บทที่ 559 ช่างเป็นเรื่องบังเอิญ

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

“ตามที่คูณพูด ก็แปลว่าใครเห็นก่อนก็เป็นของคนงั้นใช่ไหมครับ?”

เมื่อเห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าพูดอย่างไม่มีเหตุผล เย่เทียนก็เริ่มไม่พอใจและยิ้มพูดอย่างเย็นชา “ถ้าเป็นแบบนี้ ผมเห็นเสื้อที่คุณใส่แล้ว คุณก็ควรถอดเสื้อตัวนั้นออกมาให้ผมใช่ไหม?”

“แก……”

ผู้หญิงคนนั้นโกรธมาก และชี้นิ้วใส่เย่เทียนเพื่อต้องการเอาคืน

“อะไรล่ะครับคุณ? ผมก็ไม่รู้ว่าคุณใช้อะไรคิด แต่งหน้าอย่างกับผี แต่ยังกล้าออกจากบ้านอีกเหรอครับ?”

ก่อนที่หญิงสาวจะพูดอะไร เย่เทียนก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ผมเข้าใจว่าคนเกิดมาขี้เหร่นั้นไม่ผิดหรอก เพราะพ่อแม่คุณให้มาแค่นี้ แต่ถ้าคุณจะออกมาหลอกคนแบบนี้ มันก็เป็นความผิดของคุณไม่ใช่เหรอครับ!”

“ได้ ได้ ได้!”

หญิงสาวหัวเราะด้วยความโกรธและพูดออกมาสามคำ จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ “ถ้าคิดว่าแน่ก็อย่ารีบไปไหนก่อนล่ะ เดี๋ยวได้เจอดีแน่!”

เมื่อพูดจบ หญิงสาวคนนั้นก็รีบหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าแล้วกดเบอร์โทรออกและตะโกนว่า “ที่รัก ฉันถูกคนรังแกที่ร้านลูกฟุกจิวเวลรี่ชั้นแปด คุณอยู่ไหนคะ?”

“ใครกันแน่ที่กล้าดีขนาดนั้น? กล้ามารังแกแฟนผมได้ไง? ที่รัก คุณรอผมอยู่ตรงนั้นก่อนนะ ผมจะรีบไปหาเดี๋ยวนี้เลย!”

จากเสียงไม่พอใจที่ดังออกมาจากปลายสาย ทำให้คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ได้ยินเสียงตะโกนนั้น

“เชื่อว่าแกคงได้ยินแล้วนะ ถ้าแน่จริงก็รอไปก่อน สามีฉันกำลังมา จะคอยดูว่าแกยังจะกล้าอวดดีได้อีกไหม!”

หญิงสาวคนนั้นกดวางสาย ใบหน้างดงามของเธอเต็มไปด้วยความเย็นเยือก นัยน์ตากลมโตนั้นแสดงท่าทีที่ไม่พอใจมาก เธอมองไปที่เย่เทียนแล้วตวาดใส่

“ได้สิ! ผมจะรอ!”

ใช่ว่าเย่เทียนจะกลัวเรื่องแบบนี้ ตอนนี้เขาตัดสินใจว่าจะสั่งสอนผู้หญิงคนนี้ให้รู้แล้วรู้รอด ครั้งหน้าเธอจะได้ไม่กล้าทำแบบนี้อีก

เย่เทียนหันกลับไปแล้วพูดกับจี้เยียนหรันว่า “เยียนหรัน คุณช่วยพาพี่สาวคนนี้ไปข้างหลังหน่อยครับ!

“เย่เทียน คุณ……”

จี้เยียนหรันขมวดคิ้วขึ้นและทำเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง

แต่เธอยังไม่ทันได้พูด เย่เทียนก็ส่ายหัวแล้วพูดด้วยรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องห่วงนะ! มีผมอยู่ทั้งคน ไม่มีอะไรหรอก”

เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเย่เทียน จี้เยียนหรันก็ไม่พูดอะไร เธอจึงหันไปเรียกหยุนเหมิงหยานแล้วพาพนักงานไปที่เก้าอี้ด้านหลัง

กริ๊ง กริ๊ง!!

ในขณะนั้นก็มีคนโทรเข้ามาที่มือถือของเย่เทียน เมื่อหยิบขึ้นมาดู ก็พบว่าเป็นสายโทรเข้าจากเซวหมานจื่อ

“คุณโทรมาได้จังหวะพอดีเลยนะ ผมกำลังนึกอยู่เลยว่าจะโทรหาคุณดีไหม!”

“พี่เย่มีอะไรเหรอครับ? เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ?”

แต่ทว่า เสียงที่ดังจากปลายสายไม่ใช่เสียงของเซวหมานจื่อ แต่เป็นเสียงของเซวฟู่ยี่

“นี่ไม่ใช่เบอร์โทรศัพท์ของพี่คุณหรอกเหรอ? แล้วคุณโทรมาได้ไงล่ะ?”

เย่เทียนดูเบอร์ที่โทรเข้ามาอีกครั้ง ก็ยังยืนยันว่าเป็นเบอร์ของเซวหมานจื่อ!

“พี่ขอผมติดธุระกับพ่อผมอยู่ครับ ก็เลยให้ผมมาถามพวกคุณว่าเป็นอย่างไงบ้าง?”

เซวฟู่ยี่อธิบายสั้นๆ และถามด้วยความสงสัยว่า “พี่เย่ครับ ตอนนี้พวกพี่ๆ อยู่ที่ไหนเหรอครับ?”

“เราอยู่ที่ร้านลูกฟุกจิวเวลรี่บนชั้นแปดของห้างสรรพสินค้านิวซัน ตอนนี้มีคนมาหาเรื่องพอดีเลย คุณจะเขามาช่วยเราไหม?”

เมื่อเหลือบมองไปที่หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า เย่เทียนก็แสยะยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย

ถึงแม้เขาไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร แต่เพราะตอนนี้อยู่ในเมืองจิน แค่สุ่มดูคนสัญจรไปมาก็อาจเจอคนใหญ่คนโตได้ อีกอย่างเขาเพิ่งมาถึงที่นี่ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง จึงไม่อยากมีปัญหากับคนอื่นมากไปกว่านี้

“ห้างสรรพสินค้านิวซัน เหรอครับ? พวกพี่รอผมอยู่ตรงนั้นก่อนนะครับ ผมจะรีบไปครับ!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียน เซวฟู่ยี่ก็ไม่รอช้า หลังจากวางสายเขาก็รีบออกเดินทางทันที

คงไม่มีใครมาไวขนาดนั้นหรอก เย่เทียนที่เพิ่งวางสายลงก็ดูเหมือนจะไม่รีบร้อน เขาจึงหันไปดึงเก้าอี้มและนั่งลงอย่างสบายใจ

“ปล่อยให้แกได้ใจไปก่อน รอสามีฉันมาก่อน คอยดูว่าฉันจะทำยังไงกับแก!”

เมื่อหญิงสาวเห็นท่าทีของเย่เทียนเธอก็ยิ่งโกรธมากขึ้น

อีกสิบนาทีผ่านไป ชายห้าถึงหกคนที่สวมแว่นกันแดดพร้อมกับเสื้อสูทได้วิ่งขึ้นมาจากบันไดเลื่อนชั้นล่างแล้วตรงเข้ามาในลูกฟุกจิวเวลรี่ ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาเป็นบอดี้การ์ด

เมื่อเห็นคนกลุ่มนั้น หญิงสาวก็แสดงสีหน้าได้ใจและทักทายพวกเขา

เมื่อมองจากที่ไกล เย่เทียนรู้สึกว่าคนกลุ่มนี้คุ้นเคยมาก และหลังจากพวกเขาเดินมาถึง เย่เทียนก็รู้ว่าผู้นำของพวกเขาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นผางอานคางที่เพิ่งโดนเขารังแกในสนามบินก่อนหน้านี้!

“หึหึ!”

เย่เทียนอดขำไม่ได้จริงๆ ทำไมบังเอิญขนาดนี้ ดูเหมือนว่าเขากับผางอานคางจะมีวาสนาต่อกันจริงๆ!

“ไอ้สารเลวที่ไหนที่มารังแกภรรยากู? เชื่อไหมว่ากูจะทำให้มึงใช้ชีวิตอยู่ในเมืองจินไม่ได้อีก!”

ทั้งๆ ที่ยังไม่เห็นตัวของผางอานคาง แต่เสียงโหวกเหวกโวยวายของเขาก็ดังขึ้นมาก่อน

ก่อนหน้านี้เขาถูกเย่เทียนหักหน้าไปแล้วและเขายังคงรู้สึกขุ่นเคืองใจไม่หาย เขาจึงตั้งใจนัดหญิงสาวคนนี้ออกมาเพื่อระบายความหงุดหงิดในใจ

“ที่รักคะ พวกนี้แหละที่มารังแกฉัน!”

ผู้หญิงคนนั้นวิ่งเข้าไปหาผางอานคางราวกับนกที่เจอเจ้าของพร้อมกับพูดและชี้นิ้วไปที่เย่เทียน

ผางอานคางมองไปทางที่หญิงสาวชี้และเห็นคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็คือเย่เทียนที่ยังคงแสดงสีหน้าไม่แยแส จึงทำให้เขาโกรธจนลุกเป็นไฟขึ้นมาทันที

“เย่เทียนงั้นเหรอ? ช่างบังเอิญจริงๆ เลยนะ!”

เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะเจอเย่เทียนที่นี่ อุตส่าห์ตามหาไปทั่วเมืองจิน แต่ดันมาเจอตอนออกมาทานมื้อเย็นที่นี่

“ใช่ บังเอิญจริงๆ!”

เย่เทียนหัวเราะออกมาและพูดอย่างติดตลก “เกิดอะไรขึ้นครับ? หรือว่าคุณชายผางลืมเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว และยังคิดจะใช้กำลังกับผมอีกเหรอครับ?”

เมื่อผางอานคางได้ยินอย่างนั้น จู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องที่เพิ่งเจอและดวงตาก็กระตุกขึ้นมาทันที แล้วเขาจะกล้าใช้กำลังกับเย่เทียนอีกได้อย่างไร

“ใช้กำลังงั้นเหรอ? นั่นเป็นเรื่องของพวกอันธพาล”

แม้จะพูดแบบนี้ แต่ผางอานคางก็ไม่คิดจะถอย แถมยังยิ้มพูดอย่างเย็นชาว่า “สุภาพบุรุษอย่างผมไม่คิดจะใช้กำลังอยู่แล้ว แต่ว่า……”

“ถ้าเป็นพวกเขา ผมคงรับประกันไม่ได้!”

ในขณะที่พูดอยู่ ผางอานคางก็ชี้ไปที่เหล่าบอดี้การ์ดในชุดสูทรองเท้าหนังที่ยืนอยู่ข้างหลัง

บางทีอาจเป็นเพราะประสบการณ์ในการเจ็บตัวของบ่ายนี้ เขาจึงพาบอดี้การ์ดยอดฝีมือของตระกูลผางมาด้วย ซึ่งฝีมือของบอดี้การ์ดเหล่านี้อยู่ในระดับเหลืองทุกคน

น่าเสียดาย แม้จะเป็นคำพูดที่เย่อหยิ่ง แต่ใบหน้าที่ยังคงฟกช้ำของผางอานคางทำให้คนมองแล้วก็อดขำไม่ได้จริงๆ

“คุณชายรองครับ ไอ้หมอนี่ใช่ไหมครับที่เพิ่งรังแกคุณบ่ายนี้?”

ในเวลานั้น ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหลังผางอานคางก็เดินออกมา ซึ่งดูก็รู้ว่าเขาคือหัวหน้าบอดี้การ์ดชุดนี้

“ใช่ ไอ่เวรนี่แหละ!”

ผางอานคางพยักหน้าและโบกมือไปข้างหน้า “อัดไอ้หมอนี่ให้รู้แล้วรู้รอด เกิดเรื่องอะไรขึ้นเดี๋ยวข้ารับผิดชอบเอง!”

“ไอ้หมอนั่นมันพอมีฝีมืออยู่บ้าง ทางที่ดีให้รุมเข้าไปทีเดียวเลย!”

ในตอนท้ายผางอานคางยังคงไม่ลืมที่จะเตือนพวกเขา จากนั้นเขาโอบกอดผู้หญิงของเขาแล้วเดินถอยหลังออกไป……