TB:บทที่ 94 รังแกคนไม่มีทางสู้

 

“ผีเสื้อโบยบินผ่านดงดอกไม้….”

จางเสี่ยวตัวไหวสั่นอยู่บนพื้น

“เขาตามไปเรื่อยๆทีละครั้ง”

จางเสี่ยวโดนบดขยี้เป็นผุยผง

“แย่งลูก…”

จางเสี่ยวขวางไม่ได้แม้แต่เส้นผม

“หยุดวิ่ง กระโดดขึ้น ชู้ต….”

“จบสิ้นสามนาที….”

…….

เฉินหลงใช้สกิลการเล่นบาสเกตบอลทั้งหมดอย่างมีฝีมือ วิธีการจู่โจมของเขาช่างเหมือนกับดอกไม้หมื่นดอกในถัง จางเสี่ยวอยากตายเสียเหลือเกิน ชีวิตที่ทำอะไรไม่ได้ เป็นอีกครั้งที่เขาเริ่มเคลือบแคลงชีวิตตนเอง

เฉินหลงดังค์ลูกสุดท้ายด้วยสองมือ จบการประลองตัวต่อตัวนี่ไป

“นายไม่ได้กันลูกบอลเลยทั้งสิบลูก ตอนนี้จะทำตามอย่างที่พนันไว้ก่อนหน้าได้หรือยัง” เมื่อเฉินหลงดังค์ลูกแล้ว เขาเก็บลูกบาสเกตบอลและโยนไปให้จางเสี่ยว

เมื่อได้ยินคำของเฉินหลง สีหน้าจางเสี่ยวเปลี่ยนเป็นเหยเก ราวกับเขาถูกทำร้ายจนตั้งคำถามกับชีวิตตนเอง ตอนนี้เขาต้องคุกเข่าคำนับเฉินหลงถึงสามครั้ง และนี่แหละคือสิ่งที่ฆ่าเขาได้จริงๆ

“ไม่ใช่ว่าอยากจะคำนับแบบหัวชนพื้นหรือ แต่ถ้านายตกลงต่อหน้าทุกคนว่าจะไม่เข้าใกล้เสี่ยวเหวินในสิบเมตรเสียงหัวที่จะชนพื้นสามครั้งก็ไม่จำเป็นนะ” เฉินหลงมองใบหน้าจางเสี่ยวและกล่าวด้วยรอยยิ้มรังเกียจ

“หมายความตามที่พูดจริงๆนะ” จางเสี่ยวเงยหน้ามองเฉินหลง

ในตอนนั้น จู่ๆจางเสี่ยวคิดว่าเฉินหลงตั้งใจให้เป็นแบบนั้น

“ถ้าคิดว่าฉันหมายความตามที่บอกไป ฉันจะขุดหลุมให้นายกระโดด” เฉินหลงไม่ได้ยืนยันหรือปฏิเสธ

“นี่ แม้ฉันจะพลาดคราวนี้แต่ฉันหวังต่อไปว่านายจะไม่พลาดมาตกอยู่ในมือฉันนะ” เมื่อกล่าวจบ จางเสี่ยวก็หยิบลูกบาสเกตบอลและเดินไปทางฮ่าวฉิเหวิน

เฉินหลงไม่ได้ใส่ใจคำขู่ของจางเสี่ยว เสือจะไปกลัวคำขู่ของกระต่ายทำไมกันเล่า

“คุณฮ่าว จากวันนี้ไป ผมจะไม่ปรากฏตัวแถวที่คุณอยู่ภายในสิบเมตร” จางเสี่ยวหน้าดำหน้าเขียวพูดกับฮ่าวฉิเหวินต่อหน้าเพื่อนๆ

เฉินหลงยิ้มให้ฮ่าวฉิเหวินขณะมองจางเสี่ยวเดินจากไป

“โอ้โห้ ตะกี้เยี่ยมสุดๆไปเลย คุณเป็นมืออาชีพนี่”

“หกร้อยหกสิบหก ต่อ หก”

“จริงๆหมอนั่นไม่เลว แต่บังเอิญว่าคู่ต่อสู้เก่งไปหน่อย ความสามารถระดับนี้คือระดับแข่งในซีบีเอแน่ๆ”

…….

เมื่อจางเสี่ยวไปแล้ว คนที่ดูการแข่งขันอยู่ก็พูดคุยเรื่องเฉินหลงกัน บางคนที่ดูการแข่งถึงขนาดอยากถ่ายรูปกับเฉินหลงด้วยซ้ำ การประลองนี่ทำให้เฉินหลงได้แฟนคลับเพิ่มมาด้วย

หลังจากพบปะแฟนคลับตามที่พวกเขาต้องการแล้ว เฉินหลงกับฮ่าวฉิเหวินก็ออกไปจากสนามแข่ง

“พี่หลง ขอบคุณนะคะ ไอ้หมอนั่นเป็นก๊อบบลินขี้ตื๊อที่มหาลัยเลย หมอนั่นมาก่อกวนฉันได้ทุกวี่ทุกวัน ฉันเบื่อเขาแทบตาย แต่ตอนนี้หมอนั่นจะมากวนฉันไม่ได้แล้ว ฉันพูดได้เลยว่าหมอนี่เป็นขยะเพราะทุกๆคนพูดแบบนั้น เขาเป็นคนมั่นหน้าด้วย เขาไม่รู้สึกดีกับตัวเขาเองหรอก” ฮ่าวฉิเหวินนั่งข้างเฉินหลงและกล่าวอย่างมีความสุข

ตั้งแต่จางเสี่ยวมาตามตื๊อฮ่าวฉิเหวิน ชีวิตของเธอไม่มีความสุขเลย หมอนั่นส่งดอกไม้หลายช่อให้เธอทุกวัน บางครั้งหมอนั่นตะโกนด้วยเสียงที่เหมือนทรัมเป็ตพังๆ ฮ่าวฉิเหวินหน่ายเสียเหลือเกิน ตอนที่เธอได้พักผ่อนหมอนี่ก็ตามมาก่อกวนอีก ถ้าฮ่าวฉิเหวินฆ่าหมอนั่นได้คงทำไปแล้ว แต่ตอนนี้หมอนั่นไม่อยู่กวนใจเธอแล้ว ฮ่าวฉิเหวินมีความสุขจากใจจริง

“เรื่องง่ายๆหน่า” เฉินหลงยิ้ม

“พี่หลง ทำไมพี่เล่นเก่งจัง” ฮ่าวฉิเหวินถามต่อไป

เพราะเธอเป็นแฟนบาสทำให้เธอรู้ระดับฝีมือการเล่นของเฉินหลงอย่างแน่ชัดเพียงได้ดูเขาเล่น ถึงระดับของฝีมือของจางเสี่ยวจะต่ำมากแต่การเล่นแบบมืออาชีพของเฉินหลงทำให้รู้ได้ว่าเขาฝึกอย่างหนักแน่นอน

“ปกติฉันฝึกไม่ก็เล่นตามใจน่ะ จะว่าไป ให้ฉันไปส่งไหม ตอนนี้เธอจะไปที่ไหนละ”

เฉินหลงไม่อยากสอนการเล่นบาสเกตบอลให้ฮ่าวฉิเหวิน

“พี่หลงจะไปส่งฉันก็ได้”

ฮ่าวฉิเหวินสะเทือนใจมากที่รู้ว่าเฉินหลงไม่ได้รู้สึกอะไรไปมากกว่าเพื่อนเลย ลึกๆแล้วเธอรู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อยแต่แล้วเธอรู้สึกโล่งใจ

เพราะในท้ายที่สุด เฉินหลงและตัวเธอได้รู้จักกันเพียงครึ่งวันเท่านั้น แค่นี้ไม่พอให้ใครตกหลุมรักใครหรอก

อย่างไรเสียเธอตัดสินใจไปแล้วว่าจะติดต่อกับเฉินหลงให้มากกว่านี้อีก เหมือนกับซุปนั่นแหละที่ต้องเคี่ยวช้าๆ

บ้านของฮ่าวฉิเหวินอยู่ที่ย่านหรูแถววิลล่าตรงถนนวงเวียนที่สอง เมื่อเขาส่งเธอแล้ว เฉินหลงออกตามหาเต๋ากวงหานต่อไป

หลังจากส่งฮ่าวฉิเหวินแล้ว เฉินหลงเพิ่งฉุกคิดได้ว่าเขาไม่ได้มอบของขวัญให้ฮ่าวฉางชิง แต่ยังมีครั้งหน้า

ขณะนั้น เต๋ากวงหานกำลังแกะสลักเศษหยกอยู่ด้วยมีดแกะสลักเล็กๆในบ้านสามัญที่ตั้งอยู่ในย่านธรรมดาๆตรงแถวรอบนอกของถนนวงเวียนที่สี่

ผู้ฝึกศิลปะป้องกันตัวต้องให้ความสำคัญกับคำว่า “ความมั่นคง” เหมือนกับขั้นตอนแรกของการขี่ม้า ที่ผู้ขี่ต้องทำตัวให้นิ่งไว้ หลังจากที่ฝึกฝนการใช้อาวุธแล้ว ควรให้ความสำคัญกับความนิ่งของตนด้วย เพราะเพียงแค่ความมั่นคงของอาวุธในมือคุณไม่สามารถทำอะไรได้เลยเมื่อต้องต่อสู้จริง

การฝึกฝนก็เหมือนกับการแกะสลัก

เพราะการแกะสลักบนเศษหยกชิ้นเล็กๆต้องอาศัยทั้งแรงกายและความมั่นคง เป็นการฝึกควบคุมที่เหมาะสมยิ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งผลงานที่สมบูรณ์แบบ

การแกะสลักคล้ายกับการฝึกมีด วินาทีที่มีดแกะลงไปเพียงหนึ่งมิลลิเมตรสามารถบอกถึงความเที่ยงตรงของดาบและฝีมือที่เทียบกันไม่ได้ระหว่างความนุ่มนวลและการความสามรถของการป้องกัน

เฉินหลงขับรถไปยังสถานที่ที่เต๋ากวงหานอยู่ เขาขึ้นไปที่ชั้นที่เต๋ากวงหานอยู่และเคาะประตู

ในทันทีที่มีเสียงเคาะประตูหน้าบ้าน มือของเต๋ากวงหานสั่นไหวเล็กน้อยทำให้เศษหยกที่เขาสลักอยู่มีรอยมีด

เมื่อได้เห็นร่องรอยบนหยกแล้วเต๋ากวงหานส่ายศีรษะไปมา จิตใจเขายังสงบไม่พอให้ละการก่อกวนจากโลกภายนอกได้

เขาวางมีดและหยกลงบนโต๊ะทำงานตรงหน้าและค่อยๆเดินไปเปิดประตู

หากไม่ได้ยินเสียงเคาะแล้วเต๋ากวงหานอาจจะแกะสลักต่อแต่เมื่อได้ยินไปแล้ว เขาทำได้เพียงเดินไปเปิดประตู

“นี่นายเหรอ” เมื่อประตูเปิดออก เขาเห็นเฉินหลงยืนอยู่หน้าประตู ใจหน้าเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

เขาไม่ได้บอกที่ซ่อนในเมืองหลวงนี้กับใคร รวมถึงเฉียนชานเจียด้วย แต่เฉินหลงหาเจอได้อย่างง่ายดาย เขารู้สึกทึ่งจริงๆ

“แปลกใจที่ได้เจอผมหรือ” เฉินหลงยิ้มให้เต๋ากวงหาน โดยปกติแล้วเขาจะไปเข้าบ้านเต๋ากวงหาน แต่เมื่อเห็นบ้านที่ธรรมดาเช่นนี้ เขาจึงพูดต่อไปว่า “ที่นี่เยี่ยมมากเลยนะ คุณเจอที่แบบนี้ได้ด้วย”

“การหลบซ่อนที่ดีที่สุดคือทำตัวให้เหมือนคนสามัญ” เต๋ากวงหานค่อยๆปิดประตู เขาระวังตัวกับเฉินหลง

แม้เต๋ากวงหานจะเรียนรู้ศิลปะการป้องกันตัวทั้งหมดที่มีต้นกำเนิดมาจากเต๋า แต่เขาก็รู้สึกว่าเขาดีไม่พอหากไม่มีเต๋า