บทที่ 351 ความเคยชิน

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 351

ความเคยชิน

“กลับกันก่อน วันข้างหน้ายังมีโอกาสอีกมาก” องค์หญิงพูดออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว

“เจ้าค่ะ องค์หญิง” เธอไม่เข้าใจจริงๆว่าองค์หญิงของเธอกำลังคิดอะไรอยู่ องค์หญิงเป็นผู้หญิงที่ทรงคุณค่าที่สุดในดินแดนแห่งสายลม ทำไมถึงส่งองค์หญิงมาในสถานที่ที่เต็มไปด้วยคนป่าเถื่อนหยาบคายแบบนี้ได้ ถ้าเป็นที่ดินแดนแห่งลมคนพวกนี้คงจะถูกลากออกมาตัดคอไปแล้ว

ส่วนสองคนนั่นก็กล้ามากแต่ท่านลอร์ดแห่งดินแดนดำมืดกลับไม่สนใจ เธอจะต้องหาโอกาสสั่งสอนคนพวกนั้นซะหน่อยแล้ว สาวใช้คิดอย่างหนักอยู่ในหัว

หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงอาบน้ำเสร็จ พวกเขาก็ดูแตกต่างจากตอนแรกราวฟ้ากับเหว

ขนาดหลินหยางที่รู้จักกันดีแล้วก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองพวกเขา

“พี่หลิน พาข้าอาบน้ำล้างตัวแล้วเจ้าถึงกับหลงเสน่ห์ในความงามของข้าเลยงั้นเหรอ?” มู่หรงที่ไม่มีพัดกระดาษจึงใช้มือตัวเองทำเป็นพัด

หลินหยางจ้องไปที่เธอแต่ก็ขี้เกียจเกินกว่าที่จะเถียงด้วย จึงทำเป็นไม่สนใจ

“ทำไมเจ้าเปลี่ยนเป็นชุดผู้ชายล่ะ?” หลินหยางถามอย่างสงสัย

“ฮ่าฮ่า ชุดผู้ชายมันใส่สบายกว่า” ชุดผู้หญิงยุ่งยากเกินไป แล้วเผื่อไปเจอเข้ากับหวังฉิงอีก

เมื่อนึกถึงหวังฉิง รอยยิ้มของมู่หรงก็หุบกลับไปทันที

โลกหลังจากนี้ ไม่รู้เลยว่าเขาจะได้ไปอยู่จุดไหน ถ้าแพ้ ผู้ชายที่เย่อหยิ่งอย่างเขาคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆแน่

“มานั่งนี่เถอะ เดี๋ยวเราจะกินข้าวกันทีหลัง ที่นี่ไม่มีไฟ” หลินหยางรินน้ำชาให้คนทั้งสองและพูดออกมาเสียงเรียบ

“ข้าอยากจะกลับไปให้เร็วที่สุด งั้นข้าจะร่วมมือกับเจ้าเต็มที่และจัดการเรื่องของพวกเขาให้เร็วที่สุด” มู่หรงพูดเสียงเรียบ

แล้วเธอก็มองไปที่หลินหยางแล้วจู่ๆ ความเป็นไปได้ก็แวบเข้ามาในความคิดเธอ “นี่เจ้าเป็นสายเลือดที่แท้จริงของมังกรหรือเปล่า?” จู่ๆมู่หรงเสวี่ยก็ถามออกมา

หลินหยางหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาและพูดว่า “ไร้สาระ ข้าก็มาจากโลกเดียวกับเจ้า แล้วจะเป็นสายเลือดที่แท้จริงของมังกรได้ยังไงกัน?”

มู่หรงเสวี่ยไม่ได้คิดแบบนั้น จากที่เฟิงจือหลิงบอก พวกเธอกำลังตามหาท่านอาจารย์เลยกระโดดลงมาจากหน้าผาแต่บังเอิญถูกอุโมงค์แห่งกาลเวลาดูดกลืนเข้ามา แต่หลินหยางไม่เหมือนกัน

เป็นไปได้ว่าเขามีความสามารถในการเปิดอุโมงค์ห้วงเวลาได้ และถ้าเขาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับยุคนี้ งั้นเขาจะไม่กลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคนี้ได้ยังไง?!

อีกอย่างมู่หรงเสวี่ยเชื่อว่าบวกกับความรู้เรื่องเทคโนโลยีในโลกอนาคตของเขาแล้ว การรวมเป็นหนึ่งก็เป็นเรื่องที่หนีไม่พ้นอย่างแน่นอน

“นี่ ทำไมพวกเจ้ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้นละ? ข้าบอกแล้วไง ข้าไม่มีทางใช่คนที่มีสายเลือดที่แท้จริงของวิญญาณมังกรอะไรนั้นแน่ๆ ไม่งั้นข้าจะไม่รู้ตัวเองได้ยังไงกัน?”

มู่หรงดึงสายตากลับมา เธอไม่สงสัยเรื่องที่หลินหยางพูด พวกเธอไม่มีการขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์อะไรกัน นอกจากนี้เธอก็เชื่อด้วยว่าเขาเป็นลูกผู้ชายพอ

เป็นเรื่องจริงหรือเปล่านะที่สายเลือดมังกรที่แท้จริงจำเป็นที่จะต้องมีตัวช่วยอะไรบางอย่างในการเปิดตัวออกมา?!

ไม่ได้ เธอจะต้องถามเสี่ยวไป๋

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็แวบเข้าไปในมิติลับโดยไม่สนใจว่ามีหลินหยางและจือหลิงที่ยังนั่งอยู่ข้างๆด้วย

หลินหยางที่ดืมชาเข้าไปอึกใหญ่แทบจะสำลักออกมา เขาหันหัวไปด้วยความประหลาดใจแล้วจึงมองไปที่เฟิงจือหลิง แล้วจึงชี้ไปที่นั่งตรงข้ามที่ว่างเปล่าพร้อมพูดออกมาว่า “เธอยังสติดีอยู่หรือเปล่าเนี่ย?”

เฟิงจือหลิงจิบชาด้วยท่าทางสงบแล้วจึงพูดออกมา “ความเคยชินน่ะ”

เข้าใจแล้ว! พวกเขาไม่ใช่คนปกติ ถ้าอยู่กับคนพวกนี้นานๆ เขาก็กลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นคนผิดปกติไปด้วยไม่ช้าก็เร็วแน่ๆ

เมื่อมู่หรงปรากฏตัวอีกครั้งก็เลยไปเกือบก็จะมืดแล้ว และเธอก็เปลี่ยนกลับเป็นชุดผู้หญิงพร้อมมีเสี่ยวฉิงที่ยืนอยู่ข้างๆ

มู่หรงเสวี่ยเองก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธเสี่ยวฉิงได้เลย นางที่อยู่แต่ในมิติลับเอาแต่ร้องไห้ว่าไม่มีใครคอยดูแลท่านหญิงเลยได้ยังไงและอีกมากมาย

ดังนั้นมู่หรงเพื่อที่จะทำให้การดูแลของเสี่ยวฉิงสะดวกขึ้นจึงต้องเปลี่ยนกลับเป็นชุดผู้หญิงแทน

“แล้วนี่ใครกัน?” หลินหยางถามออกมา

อีกไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องหัวใจวายเพราะมู่หรงเสวี่ยแน่ๆ

“นี่คือเสี่ยวฉิง เสี่ยวฉิงนี่คือหลินหยาง ท่านลอร์ดแห่งดินแดนดำมืด”

เสี่ยวฉิงรีบเดินไปข้างหน้าและทำความเคารพตามมารยาทพื้นฐานทันที “ยินดีที่ได้พบเจ้าค่ะท่านลอร์ด”

นี่ นี่เจ้าพาคนจากช่วงเวลานี้มาด้วยงั้นเหรอ?” หลินหยางถาม

มู่หรงพยักหน้า “ใช่!”

สายตาของหลินหยางคมขึ้นทันที ถึงแม้เขาจะเชื่อใจ มู่หรงเสวี่ย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องเชื่อใจคนอื่นด้วย

โดยเฉพาะสาวใช้ที่เห็นอยู่ชัดๆว่าเป็นคนของวังหลวง

มันยากที่จะการันตีว่าอีกฝ่ายจะเป็นสายลับของหวังฉิงหรือเปล่าเพราะเขาอาจจะส่งใครแฝงตัวมากับมู่หรงเสวี่ยก็ได้

คนของยุคนี้มักจะภักดีกับนายของตัวเองที่สุด

เมื่อคิดแบบนี้ หลินหยางก็มองไปที่มู่หรงเสวี่ยด้วยสายตาไม่เห็นด้วยเท่าไร “ถ้าเจ้าต้องการสาวใช้ ข้าจัดให้เจ้าแปดคนเลยก็ได้ ส่วนสาวน้อยคนนี้…”

“ท่านหญิง อย่าไล่ข้าไปไหนเลยนะเจ้าคะ ให้ข้าทำอะไรก็ได้” ก่อนที่หลินหยางจะพูดจบ เสี่ยวฉิงก็รีบคุกเข่าลงไปที่พื้นทันทีพร้อมทั้งร้องไห้ออกมา

ทำให้หลินหยางที่พูดค้างอยู่ รู้สึกอึดอัดราวกับกำลังรังแกผู้หญิงอยู่เลย

“ข้าไม่ไล่เจ้าไปไหนหรอก งั้นก็ลุกขึ้นจากพื้นได้แล้ว” มู่หรงจ้องไปที่หลินหยางอย่างไม่พอใจแล้วจึงดึงสาวใช้ร่างเล็กขึ้นมาจากพื้น

จ้องอะไรข้า? นี่ข้าเองก็คิดตามสถานการณ์ทั้งหมดอยู่นะ

มู่หรงเสวี่ยไม่ใช่คนธรรมดา ที่นี่เธอเป็นสุดยอดด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

และสาวใช้คนนี้ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นคนสนิทของมู่หรงเสวี่ย ถ้ามู่หรงเสวี่ยบังเอิญพูดอะไรออกไป มันจะต้องกลายเป็นผลลัพธ์ที่ร้ายแรงกับพวกเขาและโลกแน่ๆ

อีกอย่างหวังฉิงก็เริ่มที่จะศึกษาเรื่องดินปืนแล้วด้วย

หลินหยางไม่กล้าที่จะประเมินสติปัญญาของผู้นำในยุคนี้ต่ำไปหรอก

เขาเกรงว่าถ้าให้เวลาอีกหน่อยอีกฝ่ายก็คงจะสร้างดินปืนได้เหมือนกับที่พวกเขามีและโลกก็คงจะถึงจุดจบแน่นอน

ตั้งแต่ลุกขึ้นมาเสี่ยวฉิงก็ยังสะอื้นไม่หยุด

มู่หรงส่งผ้าเช็ดหน้าของเธอให้พร้อมทั้งพูดออกไปว่า “เอาล่ะ ไม่ต้องร้องแล้ว”

เสี่ยวฉิงพูดอะไรไม่ออก เธอกัดริมฝีปากแน่นเพื่อไม่ให้เสียงสะอื้นดังออกมา

ช่างดูน่าสงสารจริงๆ และมู่หรงก็มองอย่างไม่พอใจไปที่หลินหยางอีกครั้ง ต้องโทษเขาคนเดียวเลยที่ทำให้สาวใช้ผู้น่ารักของเธอต้องร้องห่มร้องไห้ขนาดนี้

มุมปากของหลินหยางเบ้เล็กน้อย เขาทำอะไรผิด?! เขาก็แค่คิดถึงภาพรวมก็เท่านั้น

ผู้หญิงนี่อ่อนไหวแล้วก็มีแต่สร้างปัญหาจริงๆเลย

แต่หลังจากที่ได้มองไปที่เสี่ยวฉิงที่กำลังร้องไห้อย่างน่าสงสาร หลินหยางก็รู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อย

โอเค งั้นหลังจากนี้เขาจะไม่พูดแล้วกัน

“งั้นไปกินข้าวกันเถอะ พี่เฟิง มาเถอะมาดื่มด้วยกันหน่อย ไม่ต้องสนใจผู้หญิงพวกนี้หรอก” เมื่อพูดจบเขาก็มองอย่างดูถูกไปที่มู่หรง

ฮึม มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เขาพร้อมทำเสียงขึ้นจมูก

เฟิงจือหลิงเองก็อยากที่จะบอกว่ามู่เทียนเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน ทำไมไม่ชวนเขามาด้วย

ผลก็คือหลินหยางที่กำลังพูดอยู่ก็กลับเงียบไปทันที

“ท่านหญิง ท่านจะไม่ไล่ข้าไปจริงๆใช่ไหมเจ้าคะ?” เธอไม่ได้อยากได้อะไร เธอเพียงแค่อยากที่จะอยู่ข้างๆท่านหญิง

มู่หรงดีดไปที่หน้าผากของเธอ “อย่าโง่น่า จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงละ? ไม่ต้องไปฟังเขา” เธอเข้าใจความคิดของหลินหยางแต่เพราะเธอพาเสี่ยวฉิงออกมาด้วยแล้วก็เพราะว่านางเชื่อถือได้

เด็กสาวนี่ดื้อจะตาย เธอกลัวว่านางคงจะไม่ยอมกลับเข้าไปแน่ๆ ถ้าเธอปล่อยให้นางกลับไป ฟางเสี่ยวโหรวคงเล่นงานนางแน่ๆ

พูดถึงฟางเสี่ยวโหรว

หลายวันมานี้เธอทั้งหิวและตัวเหม็นเพราะเธอไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย

ตั้งแต่แรกที่ถูกพาตัวกลับมาเธอรู้สึกกลัวอย่างมาก เธอทนรับเรื่องแบบนี้ไปได้จนสติเริ่มที่จะกลายเป็นบ้าแล้ว

แม่นมหลิว คนเดียวที่จะช่วยเธอได้ก็มาชิงตายไปซะก่อน ช่างเห็นแก่ตัวและน่าโมโหจริงๆ

ไม่งั้นถ้าแม่นมหลิวยังอยู่ นางก็คงไปรายงานเรื่องนี้ให้ท่านแม่รู้แล้ว ไม่ว่าเธอจะแย่มากแค่ไหน เธอก็คงไม่ต้องมาจบลงแบบนี้หรอก

เธอรู้สึกว่าทั้งหมดเป็นเพราะเธอเอง

ถ้าเธอสนใจแต่เรื่องการดูแลเหล่านางสนมที่ฝั่งของเธอ ชีวิตในอนาคตก็คงจะดีแน่ๆ

อย่างไรก็ตาม การกระทำช่วงที่ผ่านมาของเธอทำให้เขาโกรธอย่างมาก

หวังฉิงที่อยู่ในห้องทำงานได้รับข่าวเรียบร้อยแล้ว มู่เทียนกลับไปดินแดนดำมืดแล้วจริงๆ

เขาขย้ำของเอกสารที่อยู่ในมือแน่น ก่อนที่ความโกรธของเขาจะลดลง เขาก็กวาดของที่อยู่บนโต๊ะลงกับพื้นจนหมด

“องค์ชายได้โปรดใจเย็นก่อนนะขอรับ” เหล่าคนที่คอยรับใช้อยู่ในห้องต่างก็คุกเข่าลงไปกับพื้นและไม่กล้าที่จะหายใจด้วยซ้ำ

ช่วงนี้อารมณ์ขององค์ชายไม่ค่อยจะมั่นคงเท่าไร ดังนั้นเหล่าคนรับใช้ต่างก็ต้องคอยตั้งสติด้วยเหมือนกัน

“ทุกคนออกไปให้หมด” หวังฉิงนวดขมับที่กำลังปวดและโบกมือให้พวกเขาออกไป

เมื่อทุกคนถอยออกไปจนหมดแล้ว พวกเขาเดินออกไปโดยไม่ส่งเสียงอะไรเลยด้วยซ้ำ สำหรับพวกเขาองค์ชายก็รับมือด้วยยากจริงๆ นี่ก็คงจะมีปัญหาอะไรที่จัดการได้ยากอีกแน่ๆ

ผู้คนต่างก็คิดในระหว่างที่เดินออกมา

แม้แต่เหล่าพ่อครัวก็ยังต้องเปลี่ยนวิธีทำอาหารเพื่อให้ถูกปากองค์ชายมากขึ้นเพราะหลายวันที่ผ่านมานี้เขาแทบจะไม่แตะอาหารเลย

มู่เทียน!

ทำไมถึงหนีไปอีก?

เขาสารภาพไปแล้วว่าเขาไม่เคยที่จะรู้สึกรักใครมาก่อน

ท่านลอร์ดแห่งดินแดนดำมืดมีดีอะไร?!

สายตาของหวังฉิงแวบประกายเจ็บปวดแล้วก็จางหายไปในทันที

เขาจะคืนดีกับเธอได้ยังไง?!

เขาอยากจะแสดงให้เธอได้เห็นว่าเธอโง่แค่ไหนที่เลือกแบบนั้น

โลกนี้จะต้องเป็นของเขา

หวังฉิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อนึกถึงการพัฒนาของดินปืนที่พัฒนาไปได้มาก

เวลาอาหารค่ำ

หวังซื่อจ้องมาที่เธอ ถึงแม้มู่หรงไม่อยากที่จะสนใจแต่สาวใช้ร่างเล็กที่อยู่ข้างๆก็อดไม่ได้

เมื่อคิดถึงก่อนหน้านี้ตอนที่ท่านหญิงอยู่ที่คฤหาสน์ของหวังฉิง ไม่มีใครกล้าก็จะจ้องหน้าท่านหญิงแบบนี้เลย

เสี่ยวฉิงจ้องกลับไปทันที

“เป็นแค่สาวใช้กล้าดียังไงมามองข้าด้วยสายตาแบบนั้น เร็วเข้า ลากนังสาวใช้นี่ออกไปแล้วจัดการสั่งสอนบทเรียนให้นางหน่อย” หวังซื่อพูดออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว

“ใครกล้า!” มู่หรงวางตะเกียบลงและจ้องไปที่สาวใช้หลายคนของหวังซื่อ

ขำสิ้นดี นี่คนของเธอ ใครกล้าก็เข้ามา

มู่หรงมองไปที่หลินหยางด้วยสายตาเย็นชา “ดูแลคนของเจ้าด้วย”

หลินหยางขมวดคิ้ว หันไปมองหวังซื่ออย่างเหลืออดเล็กน้อย “นี่เป็นบ้านของท่านลอร์ดของเมือง ไม่ใช่บ้านเจ้า อยากถูกไล่กลับไปที่บ้านตัวเองหรือไง?”

เขาเกลียดเธอมาก แต่ยังไงซะเธอก็เป็นน้องสาวของเพื่อนสนิทของเขา และเขาก็ควรที่จะไว้หน้าบ้าง

แต่ช่วงนี้เธอเข้ามารบกวนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหลังจากที่ได้เจอกับองค์หญิงแห่งสายลม เธอก็ยิ่งวุ่นวายมากขึ้นไปอีก

เธอเป็นองค์หญิงของดินแดนแต่เธอก็ยังกล้าที่จะเข้าไปสร้างปัญหา

ดวงตาของหวังซื่อกลายเป็นแดงระเรื่อขึ้นมาทันที “พี่หลิน…”

“เจ้ากลับไปเถอะ แล้วอย่ามาที่บ้านนี้อีก” อย่าคิดว่าจะไปยั่วยุองค์หญิงได้ง่ายๆ อย่างที่เขารู้ มีทหารชุดดำที่มากความสามารถอยู่รอบตัวเธอหลายคน

เขากลัวว่าถ้าหวังซื่อเข้าไปวุ่นวาย ก็คงเป็นเขาเองที่ต้องตามเคลียร์ปัญหาให้