหมือว่าพวกเขาหวาดกลัวบางสิ่ง

จากนั้นความคิดของจวินโม่เซี่ยทำงาน และเขานึกถึง จิตสังหารของเขาเมื่อครู่  เช่นนั้น เขาจักไม่ชูป้ายได้อย่างไร ?

 

” เจ้าเด็กเหลือขอ !  เจ้าอยากตายหรืออย่างไร ?! “

ตงฟางเหวินต้าถามด้วยโทสะ  เขาอาจหยาบคายแต่มิได้โง่  เขาจักมิเข้าใจถึงความหมายในการเยาะเย้ยของจวินโม่เซี่ยได้อย่างไร  … โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่บอกว่า ผู้อาวุโสในสกุลของข้า ?

 

” อยากตาย ?  ข้ายังเด็กเกินไปสำหรับเรื่องนั้น  แม้แต่ พญามัจจุราชก็ยังไม่ต้องการตัวข้า ! ”

จวินโม่เซี่ยมองไปที่เขาเยือกเย็น และทีท่าไม่สนใจ

 

ทั้งสองมิรู้ว่าพวกเขาเป็นน้าหลานกัน  เช่นนั้น พวกเขาจึงเพ่งมองใส่กัน

 

ตงฟางเหวินต้ามีโทสะอย่างมาก  เขาเอื้อมมือไปคว้า  ชายผู้นั้นคิดว่าเขาจักจับเด็กคนนี้และฟาดเขาเพื่อระบายความโกรธ  เขาต้องการสั่งสอนบทเรียนกับเจ้าเด็กเหลือขอผู้นี้ แม้นจักคิดว่าการลงโทษเด็กนั้นมิใช่สิ่งที่เหมาะสม

 

ผู้ใดจักรู้ว่ามือของเขาคว้าไปในอากาศอันว่าเปล่า ?  จวินโม่เซี่ยขยับตัวไปและปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งด้านหลังเขาอย่างรวดเร็ว  พี่น้องตงฟางทั้งสามได้ยินเสียงด้านหลังของเขาในทันที มันคือเสียงของใบมีดซึ่งแหวกอากาศ  เขาอดที่จักรู้สึกกลัวอย่างมากไม่ได้

 

บุรุษสองคนเคลื่อนไหวในทันที  แต่ ยอดฝีมือเทพเชวียนตงฟางถูกส่งไปยังตำแหน่งที่เสียเปรียบอย่างไม่ทันได้คาดคิด  เขายอมรับว่าประเมินคู่ต่อสู้ต่ำไป  อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของคุณชายน้อยจวินนั้นเร็วดั่งสายฟ้า และควรค่าแก่การเรียกว่าเกินสามัญ

 

 

” แม่เจ้า ! ”

ตงฟางเหวินต้าร้องเตือน  เขาคือมือสังหารอันดับหนึ่ง และสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้  เขาตกใจกับสิ่งนี้ แต่มิได้ตื่นกลัว  เขากระโจนไปข้างหน้าอย่างง่ายดาย  ความเร็วของเทพเชวียนนั้นสูงส่ง  การกระโจนอันทรงพลังของเขานั้นไปไกลถึงยี่สิบเมตร  เขาคาดว่ามันต้องสามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีเขาเจ้าเด็กเหลือขอนั้นได้  แต่ เขาไม่คาดว่าจักรู้สึกถึงลมเย็นออันน่าหวาดกลัวด้านหลังของเขาอีกครั้ง  ความจริง มันยิ่งกว่าครั้งก่อน

นี่คือสิ่งที่มิอาจคาดได้อย่างแท้จริง !

การเคลื่อนไหวของพี่น้อง ตงฟางนั้นเป็นเลิศ  แต่เขายังต้องเร่งรีบเพื่อหลบหลีกคู่ต่อสู้ แต่เมื่อเขาหลบไปทางขวา  อากาศเย็นนั้นก็ตามเขาไปราวกับเงา  จากนั้น เขาไปทางซ้าย … แต่ความเย็นเยือกนั้นก็ยังคงอยู่ … เช่นเดิม …

 

ตงฟางเหวินต้า เปลี่ยนทิศทางสามครั้งภายในเสี้ยววินาที  อีกทั้งเขายังเพิ่มกำลังเป็นสิบเท่า  แต่อากาศอันเยือกเย็นนั้นก็ยังมิหายไป  มันเกาะติดเขาดั่งโรคภัย และแย่ลงต่อเนื่อง  น่าตกใจคือเขาไม่มีเวลาให้ตั้งตัว

 

ท้ายที่สุด เอวของเขาสั่น  มีดเย็นๆเจาะทะลุด้านหลัง น้องตงฟางที่สาม

 

แต่ ตงฟางเหวินต้า เป็นยอดฝีมือเทพเชวียน  เขาไม่คาดว่าจวินโม่เซี่ยจักมีการตอบโต้ที่เฉียบคมเช่นนี้ แต่ นั่นมิได้ส่งผลของความสามารถในการเคลื่อนปราณเชวียนเพื่อปกป้องร่างของเขา มีดนั้นอยู่ในมือของยอดฝีมือเชวียนหยก  มันมิอาจทำอันตรายเขาได้แม้นจักเป็นอาวุธเทพเจ้า  แต่ ผลของการต่อสู้นี้ ทำให้เขาต้องพ่ายแพ้ … ความพ่ายแพ้ที่ดังกึกก้อง

 

ยืนอย่างงุนงง ตงฟางเหวินต้าหยุดลงทันที และ ไม่มีความร้อนเย็นอันใดสามารถทะลุผิวของเขาได้เนื่องจาก วรยุทธของเขานั้นอยู่ในขั้นเทพเชวียน  แต่ เขากลับเหงื่อแตกอย่างมากในตอนนี้  ความยจริงแล้ว เหงื่อของเขาเปียกชุ่มเสื้อผ้า

 

ผู้ชมทั้งแปดต่างเหงื่อท่วม โดยเฉพาะบุรุษเคราดำและบุรุษร่างผอมเพรียว  พวกเขาเบิกตากว้างราวกับมันจะหลุดออกมา

 

สามพี่น้องดูราวปิศาจในสายตาของ ตู่กู้เซี่ยวอี้  กวนเซียงฮั่น และคนอื่นๆ  เขาเป็นดั่งเงาที่พุ่งไปข้างหน้า … ข้างหลัง ข้างซ้าย .. และขวา  มีเงาขนาดเล็กนับพันที่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า  พวกเขาตะลึงกับความสามารถของคนผู้นี้  และจากนั้น เขาก็หยุดลงอย่างรวดเร็ว ยังคงยืนอยู่ที่เดิม

 

เท่าที่พวกเขารู้ จวินโม่เซี่ยมิได้ขยับตัวไปใหน ดูราวกับชายร่างอ้วนที่แสดงความสามารถเฉพาะตัวของเขาออกมา

 

แต่ สิ่งที่ ตงฟางเหวินเจี้ยนและ ตงฟางเหวินชิงเห็นคือสิ่งใด ?  ใบหน้าของพวกเขาจักไม่ซีดเผือกด้วยความกลัวได้อย่างไรหลังจากได้เห็นสิ่งที่เผยออกมานี้ ?

 

สิ่งที่ได้เห็นนี้เพียงพอจักบอกถึงชะตากรรมของยอดฝีมือเทพเชวียนในการต่อสู้นี้

 

พวกเขาเห็นน้องชายวิ่งไปข้างหน้า และใช้ความสามารถเกินสามัญเพื่อหลบเลี่ยงใบมีดที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วของเจ้าเด็กเหลือขอนั่น  อย่างไรก็ตาม พวกเขาเห็นชุดสีขาวของเจ้าเด็กเหลือขอหายไปในช่วงเวลาก่อนหน้านี้  และจากนั้น มาปรากฏที่ด้านหลังของน้องชายพวกเขาราวกับผี  ยิ่งไปกว่านั้น เขาถือมีดในท่าทางผ่อนคลาย ..

 

จากนั้น น้องชายพวกเขาหลบไปทางซ้าย ขวา ไปข้างหน้า และหลังเป็นวงกลม  คาดว่าเจ็ดกระบวนท่าภายในเวลาเสี้ยววินาที  ชายผู้นั้นเคลื่อนที่สี่สิบทิศทาง แต่ ร่างของเจ้าเหลือขอผู้นั้นปรากฏด้านหลังของน้องเขาทุกครั้ง ราวกับโรคภัย  น้องสามของพวกเขาเคลื่อนที่ได้อย่างยอดเยี่ยม แต่เขาก็ยังโดนแทงเข้าที่บั้นเอว

 

ความจริงคือ เจ้าเด็กเหลือขอนั่นสามารถปาดคอเขาได้อย่างง่ายดาย แทนที่จักแทงเข้าไปที่เอวของเขา  ชัดเจนว่าปราณเชวียนของเทพเชวียนปกป้องร่างกายของเขา และป้องกันมิให้เขาบาดเจ็บ  แต่ความจริงที่ว่า เด็กคนนั้นแทงไปที่เอวแทนที่จักปาดคาของเขา… บ่งบอกถึงความเมตตา

 

ความคล่องแคล่วของน้องสามของพวกมเขานั้นล้ำหน้ากว่าพวกเขานัก  สกุลของพวกเขายอมรับในความคล่องแคล่วของเขา  ความจริง  เขาเป็นเลิศในทั่วหล้าสำหรับเรื่องนี้  ไม่มีผู้ใดในสมัยนี้สามารถเทียบเขาได้  เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวที่มีชื่อในเรื่องความเร็ว แต่ต้องล่าถอยเมื่อเผชิญกับความว่องไวของน้องสามพวกเขา

 

เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเป็นเลิศในความเร็ว  แต่ ความว่องไวของเขาไม่เพียงพอเมื่อเผชิญกับเคล็ดวิชาลับที่ถูกส่งต่อมาในสกุล ตงฟาง

 

แต่เจ้าเด็กเหลือขอนี้ … เพิ่งอยู่ในขั้นเชวียนหยก !

 

ช่างน่ากลัว !

 

สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไรกัน ?!

 

นี่มิใช่สิ่งที่น่าสะพรึงอย่างนั้นหรือ ?

 

ความแข็งแกร่งของทั้งสองต่างกันราวยี่สิบขั้น

 

สวรรค์ข้า … !  โลกนี้เป็นบ้าไปแล้ว !  ราวกับคนทำลายพระอาทิตย์ !  หนูพยายามแต่งงานกับแมว !  …. ราวกับมดข่มขืนราชาปิศาจ !

 

วรยุทธนี่คืออันใด ?  แม้แต่ราชาแห่งเถียรฟา ก็มิอาจมีความเร็วได้ขนาดนี้ !  นี่ นี่… เจ้าเด็กผู้นี้สำเร็จวิชาเช่นนี้ได้อย่างไร ?!

 

เขาคือใคร ?!

 

เขายังดูเด็ก … เจ้าเหลือขอนี้หน้าตาประมาณสิบหก สิบเจ็ด  ตอนนี้เขายังอยู่ในขั้นเชวียนหยก  แล้ว อาจารย์ของเขาจักไม่รับมือได้ยากกว่านี้หรือ ?  พวกเราโชคดีที่ วรยุทธของเจ้าเด็กผู้นี้ไม่สูงส่ง เขามิอาจฝ่าการป้องกันของเทพเชวียนได้  แต่ เขาจักไม่สังหารพวกเราได้อย่างง่ายดายหรอกหรือ หากเขามีความแข็งแกร่งเท่าพวกเรา ?

 

ความจริง เขาไม่จำเป็นต้องเป็นยอดฝีมือเทพเชวียน  เขาสามารถทำให้เทพเชวียนบาดเจ็บถึงชีวิตได้เพียงแค่เขาอยู่ในขั้นสวรรค์เชวียนสูงสุด  ข้อสรุปนี้มิใช่เรื่องน่าหวาดกลัวอย่างยิ่งหรอกหรือ ?

 

พื้นที่นั้นเงียบดั่งเป่าสาก

 

พี่น้อง ตงฟางทั้งสาม … สหายคุณชายน้อยจวิน .. พวกเขาทั้งหมดยังคงเงียบ

 

ตู่กู้เซี่ยวอี้ ดูประหลาดใจอยู่เป็นเวลานาน  นางเพ่งมองไปยัง ตงฟางเหวินต้าผู้ยืนตะลึงงันอยู่ด้วยสีน่าเลื่อมใส  จากนั้น นางปรบมือโห่งร้อง

“การเคลื่อนไหวชั้นเลิศ !  ซับซ้อนยิ่งนัก !  น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง มิอาจหาผู้ใดเปรียบ ! ”

 

สวรรค์ต้องอับอาย !  ตู่กู้เซี่ยวอี้ เอ่ยวาจาเหล่านั้นออกมาจากใจ  สามารถบอกได้ว่าพวกมันเกี่ยวข้องกับการกล่าวถึงการเคารพและเลื่อมใส  บุรุษอ้วนล่ำผู้นั้นมิได้หล่อเหลา แต่ฝีมือของเขานั้นงดงามยิ่งนัก  มันได้แปรเปลี่ยนภาพลักณ์ของเขาในความคิดของเด็กสาว  และ ภาพลวงนี้ได้หลอกตาเด็กสาว  ความจริงมันเกือบทำให้นางเป็นลม  ยิ่งกว่านั้น สาวน้อยผู้นั้นจักให้เขาเป็นอาจารย์ของนางหากเขาหนุ่มกว่านี้ …

 

นี่เกินกว่าระดับขั้นปราณเชียนปกติ  ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก !

 

กวนเซียงฮั่นตกตะลึงเช่นเดียวกัน  แต่ นางสามารถสัมผัสถึงบรรยากาศที่น่าสงสัยได้  เช่นนั้น นางจึงดึงมือของตู่กู้เซี่ยวอี้ และกระซิบแผ่วเบา

“น้องเซี่ยวอี้ อย่าพูดมาก ”

 

แต่ เสียงโห่งร้องของ ตู่กู้เซี่ยวอี้  นั้นไพรเราะจริงๆหรือ ?  มันนคล้ายดั่งเสียงแตกหักใต้ต้นลูกแพร์  มันน่าหวาดกลัวสำหรับผู้ที่อยู่ใกล้ แต่ไพรเราะสำหรับผู้ที่อยู่ไกล

 

ตงฟางเหวินต้ายืนด้วยสีหน้างุนงง  สีหน้าของเขาซีดเผือก

 

เหตุการนี้ทำให้เขาไม่มีความมั่นใจ  ผลกระทบของมันมิอาจเทียบได้  เขาภูมิใจในความล่องแคล่วอันยอดเยี่ยมของเขาเสมอ  แต่มันหลายเป็นสิ่งไร้ค่าต่อหน้าเด็กผู้นี้ … เด็กน้อยที่อยู่เพียงขั้นหยกเชวียนที่มีความเร็วเหนือกว่าความคล่องแคล่วที่เขาภาคภูมิใจยิ่งนัก  ความจิรง เด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ปล่อยให้เขามีเวลาเปลี่ยนทิศทางเลยแต่น้อย …

.ความพยายามตลอดชีวิตของข้าสูญสิ้นเพราะสิ่งนี้ …

 

ราวกับเรือใบที่พลิกคว่ำภายในคูน้ำเล็กๆ  เขาพลาดกับงานที่ง่ายดาย

 

จากนั้น เสียงสรรเสริญดังมาถึงหูของเขา

” ความคล่องแคล่วที่ยอดเยี่ยม !  ซับซ้อนยิ่งนัก !  น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง มิอาจหาผู้ใดเปรียบ ! ”

 

เสียงนั้นดัง และจริงใจยิ่ง แต่ …

 

เขาคือยอดฝีมือเทพเวียน .. จักสามารถทนต่อสิ่งนี้ได้หรือ ?!

 

เป็นไปได้ว่านักเขียนมากสามารถและปากากของพวกเขาก็มิอาจอธิบางถึงความคิดของ น้องสามตงฟาได้  ใบหน้าซีดเผือกของเขาแดงก่ำในทันที  สายตาที่ว่างเปล่าปรากฏรอยแดงขึ้นที่คอ และหน้าอก  สามารถเห็นแม้นิ้วเท้าที่แดงก่ำของเขาได้ หากเขาถอดรองเท้าออกมา ..

 

” อึก ! ”

สายตาของ ตงฟางเหวินต้าพร่ามั่ว  เขารู้สึกอับอายยิ่งนักจนกระอักเลือดออกมา และเกือบเป็นลม

 

เขามีโทสะอย่างมากจนกระอักเลือด …

 

เสียงโห่งร้องที่ไร้เดียงสาและจริงใจนั่น ทำให้ยอดฝีมือเทพเชวียนกระอักเลือด …

 

ตงฟางเหวินชิง และ ตงฟางเหวินเจี้ยนสืบเท้าไปข้างหน้าเพื่อรับเขา  แต่ ตงฟางเหวินต้าผลักพวกเขาออกไป

 

จากนั้น น้องสามสูดหายใจลึก และมองไปยังดวงตาของจวินโม่เซี่ยอย่างเชื่องช้า  สีหน้าของเขาซับซ้อนก่อนเอ่ยอย่างลังเล

” เจ้ามีความกล้า !  ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ ! ”

 

“ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ ! “

 

สามคำนั้นหลุดออกมาจากปากของเขา แต่ละคำนั้นเอ่ยออกมาได้ยากยิ่ง  แต่ละคำเหล่านั้นหนักอึ้งรากกับหุบผา  แต่ เขายังคงเอ่ยมันออกมา

 

ดวงตาของจวินโม่เซี่ย มิอาจกลั้นความสำนึกอย่างจริงใจ

 

ยอดฝีมือเทพเชวียนพ่ายแพ้ต่อเด็กหนุ่มหยกเชวียนต่อหน้าทุกคน  และ … เขายังยอมรับมันต่อหน้าทุกคน

 

ท่าทางเช่นนี้คืออันใดกัน ?

 

ชื่อเสียงนั้นสำคัญอย่างยิ่งของคนผู้หนึ่งในโลกนี้  ไม่มีมากนักที่จักยอมรับความพ่ายแพ้อย่างใจกว้างเช่นนี้