บทที่ 352
วิเศษมาก
“พี่หลิน พูดเกินไปแล้วนะ” หวังซื่อปิดหน้าตัวเองและวิ่งร้องไห้ออกไป
มู่หรงพูดเยาะเย้ยหลินหยางออกมาเล็กน้อย “เจ้าไม่ตามไปหน่อยเหรอ สาวสวยกำลังร้องไห้เชียวนะ”
หลินหยางจ้องมาที่เธอแล้วก็เห็นสีหน้าของเสี่ยวฉิงที่อยู่ข้างหลังเธอ
สายตาของสาวใช้ก้มต่ำ เธอไม่อยากที่จะสร้างปัญหาให้นายหญิง ยังไงซะเธอก็ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างท่านลอร์ดของเมืองกับนายหญิงของเธอเป็นยังไงด้วย
“ถ้าเจ้าว่างนักทำไมไม่อยู่ที่ห้องวิจัยล่ะ?!” หลินหยางพูด พร้อมทั้งมองไปที่มู่หรงเสวี่ย
มู่หรงเสวี่ยกำลังอร่อยกับผักอยู่ “ข้ามีเวลาว่างแต่ก็ยังไม่อยากจะทำอะไรด้วย”
“พี่เฟิง เจ้าทนผู้หญิงคนนี้ได้ยังไงเนี่ย? ต่อไปข้าว่าเจ้าอย่าไปยุ่งกับนางมากเลยจะดีกว่านะ เดี๋ยวจะติดนิสัยไม่ดีๆมาด้วย” หลินหยางพูดถึงมู่หรงแต่หันไปพูดกับเฟิงจือหลิงโดยตรง
เฟิงจือหลิงทำเป็นไม่สนใจ อีกอย่างก็เห็นอยู่ชัดๆว่า มู่เทียนเป็นผู้ชาย แล้วทำไมท่านลอร์ดแห่งเมืองถึงเอาแต่พูดว่าเขาเป็นผู้หญิงอยู่ได้ แต่บางครั้งเขาเองก็สับสนเพราะเสื้อผ้าผู้หญิงของเธอเนี่ยแหละ แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ย้ำกับตัวเองตลอด
หลินหยางจ้องอยู่นานแต่ก็ได้ยินคำตอบของเฟิงจือหลิง “แหม เจ้านี่ไม่ค่อยพูดเท่าไรเลยนะ”
“ก็มีแต่เจ้าแหละที่พูด ไม่มีใครเขาอยากจะฟังหรอก” มู่หรงเสวี่ยตอบระหว่างที่กำลังกิน แล้วเธอก็หันมาหาสาวใช้ “เอาล่ะ เจ้าไม่มีอะไรให้ทำแล้ว รีบมานั่งกินข้าวได้แล้ว”
“รอเดี๋ยวนะเจ้าคะ” เสี่ยวฉิงค่อยๆนั่งลงหลังจากที่เตรียมอาหารให้มู่หรงเสวี่ยเสร็จ
นี่ถือว่าเสี่ยวฉิงก้าวหน้าขึ้นมาก ถ้าเป็นแต่ก่อน เสี่ยวฉิงคงไม่ยอมที่จะนั่งกินข้าวร่วมกับนายหญิงอย่างเธอแน่ๆ ในโลกของเธอ การที่สาวใช้ที่ต่ำต้อยอย่างเธอมานั่งกินข้าวร่วมโต๊ะจะเป็นการลดฐานะของนายหญิงผู้สูงศักดิ์
เหตุการณ์ตอนนี้เป็นผลมาจากกำพร่ำสอนอยู่นานหลายวันของมู่หรงเสวี่ยเอง
“นี่เสี่ยวเสวี่ย ที่นี่เป็นบ้านข้านะ เจ้าควรที่จะไว้หน้าข้าหน่อยนะ” หลินหยางพูด
“ฟิ้ว เจ้ามีหน้าตั้งแต่เมื่อไรกัน? ข้าไม่เห็นรู้เลย” สุดท้าย มู่หรงเสวี่ยก็เงยหน้าขึ้นมาและมองไปที่เขา
“ผู้หญิงแบบเจ้านี่อย่าได้แต่งงานเชี่ยวนะ” หลินหยางหัวเราะ
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นหรอก เป็นห่วงผู้หญิงสองคนที่อยู่ในบ้านเจ้าเองดีกว่านะ ระวังพวกนางจะทะเลาะกันเองเถอะ” มู่หรงเสวี่ยพูดประชด
“ใช่เลย ข้าควรที่จะบอกพวกนางว่าเจ้าคือคนที่ข้ารักที่สุด เจ้าคิดว่าจะมีอะไรเด็ดๆให้ดูบ้างหรือเปล่า?” หลินหยางเผยรอยยิ้ม
ก่อนที่มู่หรงเสวี่ยจะทันได้ตอบโต้ เฟิงจือหลิงก็ทำตะเกียบตกด้วยความตกใจ “เจ้า เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร?! มู่เทียนเป็นผู้ชายไม่ใช่หรือไง?” ทำไมหลินหยางถึงเอาแต่พูดว่าเขาเป็นผู้หญิงอยู่ได้นะ
“โอ้ ฮ่าฮ่าฮ่า ข้ามีความสุขจริงๆเลยเสี่ยวเสวี่ย ในสายตาคนอื่นเจ้าเป็นผู้ชาย เจ้านี่ล้มเหลวในการเป็นผู้หญิงจริงๆเลย” หลินหยางตบไปที่ขาตัวเองและหัวเราะออกมาเสียงดัง
มู่หรงหยิบแก้วน้ำที่อยู่บนโต๊ะและสาดไปที่หน้าของเขา “ตลกมากเลยนะ ใช่ไหม เชิญขำให้พอเลยนะ”
หน้าหลินหยางเปียกน้ำไปหมด เสี่ยวฉิงหัวเราะคิกคัก
หลินหยางลุกขึ้น “ก็ขึ้นอยู่ว่าเจ้าจะยังทำแบบนี้อีกไหมล่ะ”
“ข้าเห็นว่าหัวเจ้าไม่ค่อยจะโล่งเท่าไรก็เลยช่วยล้างให้ไง ดีไหมล่ะ? ตอนนี้เจ้าเห็นหรือยังล่ะว่าข้าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย?” มู่หรงใช้ตะเกียบคีบอาหารขึ้นมากินอย่างสบายใจ
“เห็นงั้นเหรอ? ผู้หญิงแบบนี้นี่แย่จริงๆเลย” หลินหยางเช็ดน้ำออกจากหน้าตัวเองและตบไปที่ไหล่ของเฟิงจือหลิง
“นาง เป็นผู้หญิงจริงๆงั้นเหรอ?” เฟิงจือหลิงยังมีท่าทางไม่อยากจะเชื่ออยู่นิดหน่อย
มู่หรงเหล่ไปที่เขา “ข้าเหมือนผู้ชายตรงไหนไม่ทราบ?” สุดท้าย เธอก็จ้องมาที่เฟิงจือหลิงด้วยสายตาดุดัน
“ก็เปล่า แต่ แหวน เจ้า…” เฟิงจือหลิงพูดติดอ่าง
ส่วนเสี่ยวฉิง นายหญิงบอกเรื่องนี้กับเธอตั้งแต่ที่เข้ามาในมิติลับแล้ว เธอจึงรู้เรื่องนี้ดี “นายหญิงเป็นผู้หญิงเจ้าค่ะ ข้าไม่สงสัยเลย” เสี่ยวฉิงเองก็พูดออกมาด้วยเหมือนกัน
“ไม่นะเพื่อน นี่เจ้าคิดว่านางเป็นผู้ชายจริงๆงั้นเหรอ?” หลินหยางถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ถึงแม้มู่หรงเสวี่ยจะไม่ได้ทำท่าราวกับเป็นผู้ชาย เธอมีท่าทางนิสัยแบบผู้หญิง สายตาของเธอก็ดุดันที่ถูกกล่าวโทษว่าเป็นผู้ชายด้วย เฟิงจือหลิงตะลึงไปสุดๆเลย เขามองไปที่มู่หรงเสวี่ยด้วยท่าทางโง่ๆ ท่าทางของเธอเป็นธรรมชาติอย่างมาก ความงามเป็นผู้หญิงก็มีให้เห็นได้ทุกจุด ทำไมเขาไม่เคยสงสัยเรื่องนี้เลยนะ
“เจ้านี่ซื่อบื้อจริงๆเลย” หลินหยางมองไปที่เฟิงจือหลิงที่นิ่งอึ้งไปเลยพร้อมทั้งตบไปที่ไหล่เขาเบาๆ
ซื่อบื้อ เขานี่ซื่อบื้อจริงๆ ความรู้สึกมีความสุขอย่างต้านทานไม่ได้เริ่มที่จะพุ่งขึ้นมาในหัวใจ ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงตอนที่เขาเคยอุ้มเธอ นี่เป็นความสัมพันธ์ทางการที่ใกล้ชิดกันมากที่สุดแล้วหรือเปล่านะ?!
สมองเขาเริ่มที่จะนึกถึงทุกอย่างที่เขาเคยทำร่วมกับเธอและความรู้สึกในหัวใจก็พุ่งออกมาอย่างเต็มเปี่ยม เขาจะทำยังไงดี?
เมื่อไม่มีห่วงอะไรมาขวางกั้นความคิดเรื่องศีลธรรมอีก เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องปิดกั้นความรู้สึกของตัวเองอีกแล้ว
มู่หรงเสวี่ยหยุดกิน เธอโบกมืออยู่ตรงหน้าเขา
ไม่ นี่มันโง่มากจริงๆ! การที่เธอเป็นผู้หญิงเป็นเรื่องที่แย่มากงั้นเหรอ?
“จือหลิง” มู่หรงเสวี่ยเรียกอย่างอ่อนโยน
“เจ้าเป็นผู้หญิงงั้นเหรอ?” เฟิงจือหลิงถามโดยไม่ต้องคิด
มู่หรงพยักหน้าเบาๆ เพราะกลัวว่าจะทำให้คนตรงหน้าตกใจกลัวขึ้นมาอีก
“นี่เจ้าเป็นผู้หญิงจริงๆงั้นเหรอ?” มู่หรงมองไปที่ หลินหยางและเสี่ยวฉิงแล้วจึงพยักหน้าอีกครั้ง
“ไม่นะ นางก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นใช่ไหม?!” หลินหยางถาม
“ก็บางที แค่บางที บางทีเท่านั้น ใช่ไหม?” มู่หรงพูด
“เจ้าไม่ใช่มู่เทียน!” เฟิงจือหลิงพูดออกมาอย่างมั่นใจ
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงได้ยินเสี่ยวไป๋เรียกเธอว่าเสี่ยวเสวี่ยตลอด ตอนแรกเขาคิดว่าเจ้าลูกบอลขาวคงเข้าใจผิดไปเอง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามู่เทียนจะไม่ใช่ชื่อจริงของเธอ
“คือ ชื่อจริงของข้าก็คือมู่หรงเสวี่ย เจ้าโกรธหรือเปล่า?” เธอก็แค่รู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายมันก็ไม่สำคัญหรอก ยังไงซะพวกเขาก็เป็นเหมือนครอบครัวของเธอและไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องปิดบังเรื่องนี้จากเขาด้วย
อีกอย่างเธอก็ไม่เคยปฏิเสธว่าตัวเองเป็นผู้หญิง เธอคิดว่าเฟิงจือหลิงจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้วซะอีก ไม่คิดเลยว่าเขาจะประหลาดใจขนาดนี้
มู่หรงพูดอะไรไม่ออกและมองมาที่เสื้อผ้าชุดผู้หญิงของเธอ ดูเป็นผู้หญิงจริงๆ!
หลังจากเรื่องวุ่นวายนี้ ทุกคนต่างก็ได้ข้อสรุปว่า เฟิงจือหลิงเข้าใจผิดไปเอง!
“เยี่ยมเลย เดิมที…” เฟิงจือหลิงเก็บซ่อนสายตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มไม่ได้
“อะไรเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างสงสัย
อย่างไรก็ตามเฟิงจือหลิงไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่ส่ายหัวด้วยรอยยิ้มและดวงตาที่เต็มไปด้วยประกายรอยยิ้ม
หลินหยางที่อยู่ข้างหลังเขาเผยรอยยิ้มที่ชัดเจนขึ้นมาทันที ผู้ชายย่อมเข้าใจกันเองดี
ดวงตาของเฟิงจือหลิงชัดเจนจนเขาเข้าใจความหมายได้อย่างไม่ต้องพูดอะไรเลย ฮ่าฮ่า น่าสนใจจริงๆ หลังจากนั้น หลินหยางก็กินอาหารค่ำต่ออย่างอารมณ์ดีขึ้นมาทันที ฮ่าฮ่า ถ้ามีเวลาเขาจะต้องแหย่พวกนี้ซะหน่อยแล้ว!
เสี่ยวฉิงยังไม่เข้าใจ “นายหญิงเจ้าคะ รีบกินก่อนอาหารจะเย็นเถอะเจ้าค่ะ”
“จือหลิง เจ้าก็กินด้วยนะ อย่ามัวแต่อึ้ง” เธอตบไปที่หลังของเขา
ถ้าเป็นแต่ก่อน เฟิงจือหลิงจะรู้สึกว่ามันเป็นการกระทำที่ปกติแต่ในตอนนี้เขากลับคิดอะไรเยอะมากมายและถึงขนาดรู้สึกได้ว่าอุณหภูมิที่หลังเขาที่เธอสัมผัสมันกลับรู้สึกร้อนขึ้นมาเล็กน้อยจนใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อขึ้นมาทันที
“ข้า ข้าอิ่มแล้ว ข้ามีธุระต้องไปทำ ข้ากลับก่อนนะ” หลังจากนั้นโดยไม่รอคำตอบจากทุกคน เฟิงจือหลิงก็รีบหายไปจากสายตาของทุกคนทันที
“เขา เป็นอะไรของเขาเนี่ย?” มู่หรงถามออกมาด้วยความตกใจ
เสี่ยวฉิงส่ายหน้า เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
หลินหยางที่อาจจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยังไม่เข้าใจน้ำเสียงและท่าทางของเขาอยู่ดี
“เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา?! นี่ข้าทำให้เขากลัวงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถามหลินหยางที่นั่งอยู่อีกฝั่ง
หลินหยางเผยรอยยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร ถ้าพูดออกไปคงหมดสนุกพอดี
“เจ้าหัวเราะอะไร?! ยังจะมีหน้ามาทำท่าลึกลับอีกหรือไง?” มู่หรงมองไปที่เขาอย่างเหยียดหยัน
สองสามวันต่อมา เฟิงจือหลิงไม่ได้คอยตามมู่หรงเสวี่ยเหมือนกับที่ผ่านมา แม้แต่เสี่ยวฉิงเองก็ยังเห็นความผิดปกตินี้
“น่าแปลก! พี่เฟิงเป็นอะไรหรือเปล่า?” เสี่ยวฉิงที่กำลังช่วยมู่หรงเสวี่ยแต่งหน้าถามออกมา
มู่หรงเสวี่ยเองก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับ เฟิงจือหลิง “เดี๋ยวข้าจะแวะไปหาเขาหน่อย”
ดูเหมือนว่าเฟิงจือหลิงไม่ได้ออกมาข้างนอกนานแล้วและเธอก็เป็นห่วงด้วย
“นายหญิง เดี๋ยวข้าจะออกไปซื้อของข้างนอกหน่อยแล้วจะรีบกลับมานะเจ้าคะ” น้ำหอมที่นายหญิงใช้ใกล้จะหมดแล้ว เธอจึงต้องออกไปซื้อมาเพิ่ม
ถึงแม้ในคฤหาสน์ของท่านลอร์ดแห่งเมืองจะมีน้ำหอมอยู่บ้าง แต่นายหญิงไม่ค่อยจะชอบเท่าไร งั้นเธอน่าจะออกไปซื้อมาเองดีกว่า
“งั้นขากลับก็ซื้อขนมกลับมาด้วยนะ” มู่หรงหยิบธนบัตรสีเงินออกมาและยื่นให้เสี่ยวฉิง
“นายหญิง ข้ายังมีเงินเหลืออยู่เลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวฉิงตอบออกมาเสียงเบา
โดยปกติแล้วทุกเดือนนายหญิงจะให้เงินเดือนเธอไว้ใช้ แต่เธอก็ยังคิดว่ามันมากไปอยู่ดี
“เอาไปเถอะ เอาไว้ซื้อของที่เจ้าชอบ” มู่หรงเสวี่ยใส่เงินเข้าไปในมือของเธอ
เสี่ยวฉิงรู้นิสัยของนายหญิงของเธอดี ดังนั้นเธอจึงไม่ได้พูดอะไรอีกพร้อมทั้งเก็บเงินไปอย่างเชื่อฟัง งั้นเธอจะช่วยนายหญิงเก็บเงินนี่ไว้และจะเอาออกมาใช้เมื่อนางจำเป็นต้องใช้
หลังจากที่เสี่ยวฉิงออกมา มู่หรงเสวี่ยก็เดินตรงไปที่ห้องของเฟิงจือหลิง เธอเคาะไปที่ประตูแต่ไม่มีเสียงตอบรับอยู่นาน
เขาออกไปข้างนอกงั้นเหรอ?! มู่หรงเคาะไปที่ประตุอีกครั้งแต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับ หลังจากนั้นเธอจึงค่อยๆผลักประตูเปิดอย่างระวัง และเห็นเฟิงจือหลิงนอนนิ่งอยู่บนเตียง
“จือหลิง” มู่หรงเสวี่ยร้องเรียกเสียงเบา แต่ก็ยังไม่ได้ยินคำตอบรับจากเฟิงจือหลิง สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนไปในทันทีและรีบเดินเข้าไปที่ข้างเตียง
เธอเห็นเฟิงจือหลิงนอนอยู่บนเตียงพร้อมเหงื่อที่ผุดเต็มใบหน้า สีหน้าของเขากลายเป็นสีแดงและริมฝีปากก็สั่นเทอม มู่หรงเสวี่ยยื่นมือออกไปแตะ ร้อนจัง!
“รู้สึกไม่สบายเลย…” เฟิงจือหลิงพึมพำเสียงเบา
มู่หรงจับไปที่ชีพจรเขาอย่างเบามือ ไม่ได้เป็นไข้นิ แล้วมันอะไรกันล่ะ?!
มู่หรงเพียงแค่อยากที่จะเข้าไปตรวจใกล้ๆแต่จู่ๆ เฟิงจือหลิงก็ดึงเธออย่างแรงจนล้มลงไปที่เตียง
มู่หรงล้มลงไปที่ตัวเขาทันที เฟิงจือหลิงดูเหมือนจะไม่ได้สติเลยสักนิด เขาทำไปเพราะสัญชาตญาณล้วนๆ
ลมหายใจเย็นๆของมู่หรงเสวี่ยทำให้เขารู้สึกสบายขึ้นมาก
“จือหลิง ตื่นสิ!” มู่หรงเสวี่ยร้องเรียก
มู่หรงกอดไปที่เขาเพื่อจะดูว่าทำไมตัวเขาถึงร้อนได้ ลองคิดดูก่อน อย่างไรก็ตามถึงแม้ดูเหมือนว่าเฟิงจือหลิงจะไม่ได้สติแต่แรงของเขาก็ยังมากอยู่ดี เขากอดมู่หรงเสวี่ยไว้แน่นมาก
ทั้งสองอยู่ใกล้กันมากจนทำให้หน้าของมู่หรงเสวี่ยเองก็เริ่มที่จะแดงระเรื่อขึ้นมาด้วยเช่นกัน
หน้าเผชิญหน้า ทำให้มู่หรงเสวี่ยต้องยกหัวไว้เพื่อไม่ให้หน้าของเธอชนกับเขา
อย่างไรก็ตามเฟิงจือหลิงดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจกับท่าทางในตอนนี้เท่าไร จึงพลิกตัวมาและกอดมู่หรงไว้ในอ้อมแขน มู่หรงกลอกตาและรีบพาเฟิงจือหลิงแวบเข้าไปในมิติลับทันที