แม้จะโกรธถึงมากแค่ไหน ก็ไม่ควรเรียกเชื่อยู่ยี่ ไฟโทสะวิ่งพล่านอยู่หน้าอกของเธอ เธอไม่คิดจะนอน ยืนอยู่ที่หน้าต่าง กัดฟันแน่น
การกระทำเช่นนี้ของหัสดิน ทำให้เรนนี่ไม่สามารถนั่งลงได้ เปลวไฟแห่งโทสะกำลังวิ่งพล่านอยู่ในอก
ไม่รู้เหมือนกัน เวลาไหน อารมณ์ของเธอถึงจะระเบิดออกมา
อารมณ์ร้ายพวกนั้นของเธอ มันถูกระงับไปนานแล้ว พูดได้อย่างเต็มปาก ว่ามันถูกระงับได้ประมาณเจ็ดปีแล้ว หากจะระเบิดออกมา ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นอย่างไร……
ตอนเช้า เรนนี่ยังไม่ตื่น เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น ทำเธอตื่น หัวคิ้ว เธอขมวดเข้าหากัน รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
หัสดินยังคงหลับอยู่ข้างกาย ไม่คิดลุกขึ้นไปเปิดประตู ซึ่งไม่มีทางเลือกอื่น ซึ่งทำให้เรนนี่รัดชุดนอนในกายให้แน่น และไปเปิดประตู
ผู้ที่ยืนอยู่นอกประตูคือชฎารัตน์ทันใดนั้น ความไม่พอใจบนใบหน้าของเรนนี่ก็จางหายไป พร้อมเผยรอยยิ้มออกมา “อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณแม่”
“นี่มันสายมาแล้วนะ แปดโมงครึ่งแล้ว” ชฎารัตน์แสดงสีหน้าไม่ค่อยดีนัก พลางพูดตำหนิเล็กน้อย“หัสดินล่ะ”
“เขายังหลับอยู่ค่ะ” เรนนี่พูด เพราะเธอไม่ได้ไปทำงานอยู่แล้ว ถึงจะเก้าโมงแล้วยังไงล่ะ
“เมื่อคืนเขาดื่มไปไม่น้อยค่ะ เมาจนโงหัวไม่ขึ้น ตอนเช้าย่อมตื่นไม่ไหวอยู่แล้วค่ะ”
“ในฐานะภรรยา หน้าที่ของเธอคืออะไร เขาลุกขึ้นไม่ไหว เธอปลุกเขาตื่นไม่ได้เหรอ ยังต้องให้ฉันเตือนเธออยู่หรือไง”
ในใจเรนนี่ไม่พอใจเป็นอย่างมาก รู้สึกว่าชฎารัตน์ว่าแค่ต้องการที่จะหาเรื่องเธอเท่านั้น
แต่ว่า ไม่สามารถแสดงอาการไม่พอใจออกมาได้ ต้องทำตามอย่างเช่นเดิม ตอบ “ค่ะคุณแม่ ฉันจะไปปลุกเขาเดี๋ยวนี้เลยค่ะ ”
เห็นท่าทีเช่นนี้ของเธอแล้ว ชฎารัตน์ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก จึงหันหลัง เดินจากไป
เมื่อปิดประตู เรนนี่ก็ถอนหายใจ และทำการปลุกหัสดินด้วยเสียงอ่อนโยน ความไม่พอใจนี้ เธอจะกดเก็บมันเอาไว้ก่อน
หลังจากที่หัสดินอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เรนนี่คิดแล้วคิดอีก จึงพูดกับเขาว่า “ พวกเราย้ายออกไปใช้ชีวิตที่อื่น ได้ไหมคะ”
เธอยังคงคิดว่าการอาศัยอยู่ในวิลล่านั้นก็ดีนะ อิสระดี อยากทำอะไรก็ทำ ส่วนการอยู่ในคฤหาสน์ภูษาธรนั้น ต้องค่อยรองรับอารมณ์ทุกวัน ซึ่งมันอึดอัดมาก
แต่ว่า หัสดินไม่เคยมีความคิดที่อยากออกไปอยู่ที่วิลล่า เมื่อมองดูนาฬิกาแวบหนึ่ง ก็หยิบชุดสูทตามสบายอารมณ์ และทิ้งไว้เพียงประโยคหนึ่ง “ค่อยพูดกันที่หลังแล้วกัน ตอนนี้ยังมีประชุม ตอนนี้ก็ถือว่าสายมากแล้ว”
สนามบิน
ฉันทัชลากกระเป๋าเดินทาง ยู่ยี่เดินตามเขาอยู่ข้างๆ เธอเพียงแค่มาส่งเท่านั้น เธอขอลา มาส่งขึ้นเครื่อง
“คุณแน่ใจจริงๆเหรอ ว่าไม่อยากมากับผม” ขายาวยืนนิ่ง หันข้าง แววตาฉันทัชสลดลงเล็กน้อย มือทั้งสองข้างจับไหล่เธอไว้
ยู่ยี่ส่ายหัวปฏิเสธ อย่างความหนักแน่น “ ไม่ไปจริงๆค่ะ ฉันจะอยู่ที่เมืองSค่ะ”
ฉันทัชถอนหายใจเบา ๆ แล้วขยับมือ ดึงเธอเข้าไปในอ้อมกอด น้ำเสียงทุ้มปนความหมดหนทางเล็กน้อย: “ทำไงดี ผมยังไม่ไป ก็คิดถึงเช่นนี้……”
คำพูดทุ้มต่ำที่มีเสน่ห์น่าหลงใหลเล็กน้อย ยู่ยี่ยิ้มเบาๆ ขยับมือของเธอ กอดเขาตอบ สองมือโอบรอบเอวร่างกำยำของเขาไว้
“ถ้าอย่างนั้น ในช่วงที่ผมไม่อยู่นี้ ดูแลตัวเองให้ดีๆ และ ลูกของเรา……” ยื่นมือ จับปลายผมที่ปกบนแก้มของเธอไปไว้หลังหูของเธอ และฉันทัชแนบชิดกับหูของเธอ พูดอย่างเคร่งขรึม
ยู่ยี่พยักหน้า ตอบเขา: “ฉันจะดูแลตัวเองให้ดี และจะดูแลลูกให้ดีด้วยค่ะ คุณก็ต้องดูแลสุขภาพให้ดีๆนะคะ”
ช่วงก่อนที่จะจากลากันนั้น มักทำให้คนรู้สึกอาลัยอาวรณ์ ไม่อยากจากห่างไปไหน
เสียงประกาศแจ้งเตรียมตัวขึ้นเครื่องของไฟล์บินดังขึ้น ฉันทัชยังคงกอดเอวเธอแน่น แนบชิดไม่ยอมห่าง
“ความรู้สึกของคุณ ฉันเข้าใจค่ะ แต่มันเป็นการจากลาชั่วคราว ไปเถอะค่ะ ฉันจะโทรหาคุณทุกวันนะคะ” เธอกล่าว
รอยตึงเครียดบนใบหน้าที่สดใสก็อ่อนลง ฉันทัชยิ้ม พลางมอบจูบที่แสนนุ่มนวลอ่อนหวานลงบนริมฝีปากของเธอ และจูบกันอย่างดูดดื่มเร่าร้อน
จนกระทั่งเสียงประกาศเร่งให้ขึ้นเครื่องดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาจึงยอมลากกระเป๋าเดินทางเดินจากไป เหลือไว้เพียงแผ่นหลัง ที่สูงกำยำไว้กับเธอ
ชุดสูทสีดำเรียบตรง เพราะการยืดตัวตรง พยุงเป็นรูปเป็นร่าง จนเนี้ยบทุกกระเบียดนิ้ว ไม่มีรอยย่นเลยสักนิด ขายาวก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวๆ ออกห่างจากเธอมากขึ้นเรื่อยๆ……
ยู่ยี่ยืนอยู่ที่เดิม มองเขาเดินจากไป พลางยิ้มที่มุมปาก
การตรวจสอบความปลอดภัยได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่เขากลับหันหลังมาอย่างกะทันหัน เดินก้าวยาวกลับมาอีกครั้ง เปิดด้านหน้าเสื้อโค้ทออก ฉันทัชจับใบหน้าของเธอ จูบอย่างสุดซึ้ง
น่าประหลาดใจ จนทำให้ดวงตายู่ยี่จ้องนิ่ง หลังจากนั้น ก็ปล่อยให้เขาจูบตามสบาย จนเผยยิ้มอย่างต่อเนื่อง
หลังจากที่รอเขาจูบเพียงพอแล้ว ยู่ยี่ก็ผลักเขาออก เขารู้หรือไม่ว่า การทำอะไรบุ่มบ่ามของเขาในเวลานี้แตกต่างจากภาพลักษณ์ที่เป็นผู้ใหญ่ มั่นคง และไม่แยแสในอดีตมากนัก
ฉันทัชรู้อยู่แล้ว เขาไม่ได้ทำอะไรบุ่มบ่ามเช่นนี้เป็นเวลานานแล้ว การทำอะไรบุ่มบ่าม ไม่ได้เป็นการกระทำในวัยของเขาตอนนี้แล้ว
แต่ นี่เป็นสัญชาตญาณ และไม่สามารถควบคุมไวได้
“คุณทำอะไรอย่างกะทันหันแบบนี้ คนอื่นจะคิดว่าคุณไม่ปกตินะคะ หรือคุณอาจกำลังพกของที่ไม่สามารถนำติดตัวไปได้” ยู่ยี่กวาดมองไปรอบๆ ผู้คนมากมายกำลังกวาดสายตามาที่นี่แล้ว
“หากสามารถทำได้ ผมหวังว่า จะใส่คุณลงในกระเป๋าเดินทางไปด้วย นี่คือความคิดที่ของผมนะ ลาก่อน ที่รัก……”
ครั้งนี้ เขาไม่เหลียวหลังอีก เมื่อตรวจสอบการรักษาความปลอดภัยก่อนขึ้นเครื่องแล้ว ก็หายไปจากสายตาเธอ
ยู่ยี่ถอนหายใจเล็กน้อย หันหลัง เดินออกจากสนามบิน โก๋สตาร์รถ รออยู่ตรงนั้น เขาตั้งใจสั่งโก๋ให้อยู่ต่อ
จุดประสงค์ที่เขาพาเธอไปนั้น เธอรู้เพียงเล็กน้อย ด้านหนึ่งอาจเป็นเพราะความคิดถึง ไม่อยากแยกจากกัน อีกด้านอาจเป็นเพราะอยากพาไปพบครอบครัวของเขา
ซึ่งความเป็นจริงแล้ว เธอยังไม่พร้อมที่จะไปพบพ่อแม่ของเขา การก้าวไปสู่การแต่งงาน เธอยังไม่เคยมีความคิดเช่นนี้
สำหรับการแต่งงาน เธอรู้สึกมีความหวัดกลัว เมื่อกลับมาถึงอพาร์ตเมนต์ กลับพบนาโนยืนอยู่ใต้ตึก สีหน้าของเธอไม่ค่อยดีนัก คิ้วขมวด พลางเดินเข้าไปหา พานาโนเข้ามาในอพาร์ตเมนต์
“ผู้หญิงคนนั้น ปรากฏตัวต่อหน้าดนัย……” นาโนพูด ปัญหานี้ เธอคิดไว้ตั้งนานแล้ว เมืองSใหญ่เพียงเท่านี้ ทั้งสองก็จะบังเอิญ พบกันสักวัน
ผู้หญิงคนนั้นเหรอ คิดแล้วคิดอีก ยู่ยี่รู้ว่าแล้วว่าที่พูดเธอนั้นเป็นใคร “จากนั้นล่ะ”
“ จากนั้นดนัยก็ให้ฉันกลับคนเดียว เขาจะไปทานข้าวเที่ยงกับผู้หญิงคนนั้น เขาแสดงสีหน้าช็อก แต่กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกเซอร์ไพรส์อย่างเห็นได้ชัด……” นาโนพูดอย่างแผ่วเบา
“แล้วต่อจากนั้นล่ะ” ยู่ยี่มีความร้อนใจเล็กน้อย จึงตามถามต่อเนื่อง
“ฉันก็กลับมาแล้ว”
ยู่ยี่ขมวดคิ้ว “นี่ไม่เหมือนนิสัยของเธอเลยนะ
“เขามองมาที่ฉันด้วยท่าทางอ้อนวอนเล็กน้อยนะ ท่าทีเช่นนั้น ฉันเพิ่งเห็นครั้งแรก”นาโนเปิดโทรทัศน์ ขาของเธอพับอย่างไร้ชีวิตชีวา
ยู่ยี่ยังคงใช้สายตาเช่นนั้นจ้องมองเธอ
นาโนเปิดปาก พูดอีกครั้ง“ ทำไมใช้สายตาแบบนั้นจ้องฉัน ฉันไม่ได้แสนดีอย่างที่แกจินตนาการเช่นนั้น คราวนี้พวกเขาอยู่ด้วยกัน มันต่อหน้าฉัน ฉันก็ทราบเรื่องทุกอย่าง ในเมื่อทราบแล้วว่าฉันรับรู้เรื่องทุกอย่างเช่นนี้แล้ว แกคิดว่าพวกเขายังจะเกิดเรื่องอะไรอีกไหมล่ะ”
ไม่มีอะไรจะพูด ยู่ยี่คิดว่าที่เธอพูดก็ถูก หากทั้งสองพบกัน อีกไม่ช้าก็เร็วก็จะพบกันอีกแน่ ไม่สามารถห้ามได้
แต่ว่า ในเมื่อนาโนรู้แล้วว่าทั้งกำลังอยู่ด้วยกัน ดนัยก็รู้ว่านาโนรู้เรื่องแล้ว งั้นระหว่างสองคนนั้นก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่นอน
ที่จริงแล้วภายในจิตใจนาโนนั้นถือว่าปรับสมดุลได้ดี แม้นิสัยจะขี้โมโห แต่ก็เข้าใจเหตุผลทั้งหมด
ยู่ยี่ไม่ได้คุยเรื่องนี้ต่ออีก แต่เป็นการถามนาโนว่าอยากทานอะไร เธอจะไปทำให้
นาโนจะกล้าให้คนท้องปรนนิบัติได้ยังไง จึงโทรหาร้านอาหาร ทำการสั่งอาหาร
หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ นาโนก็เกิดความเบื่อหน่ายเล็กน้อย ทีวีก็ไม่อยากดู ทำอะไรก็รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง เธอจะไปไนต์คลับ
ยู่ยี่ก็รู้สึกอยากไปเล็กน้อย อยู่คนเดียวในห้อง มันน่าเบื่อ ไร้แม้แต่คนคุยด้วย
นาโนได้ฟังเช่นนี้ ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก พลางยื่นมือไปกอดยู่ยี่ทันที สมแล้วที่เป็นเพื่อนรักฉัน
หลังจากนั้น ทั้งสองก็มุ่งไปที่ไนต์คลับทันที โดยมีโก๋เป็นคนขับรถให้ เมื่อได้ยินสถานที่ทั้งสองจะไป โก๋ก็ขมวดตลอด
เขาคิดว่า คุณฉันทัชต้องไม่พอใจเป็นอย่างมากที่คุณยู่ยี่ไปสถานที่แบบนั้นแน่นอน
เป็นเวลามากแล้วที่ไม่ได้ไปไนต์คลับ สำหรับยู่ยี่กับนาโนแล้ว ไนต์คลับนั้นไม่ใช่สถานบันเทิง แต่เป็นสถานที่ระบายอารมณ์
มาที่นี่ พวกเธอไม่ได้มาแสดงว่าตื่นเต้นเร้าใจ และความบันเทิงแต่อย่างใด เพียงแค่อยากระบายความไม่พอใจและความโกรธต่างๆเท่านั้น
นาโนกำลังเต้นอยู่บนฟลอร์เต้นรำ ยู่ยี่กำลังนั่งอยู่ตรงมุมห้อง กำลังดื่มน้ำผลไม้ เธอนั่งอยู่ในมุมที่เงียบสงบ
หลังจากดื่มน้ำผลไม้หนึ่งแก้ว โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เธอรับสาย เป็นฉันทัชที่โทรมา
“ไปไนต์คลับเหรอ” เสียงเพลงดังสนั่นบวกกับเสียงต่างๆของผู้คนมากมายทำให้คิ้วที่ของฉันทัชมีรอยย่นเล็กน้อย
ยู่ยี่ตอบ “เพิ่งมาถึงค่ะ สั่งน้ำผลไม้ดื่มไปแก้วหนึ่งค่ะ”
“ฟังผมพูดนะ สถานที่แบบนั้นไม่เหมาะสำหรับคุณ เสียงดังเกินไป……” ฉันทัชกำลังดื่มน้ำอุ่น “แถมยัง ……อโคจร”
“ไม่เหมาะสำหรับฉันมา หรือกลัวทำลูกคุณเสียคนหรือคะ”ยู่ยี่ถือโทรศัพท์ไว้ หัวเราะเบาๆ โดยมีลักยิ้มที่มุมปากของเธอ ซึ่งสวยงามมาก
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉันทัชหัวเราะเบาๆ“ทั้งสองอย่าง หากอยากไปจริงๆก็ได้นะ อย่าลืมนั่งในห้องแบบส่วนตัว แบบนี้ ผมถึงจะวางใจหน่อย…… ”
ยู่ยี่ไม่ได้สังเกตเห็น ว่าที่ประตูไนต์คลับกำลังมีคนหนึ่งคนเดินเข้ามา ที่เดินอยู่ข้างหน้าสุดคือหัสดิน
เธอไม่เห็นหัสดิน แต่หัสดินเห็นเธอตั้งแต่แวบแรก แน่นอนว่าได้เห็นรอยยิ้มอ่อนๆคล้ายดอกสาลี่ที่มุมปากของเธอด้วย
หน้าอกของเขาก็กระเพื่อมขึ้นลงทันที แต่ท่าทางของเขายังคงนิ่ง เขายกเท้าก้าวเดิน ตรงไปที่ห้องส่วนตัวบนชั้นสอง
เพียงแค่เห็นเธอ เขาจะนึกถึงคำพูดในวันนั้น ความมุ่งมั่น และความโหดเหี้ยมของเธอ เขาก็ไม่สามารถนิ่ง และควบคุมไม่ได้
จากนั้น เรนนี่และเนเน่ก็มาเช่นกัน และเธอก็บังเอิญเห็นหัสดินก็มาที่นี่ด้วย
“คุณรู้ได้อย่างไรว่าฉันมาที่ไนต์คลับ ดูเหมือนว่า โก๋จะไม่เพียงเป็นคนขับรถของฉันคนเดียวแล้ว แต่ยังเป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของคุณด้วย”
“จะพูดแบบนี้ก็ได้ อย่าอยู่นานมากนะ กลับถึงบ้านเมื่อไหร่โทรหาผมด้วย กลับอพาร์ตเมนต์ก่อนสี่ทุ่ม ไม่งั้น โก๋จะโทรหาผม……” เสียงทุ้มต่ำของเขา สุขุมและ อ่อนโยน
“อุ๊ย ตอนนี้กลายเป็นเครื่องมือข่มขู่ของฉัน ฉันรู้แล้วค่ะ เดี๋ยวก็จะรีบกลับอพาร์ตเมนต์เลยค่ะ ไม่ต้องหวัง”
“ไปกับเพื่อนคุณใช่ไหม”ฉันทัชพูดอีกครั้ง
ยู่ยี่พยักหน้า และบอกเขาว่าคือนาโน ซึ่งเขาเคยพบเจอ และรู้จักแล้ว
ทั้งสองคุยเล่นกันเรื่อยเปื่อย เธอมีรอยยิ้มที่มุมปากอยู่เสมอ หลังจากคุยกันเป็นเวลานาน ถึงจะวางสาย
เรนนี่และเนเน่ก็เห็นยู่ยี่เช่นกัน แต่ยู่ยี่ไม่สนใจพวกเขาทั้งสอง ดื่มน้ำผลไม้ เปิดพลิกนิตยสารไปมา นั่งรอ นาโน
เนเน่ถอนหายใจ อันที่จริง ในบรรดาผู้คนทั้งหมดนี้ ยู่ยี่เป็นผู้ที่มีชะตาชีวิตที่ดีสุดแล้ว