ทัศนะของเขาคือ “เพียงแค่พ่ายแพ้เท่านั้น ” ซึ่งทำให้จวินโม่เซี่ยประทับใจ จากนั้น เขายิ้มกับตัวเอง

 

” ท่านพี่และข้าแข่งขันอันใด ?  ชัยชนะและพ่ายแพ้สำคัญอันใด ?  ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งหมดเพราะน้องผู้นี้โอหังนัก  ข้ามิได้ตอบคำถามท่านพี่  ข้าเอ่ยวาจาหยาบคาย  น้องผู้นี้มิควรเอ่ยเช่นนั้น ”

 

“อืม !  เจ้าชนะ เจ้าเด็กเหลือขอ !  มิจำเป็นต้องอ้อมค้อม ปกป้องเกียรติข้า  ชนะคือชนะ และ แพ้คือแพ้  การพยายามปกปิดมันดีอย่างไรกัน ? “

ตงฟางเหวินเต้าเอ่ยด้วยโทสะ ที่เจ้าเอ่ยกับข้าเช่นนั้นได้ เพราะว่าเจ้าสามารถจัดการข้าได้ !

 

”  ข้ากังวลเกินไปเมื่อข้ากำลังถามเจ้า  มันคงเป็นความผิดของอาวุโสผู้นี้  เช่นนั้น ข้าต้องขอโทษ ”

 

จากนั้นเขาคำรามทางจมูก และเอ่ย

“กระนั้น อาวุโสผู้นี้จักมาหาเจ้าใหม่ในวันหน้า  และ ฝีมือของเราจักเหมาะสมกันเมื่อถึงเวลานั้น ! ”

 

” ฮ๋าฮ่า … น้องผู้นี้จักรอคอยเวลานั้น  กระนั้น ความแข็งแกร่งของท่านพี่และข้านั้นต่างชั้นกันยี่สิบสามสิบเท่า  ข้ากลัวว่าท่านพี่จักบดขยี่ข้าเป็นผุยผงหากเราเผชิญหน้ากันด้วยความแข็งแกร่งที่แท้จริง ! ”

จวินโม่เซี่ยต้องการสานสัมพันธ์กับพวกเขา  เช่นนั้น เขาจึงเอ่ยถ่อมตัว

 

” เป็นดั่งวาจาเจ้า ! ”

ตงฟางเหวินต้าคำรามทางจมูกและเอ่ยด้วยท่าทีโอหัง

“เจ้าเด็กเหลือขอ เจ้านั้นมีไหวพริบ  หากข้าต่องสู้กับเจ้าอย่างจริงจัง … ผลที่ตามมานั้น … อ่า … ข้าไม่มั่นใจว่ามันจักเป็นเช่นไร .. การเคลื่อนไหวของเจ้านั้นว่องไวยิ่งนัก  รวดเร็วยเกินกว่าข้า !  ความจริง เจ้าจึงมิอาจเทียบได้ !  เจ้าลูกสุนัข ! ”

 

ตงฟางเหวินต้ามิอาจกลั่นความตกใจไว้ได้เมื่อเขาเอ่ยจบ  เขาวิเคราะห์ ความเร็วของคนอื่นๆ  เข้ารู้ว่าเขาสามารถสังหารเจ้าหยกเชวียนเหลือขอได้หากเขาใช้ปราณเทพเชวียนของเขาลอบโจมตีอย่างไร้ยางอาย

 

เขาเป็นยอดมือสังหาร  ดังนั้น การลอบโจมตีของเขานั้นเป็นเลิศ กระนั้น จึงมิเป็นการดีหากจักใช้ความแข็งแกร่งระดับเทพเชวียนของเขาจัดยการกับเด็กหนุ่มหยกเชวียน  เขาจักใช้วิธีการนี้หากไม่มีทางเลือกอื่น  แต่ เขารู้ว่าเขายังคงล้มเหลวที่ัจักสังหารเด็กหนุมผู้นี้ หากเขามีโอกาสได้เตรียมตัวรับการลอบโจมตีของเขา …

 

ข้าอาจจักไม่สามารถสังหารเจ้าเด็กเหลือของผู้นี้หากข้าใช้ทุกอย่างที่ข้ามี อ่าห์ !

 

ช่องโหว่ยังคงมีอยู่ไม่ว่าเขาจักพยายามปิดบังความแตกต่างของฝีมือของพวกเขามากแค่ใหน  ตงฟางเหวินต้าเคยเชื่อมั่นว่าไม่มีผู้ใดสามารถหลบหลีกการโจมตีของเขาได้  กระนั้น เขาไร้ความมั่นใจในตัวเองหลังจากที่เขาได้เห็นความเร็วอันน่าหวาดกลัวของเจ้าเด็กเหลือขอผู้นี้  เอาละ อย่างน้อยเขาก็ไม่เหลืออะไรมากมาย …

 

ผู้อื่นมิสามารถหลบหลีกการโจมตีของข้าได้ … แต่เจ้าเด็กเหลือขอนี่ .. ยากจักเอ่ยยิ่งนัก

 

จวินโม่เซี่ยยิ้มชั่วร้าย  คนผู้นี้มีความ ซื่อตรง ยุติธรรม และน่าชมเชยอย่างลึกซึ้ง  เขามิได้คาดถึงสิ่งนี้

 

ตงฟางเหวินชิง ก้าวขึ้นหน้า  เขาประมือ และเอ่ยด้วยท่าทีเป็นมิตร

” เจ้าชื่ออันใดน้องชาย ?  อาจารย์ของเจ้าคือผู้ใด ?  วรยุทธนั้นรุนแรงยิ่ง  ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก ! ”

 

 

ตงฟางเหวินเจี้ยน และ ตงฟางเหวินต้ามองเขาขณะถาม  ชัดเจนว่าพวกเขาสนใจใคร่รู้

 

ชายทั้งสองคิดถึงการคำถาม และความสงสัยของเขาจักชัดเจน เมื่อพวกเขารู้ถึง เบื้องลึกเบื้องหลัง และชื่อของเด็กผู้นี้  บุรุษทั้งสามตัดขาดจากสังคมเป็นเวลานาน แต่พวกเขายังคงรู้ถึงความลับอันทรงพลังของโลกมากมาย  ไม่อาจบอกได้ว่าพวกเขาคุ้นคยกับสกุลทรงอำนาจเหล่านั้น แต่พวกเขานั้นรู้อยู่เพียงพอ

 

บุรุษทั้งสาม สืบค้นไปในความทรงจำและเกือบจักปวดหัว  แต่ พวกเขายังมิอาจคิดได้ว่าสถานที่ใดสามารถฝึกฝนศิษย์ผู้ชั่วร้ายนี้ได้

 

คนสามัญสามารถฝึกฝนความแข็งแกร่งเช่นนี้ได้ในอายุเพียงนี้ได้อย่างไร ?

 

ใบหน้าของบุรุษทั้งสามเต็มไปด้วยความคาดหวัง  พวกเขาเตรียมตัวสำหรับทุกความเป็นไปได้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จักไม่ตอบ  กระนั้น คำตอบ  หากมี จักชี้ไปยังผู้ที่มีอำนาจสามารถทำให้โลกสั่นคลอนได้  คนผู้นั้นมิอาจสามัญได้อย่างแน่นอน !

 

” ฮี่ฮี่ .. ท่านพี่ชมข้าเกินไป !  ท่านพี่ใจกว่างยิ่งนัก  วรยุทธของท่านเป็นเลิศนัก  น้องผู้นี้ขอชื่นชม !  ยิ่งกว่านั้น ท่านพี่มีนั้นมีนิสัยสูงส่ง และไร้กังขา !  ข้า เคารพท่านอย่างจริงใจ ”

จวินโม่เซี่ยเอ่ยวาจาสุภาพ  จากนั้น เขาจึงตัดสินใจว่าไม่จำเป็นต้องมีความลับอันใด และเอ่ย

” ข้ามาจากสกุลจวิน ชื่อ จวินโม่เซี่ย ! ”

 

” หืม …. ?!  ….  แจ๊ป …. แจ๊ป … แจ๊ป …”

 

” ข้าจวินโม่เซี่ย ”

สี่คำนี้ส่งผลที่แปลกประหลาด

 

ตงฟางเหวินชิง และ ตงฟางเหวินเจี้ยน ร้องออกมาประหลาดใจ  พวกเขาเซถอยหลังสองก้าว  ดวงตาบ่งบอกถึงความประหลาดใจ  พวกเขาตกตะลึงราวกับเห็นผีท่ามกลางแสงตะวัน

 

สำหรับน้องสาม ตงฟางเหวินต้า … ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้น  ทั้งร่างของเขาแดงก่ำ  ความจริง ร่างของเขาเริ่มเซราวกับดื่มสุราเข้าไป  เสียง “หึ ?! ” ดังออกมาจากปากของเขาขณะสะอึก  ดูเหมือนว่าน้ำลายกำลังติดคอ และทำให้เขาสำลัก

 

จวินโม่เซี่ย อดรู้สึกภูมิใจมิได้เมื่อได้เห็นสิ่งเหล่านี้

คุณชายน้อยผู้นี้เริ่มมีชื่อเสียง !  ชื่อเสียงของข้ากระจอนกระจายไปทั่วแดน !  แม้แต่สามยอดฝีมือเทพเชวียนยังตกตะลึงเมื่อได้ยินชื่อข้า !  สิ่งนี้เรียกกันว่า มีชื่อเป็นที่รู้จัก !  ดูราวกับชื่อเสียงของข้าเฉิดฉายดังแสงจันทรา … ความรู้สึกนี้ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง …

 

จวินโม่เซี่ยอดรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อยมิได้

 

” เจ้า .. เจ้า … เจ้าบอว่าเจ้าเป็นใคร ?  จวินโม่ … เซี่ย ?  เทียน เทียน … โม่เซี่ยแห่งสกุลจวิน แห่งเทียนเชียง ?  คุณชายน้อยที่สามสกุลจวิน ? “

ปากของตงฟางเหวินเจี้ยนเบี้ยวและเขาหรี่ตาขณะถาม  น้ำเสียงของเขาไม่เชื่อ  ยอดฝีมือเทพเชวียนผู้ทรงพลังพูดติดอ่าง  ชัดเจนว่าชื่อนี้ทำให้เขาตะลึง

 

” ใช่ ? ข้าคือคุณชายน้อยสามแห่งสกุลจวิน  มีอะไรไหรือ? “

จวินโม่เซี่ยรู้สึกภูมิใจมากขึ้น  เขาเดาว่าบุรุษเหล่านั้นต้องเตะก้นตัวเอง  จากนั้น เขากจึงแสดงท่าทางหยิ่งทะนง

 

” เจ้าคือคนรุ่นที่สามแห่งสกุลจวินจริงๆหรือ ?  และ จวินจ้านเเทียน .. คือปู่ของเจ้า .. และจวินวูอี้คือน้าของเจ้าใช่หรือไม่ ? “

ตงฟางเหวินต้าถามขณะที่ปากของเขาสูดอากาศ หอบหายใจ และดวงตากลิ้งไปมาด้วยความสับสน  มันดูอ่อนแรง

 

จวินโม่เซี่ยรู้สึกทะนงมากขึ้น  เขาเชิดหน้า และตอบด้วยท่าทีพอประมาณ

” แน่นอน ! ”

 

ดูเหมือนว่าชื่อเสียงสกุลจวินของข้ากระจอนกระจาย !  แม้แต่ยอดฝีมือเทพเชวียนยังคงต้องตกตะลึง !  สิ่งนี้รู้สึกราวความสำเร็จชั้นยอด .. สุภาพ สงบเสงี่ยม..อย่าทำตัวตื่นเต้น … !

จวินโม่เซี่ยยังคงถือตัวต่อไป

 

” ฮ่า …  ฮ่าาา … ฮ่าาาา… ”

สามยอดฝีมือเทพเชวียนหอบและเบิกตากว้าง  ร่างของพวกเขาสั่น  พวกเขาเพ่งมองจวินโม่เซี่ยอย่างมีนัยยะ  ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังอมผ้าขี้ริ้วไว้ที่ปากและกลืนเข้าไป  พวกเขารู้สึกอยากโอบกอดจวินโม่เซี่ยเพื่อแสงถึงความรัก

 

” เจ้า .. เจ้า … เจ้าต้องการอันใด ? “

ท้ายที่สุดจวินโม่เซี่ยรู้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติ  ทั้งสามผู้นั้นมีงานอดิเรกแปลกประหลาดหรืออย่างไร ?  ข้าจักไม่หวาดกลัวได้อย่างไรหลังจากได้เห็นสิ่งนี้ ?

ยิ่งเขาคิด … เขายิ่งรู้สึกยะเยือก  ขนทั้งร่างของเขาชูชัน และไหล่ของเขาเริ่มสั่น  เช่นนั้นเขาจึงบังคับตัวเองให้ถามคำถาม อย่างสงบนิ่งมากที่สุดเท่าที่ทำได้

 

“ข้า … เราต้องการสิ่งใด ? “

แก้มของตงฟางเหวินต้าบวมขึ้น  ดวงตาของเขาปูดขึ้นดั่งปลาทอง  และจากนั้น เขาปล่อยวางมันทั้งหมดขณะที่เขากัดฟันและเอ่ย

” เจ้าถามว่าเราต้องการสิ่งใด ?  ข้าต้องการเตะก้นน้าพิการของเจ้า สามแสนครั้ง !  ข้า … ข้าเป็นน้าทางฝ่ายแม่ของเจ้า !  เจ้าเด็กเหลือขอ เจ้าแทงน้าฝ่ายแม่ของเจ้าอย่างหยาบคาย ! ”

 

” เจ้าโง่  ข้าเป็นผู้สืบเชื้อสายของท่าน อะไรกัน ?  ท่านกล้าหาประโยชน์จากข้า !  และท่านยังต้องการทำร้ายลุงสามของข้า ?  เชื่อหรือไม่ ข้าก็จักทำเช่นนั้นกับท่าน ! ”

จวินโม่เซี่ยตอบกลับไปด้วยโทสะที่ลุกไหม้  เขาสาบานและสาปแช่ง

พวกเจ้าหาประโยชน์จากข้าอย่างหน้าด้าน !  ยอดฝีมือเทพเชวียนทั้งสามอย่างพวกท่านเชื่ออจริงๆหรือว่าท่านมิใช่คนสามัญ ?

 

” ข้าจะปล่ำแม่ของแม่เจ้า เจ้าเด็กเหลือขอ !  เจ้ากล้าข่มเขงข้าได้อย่างไร ?! “

ตงฟางเหวินต้าตะโกนด้วยโทสะ  กระนั้น เขาก็ยังเอ่ยไม่จบ เมื่อสองฝ่ามือปะทะเข้ากับแก้มของเขาอด้วยเสียง เพี๊ยะ ! จากนั้นเขาล้มลงบนพื้น  หน้าทั้งสองฝั่งของเขาบาดเจ็บสาหัส  ดูเหมืนอว่าหูของเขาโดนเสียงฟ้าคำรามโจมี  จากนั้น คนผู้หนึ่งคำรามขึ้น

” เจ้าพูดเรื่องน่าอับอายอันใด ?! “

 

ตงฟางเหวินต้านึกถึงสิ่งที่เขาเอ่ยได้ทันที และตระหนักได้ว่าเขามิควรเอ่ยวาจาหยาบคายเหล่านั้น  ย่าของจวินโม่เซี่ยก็คือแม่ของพวกเขา  เขาเอามือปิดหน้าด้วยความขมขื่น  เขามิกล้าเอ่ยสิ่งอื่นได้

 

ตงฟางเหวินชิงหันไปหาจวินโม่เซี่ย และเอ่ย

” โม่เซี่ย … มันเป็นเช่นนี้ … ข้าคือลุงฝ่ายแม่ผู้อาวุโสที่สุดของเจ้า ! “

 

จวินโม่เซี่ยรู้สึกเศร้าหมอง ..

 

อย่างแรก น้องของเจ้าบอกว่าเขาคือลุงสามฝ่ายแม่ของข้า  และ ตอนนี้ เจ้ายังบอกว่าเจ้าคือลุงใหญ่ของแม่ข้า  พวกเจ้ากำลังหลอกข้า …

 

หรือยอดฝีมือเทพเชวียนทั้งสามเป็นพวกนักตุ่มตุ๋น ?

 

” เจ้าอาจมีความสงสัยมากมาย และนั้นถูกต้อง  แต่เจ้ารู้ชื่อสกุลแม่ของเจ้าเสมอใช่หรือไม่ ? “

ตงฟางเหวินชิงสั่นเทาเล็กน้อย  ดวงตาของเขาเบิกโพลง และเอ่ยด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์

“แม่ของเจ้าชื่อว่า ตงฟางเหวินซิง นางคือน้องเล็กของเรา … ข้าคือพี่ใหญ่ของแม่เจ้า .. ตงฟางเหวินชิง!

 

“สองผู้นั้นคือพี่น้องฝ่ายแม่ของเจ้าเช่นกัน  นี่คือ ตงฟางเหวินเจี้ยน และ อีกหนึ่งที่เจ้าได้ต่อสู้ด้วยคอ ลุงสามของเจ้า ตงฟางเหวินต้า

 

จวินโม่เซี่ยรู้สึกวิงเวียนทันที

 

นรกขุมใดกัน !  นี่มิใช่เรื่องบังเอิญเกินไป …

 

สามยอดฝีมือเทพเชวียน … คือลุงฝ่ายแม่ของข้า ?!

 

ข้ามีลุงเป็นสามยอดฝีมือเทพเชวียน ?!

 

จวินโม่เซี่ยรู้ถึงความสัมพันธ์ทั้งหมดนั้นจากจวินโม่เซี่ยคนก่อน เนื่องจากเขาได้รับร่างนี้มา  เขาเข้าใจพวกมันได้อย่างชัดเจน  ความจริงที่ว่า สกุลจวินมิได้ติดต่อกับสกุลอื่นๆที่เกี่ยวดองกันนั้นทำให้เขางุนงง  กระนั้นเขาก็พอรู้มาว่ามันเป็นเพราะเรื่องราวในอดีต  พ่อของเขา และลุงสองถูกสังหารในสนามรบ  แม่ของเขาล้มป่วยหนักเพราะเรื่องนี้ นางไม่เคยหายดีเลย  นางจึงถูกนำตัวกลับไปยังสกุลของนาง  ไม่นานสกุลจวินก็ได้ข่าวการตายของนาง

 

จวินโม่เซี่ย คิดถึงเรื่องราวเหล่านั้นอย่างละเอียด  แต่ เขาก็ยังไม่รู้อะไรมากนัก  แต่ เขาก็ยังไม่ยอมแพ้  เขายังคงมองหารายละเอียดอย่างลับๆ  เขาได้รับร่างนั้น และได้สกุลที่รับเลี้ยงอย่างจริงใจ  ดังนั้น เขาจึงรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของเขาที่จักต้องใช้ความพยายามทั้งหมด

 

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวในอดีตนั้นเป็นดั่งหมอกที่พร่ามัว  เราสามารถมองเห็นที่อยู่ตรงข้าได้อย่างเลือนลาง  แต่ ไม่มีผู้ใดสามารถเห็นอีกฝั่งได้อย่างชัดเจน  มีเรื่องราวเลวร้ายอันใดซ่อนอยู่ ?  แต่ หากมีการฆ่าตรกรรมอยู่เบื้องหลังฉากนั้น … มันก็มีเพียง นครพายุหิมะสีเงิน?  จวินโม่เซี่ยไม่มั่นใจในเรื่องนั้น …

 

ดังนั้น เขาจึงรวบรวมข้อมูลอย่างลับๆ เบาะแสเล็กๆน้อยในแต่ละครั้ง  เขาจักไปแม้น นครพายุหิมะสีเงิน หากเขาต้องการ  และ อาจจะไปยัง อาณาจักนเฉินซี และ อาณาจักนยูถัง หากต้องการ  อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยสงสัยในอาณาจักรเทียนเชียงมากกว่าที่อื่น

 

นี่คือหนึ่งในหลายๆเหตุผลที่จวินโม่เซี่ยตัดสินใจช่วยเหลือ หยางมู่  นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาจึงไม่ลังเลที่จักมีส่วนเกี่ยวข้องในการต่อสู้เพื่ออำนาภายในราชวงศ์

 

องค์รัชทายาทอาจมุ่งมั่นอย่างมาก  แต่ มันก็ยังเป็นธุระของข้ามิใช่หรือ ไม่ว่าสกุลของพวกเขาจักล่มสลายหรือไม่ ?  ข้า จวินโม่เซี่ย เช่นนั้น ข้าจักปล่อยเจ้าให้อยู่กับสกุลจวินของข้าได้อย่างไร ?  ฮึ่ม !  เจ้ายังมิได้วางแผนการด้วยซ้ำ แลข้าจักลอบตัดหัวเจ้าในตอนค่ำคืน  ความแข็งแกร่งของเขาอาจไม่แข็งแกร่งเท่ายอดฝีมือเทพเชวียน แต่เจ้าเป็นเพียงจักรพรรดิ  บางทีเจ้าอาจมียอดฝีมือเทพเชวียนปกป้องเจ้า  แต่ ข้าสามารถสังหารเจ้าได้ตราบใดที่ตัวเจ้ามิได้เป็นยอดฝีมือเทพเชวียน !